ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พุทธวิธีชนะความโกรธ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Singha

Singha
  • Members
  • 87 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 May 2007 - 09:12 PM

ความบางตอนจากหนังสือ พุทธวิธีชนะความโกรธ
วัตถุประสงค์ เพื่อเสนอแนวคิดตามหลักพระพุทธศาสนาให้ผู้อ่านใช้ระงับความโกรธ
รวบรวมโดย ธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร วศบ.(จุฬา) M.S. (Computer) น.ธ.เอก
สาระโดยย่อ ลักษณะของความโกรธ ลำดับขั้นของความโกรธ สาเหตุของความโกรธ ภาษิต ข้อคิดหรือคติ สำหรับระงับหรือบรรเทาความโกรธ

แผ่นดินนี้ไม่อาจทำให้ราบเรียบเสมอกันหมดได้ฉันใด มนุษย์ทั้งหลาย จะให้คิดเหมือนกันหมดก็ไม่ได้ฉันนั้น ดังนั้นอย่าโกรธหรือเดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อคนอื่นมีความเห็นไม่เหมือนเรา หรือทำไม่ถูกใจเรา ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ไม่เป็นไปตามใจเรา ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร ๆ ตัวเราเองแท้ ๆ ยังไม่รู้ใจ ทำไม่ถูกใจเรา แล้วคนอื่นจะรู้ใจ ทำถูกใจเราได้อย่างไร

การนินทา ไม่ใช่ของใหม่ที่เกิดขึ้น เขาทำกันมาแต่โบราณแล้ว คนนั่งนิ่งเขาก็นินทาว่า ทำไมจึงนั่งนิ่งเหมือนคนใบ้ คนพูดมากก็นินทาว่า ทำไมจึงพูดไม่หยุดอย่างกับปากเป็นหุ่นชักยนต์ คนพูดพอประมาณ เขาก็นินทาว่า ทำไมเจ้าคนนี้จึงสำคัญว่าคำพูดของตนเหมือนทองคำ พูดคำสองคำก็นิ่งเสีย แผ่นดินก็ดี พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ดี คนก็ยังนินทา แม้พระพุทธเจ้าผู้เพรียบพร้อมด้วยคุณงามความดี คนก็ยังนินทา คนไม่ถูกนินทา ไม่เคยมีมา แล้วจักไม่มีต่อไป ถึงในขณะนี้ก็ไม่มี (ธรรมบท)

อันนินทา กาเร เหมือนเทส้วม ถ้ารวบรวมรับไว้ ย่อมได้เหม็น
หากไม่รับ กลับหาย คลายประเด็น ย้อนไปเหม็นปากเน่าของเขาเอง
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ขวัญใจโลก คนยังโขก ยังสับ งับเหยงเหยง
ถ่มน้ำลาย รดฟ้า ด่าบรรเลง ใครจะเก่ง เกินลิ้น คนนินทา (ศรีตราด)

คำพูดเป็นเพียงลมปาก เมื่อพูดแล้วคลื่นเสียงก็จางหายไปในอากาศ ไม่อาจทิ่มแทงหรือทำอันตรายร่างกายเราได้ เหมือนสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมาต้องร่างกายเราแล้วจางหายไป คำพูดที่เขานินทาเรานั้น ได้จางหายไปในอากาศหมดแล้ว ดับสูญไปนานแล้ว ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่อีกแล้ว เหตุไฉนจึงยังเก็บเอาสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ตัวตน ที่ล่วงไปนานแล้วมาคิดให้รกใจ ร้อนใจ ทุกข์ใจเปล่า ๆ ทำไม การกระทำอย่างนี้ โง่หรือฉลาดกันแน่
นิสัยควาย แล้วไม่วาย จะบดเอื้อง คนรื้อเรื่อง อตีตัง มาตั้งขาน
พิรี้พิไร ไม่รู้จบ งบประมาณ ก็เปรียบปาน ดังควาย น่าอายนา (อุทานธรรม)

ผู้ใดอดทนต่อถ้อยคำของคนที่ต่ำกว่าได้ นักปราชญ์กล่าวว่า ความอดทนของผู้นั้นสูงสุด ผู้มีความอดทนพึงได้ผลคือความไม่กระทบกระทั่ง เวรย่อมระงับด้วยกำลังแห่งขันติ (สรพังคชาดก)

การกล่าวร้ายหรือหมิ่นประมาท เป็นเสมือนยาพิษซึ่งศัตรูวางแก่เรา เพื่อให้เราโกรธแค้น เพื่อทำลายสมรรถภาพในการทำงาน ทำลายสุขภาพอนามัยและความสงบกายสงบใจของเรา แล้วเหตุไฉนเราจึงต้องกลืนกินยาพิษที่เขาวางไว้เพื่อประทุษร้ายเรา ( หลวงวิจิตรวาทการ)

เราอาจถูกคนด่าว่าเสียดสี หรือพูดดูหมิ่นให้เจ็บใจ แต่ถ้าเรามีความอดกลั้นพอ ไม่ตกเป็นทาสของความโกรธและความวู่วามแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็จะผ่านหายไปด้วยการทำเป็นไม่รู้เท่าทัน หรือทำเป็นไม่ได้ยินคนขนาดเราก็ไม่ได้วิเศษมาแต่ไหน จะถูกเสียดสีว่ากล่าวบ้างไม่ได้เทียวหรือ ก็คนขนาดประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจ ยังถูกด่ากันโครม ๆ แล้วเราเป็นอะไร จะถูกกระทบกระเทือนบ้างไม่ได้หรือ
บุคคลบางคนดูเหมือนจะมีเรื่องกังวลอยู่แต่การแก้เผ็ดแก้แค้น หรือพูดจาตอบโต้กับคนนั้นกับคนนี้อยู่เนืองนิตย์ ใครพูดจาแหลมมาเป็นต้องถูกตอบโต้กลับไปอย่างสาสม ถ้านึกไม่ออกในขณะนั้น ก็ต้องไตร่ตรองหาคำพูดที่จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บใจให้จงได้ บางครั้งถึงกับนอนไม่หลับ มีเรื่องเล่าว่าคนแจวเรือไปได้สองคุ้งน้ำแล้ว เพิ่งนึกคำโต้ตอบได้ อุตส่าห์แจวเรือกลับมาตอบโต้เขาอีกคำสองคำแล้วจึงจากไป ลองนึกดูก็ได้ว่าบุคคลที่ทำดังนี้จะมีความสุขได้อย่างไร (สุชีพ ปุญญานุภาพ)

คอยปลดเปลื้อง เรื่องร้าย ให้คลายออก หมั่นซักฟอก จิตใจ ให้เจิดจ้า
สิ่งสกปรก รกใจ ไม่เก็บมา ผ่านหูตา ปล่อยไป ไม่ไยดี (ก.เขาสวนหลวง)

โทษผู้อื่น แลเห็น เป็นภูเขา โทษของเรา แลไม่เห็น เท่าเส้นขน
ตดคนอื่น เหม็นเบื่อ เราเหลือทน
ตดของตน ถึงเหม็น ไม่เป็นไร (อุทานธรรม)

คนอื่นจะทำให้เราเป็นคนเลวไม่ได้ คนที่จะทำให้เรากลายเป็นคนเลวมีอยู่คนเดียวในโลก คือตัวเราเอง คนตั้งร้อยมารุมด่าเราวันยันค่ำ ก็ทำให้เรากลายเป็นคนเลวไม่ได้ แต่ถ้าเราเองพูดจาหยาบคายด่าตอบ หรือแสดงท่ายักษ์ออกมาเมื่อใด เราก็จะกลายเป็นคนเลวอย่างเขาไปด้วย การที่เขาด่าเรา เขามุ่งหมายที่จะทำให้เรากลายเป็นคนเลว เป็นบ้า เป็นหมู เป็นหมา ถ้าเราควบคุมตัวไว้ได้ ไม่ยอมเลวตาม เราก็ชนะ ถ้าเอาความเลวออกตอบเมื่อไร เราก็แพ้ ( พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์)

เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง (พุทธทาสภิกขุ)

เมื่อเขาด่า แทนที่จะคิดว่า ไอ้นี่ด่าเรา ก็ไปคิดวิจารณ์ว่า เขาด่าว่าอย่างไรแน่ อาจขอให้เขาด่าซ้ำอีกที โดยบอกเขาว่าเราฟังไม่ทัน เพราะด่ากระทันหันมาก เช่นถ้าเขาด่าเราว่า คนหมา ๆ เราก็วิจารณ์คำว่า คนหมา ๆ คือคนยังไง แล้วที่ว่า หมา ๆ น่ะ หมาไทยหรือหมาฝรั่ง ตัวผู้หรือตัวเมีย คิดแล้วไม่รู้เรื่อง ด่าสั้นเกินไป ไม่ถูกไวยากรณ์ ตกลงคำด่ายังใช้ไม่ได้ คืนเจ้าของเขาไปดีกว่า การหัดคิดในแง่ขำขันทำให้ใจเย็น โกรธช้า (พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์)

ถ้าเขาด่า ฟังให้ดี ใช่มีบ่อย
เราต้องคอย จับประเด็น จนเห็นได้
เขาด่าจบ หากว่าเรา ไม่เข้าใจ
ขอจงให้ ด่าให้ฟัง อีกครั้งเทียว
ถ้าถูกยิง ด้วยสายตา อย่าขุ่นข้อง
เราไม่ต้อง จ้องตอบโต้ โวตาเขียว
หากเขาค้อน แล้วหยุดไป ในครั้งเดียว
ขออีกเที่ยว ค้อนมา นัยน์ตางาม ( ศรีตราด)

พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราหุลว่า เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง อุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดหรือระอาหรือเกลียดด้วยของนั้นก็หาไม่ฉันใด เธอจงทำใจเสมอด้วยแผ่นดินฉันนั้น เพราะเมื่อเธอทำใจเสมอด้วยแผ่นดิน สัมผัสที่ชอบใจและไม่ชอบใจ จักไม่ครอบงำจิตของเธอ (มหาราหุโลวาทสูตร)

ธรรมดาน้ำ ย่อมจะเย็นฉันใด ใจเราก็ควรจะเย็น ไม่โกรธ ด้วยอาศัยขันติและเมตตาฉันนั้น
ธรรมดาอากาศไม่มีใครจับยึดไว้ได้ฉันใด เราก็ไม่ควรให้ความโกรธยึดถือได้ฉันนั้น
ธรรมดาแผ่นดินย่อมรับน้ำหนักของสิ่งต่าง ๆ บนโลกไว้ได้ฉันใด เราก็ควรอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้คนในโลกไว้ได้ฉันนั้น (มิลินทปัญหา จักกวัติวรรค)

พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า หากมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีมือจับทั้งสองข้างเลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้น ผู้ใดมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ผู้นั้นไม่เป็นผู้ชื่อว่า เป็นผู้ทำตามคำสั่งสอนของเราเพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้ (กกจูปมสูตร)

ความโกรธเกิดกับผู้ใดก็เผาใจผู้นั้นให้ร้อนเร่า ถึงเราจะโกรธแค้นปานใด ก็ไม่อาจสาปแช่งหรือแผ่ความโกรธไปเผาผู้อื่นให้พลอยร้อนใจไปกับเราด้วย ดังนั้นแม้ชื่อว่าโกรธเขา แต่ผู้ที่ร้อนใจ เจ็บใจ ทุกข์ใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็คือเราไม่ใช่เขา

ในที่บางแห่งท่านเปรียบว่า อาการที่โกรธคนอื่นก็อุปมาเหมือนกับการหยิบเหล็กร้อนแดงหรืออุจจาระ ดังนั้นการโกรธลับหลังเขาก็เหมือนกับการหยิบเหล็กร้อนแดงหรืออุจจาระแล้วถือไว้เฉย ๆ เพราะไม่รู้จะไปขว้างใคร ต้องร้อนหรือเหม็นอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย ยิ่งโกรธบ่อย ๆ ก็ต้องร้อนต้องเหม็นบ่อย ๆ ยิ่งโกรธโดยไม่ยอมเลิกก็เหมือนเอามือกำเหล็กร้อนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หรือเอามือขยำอุจจาระโดยไม่ยอมเลิก ลองนึกดูว่าสภาพเช่นนั้น น่าสมเพชและน่าสะอิดสะเอียนขนาดไหน เราจะยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นหรือ
แม้ชื่อว่า โกรธเขา แต่เราร้อน
เดินนั่งนอน ใจร้อนรุ่ม ดุจสุมไฟ
แล้วยังดื้อ ถือโทษ โกรธอยู่ใย
ได้อะไร เป็นประโยชน์ โปรดคิดดู (ธัมมวัฑโฒ ภิกขุ)


ข้าพเจ้าจำได้ว่า คุณครูเคยสอนให้ท่องกลอนสั้นๆบทนี้ทุกครั้ง ถ้าเราเกิดความโกรธอยู่ในใจว่า "โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่า จะได้ไม่บ้าไม่โง่"

บทความเหล่านี้ รู้สึกว่าจะฝึกฝนกันลำบากพอดู ใครทำได้ในชีวิตประจำวัน ถือว่า เป็นหนึ่งในตองอูนะคร๊าบ(ค่ะ)

ข้าพเจ้าขอเชิญชวนท่านกัลยาณมิตรทุกท่าน มาฝึกกันคร๊าบ(ค่ะ)

#2 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 29 May 2007 - 10:32 AM

ขอกราบอนุโมทนาบุญกับคุณ Singha ด้วยนะครับ สาธุ

#3 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 May 2007 - 06:45 PM

สาธุ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#4 จะไปให้ถึงทีสุดแห่งธรรม

จะไปให้ถึงทีสุดแห่งธรรม
  • Members
  • 160 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:belgium

โพสต์เมื่อ 30 May 2007 - 09:02 AM

จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ อ่าน ๆๆ ไปก็เท่านั้นนะครับ เพราะว่า...

เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน มันนึกไม่ออกเลยครับ กับสิ่งที่ได้อ่านมา
บางคนก็บอกให้นับ หนึ่ง ถึงสิบ (จะได้ชะลอความใจร้อนสักหน่อย)
เวลาเอาเข้าจริง ๆ มันเปรี้ยงออกไป ตั้งแต่นับได้แค่ 0.1 แล้วครับ

แต่ช่วงใดนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง จะเห็นข้อแตกต่างทันที่ครับ คือ
จะเห็นว่า ช่วงเวลาระหว่าง 0.0 - 0.1 ของการนับ จะยาวมาก
เมื่อเทียบกับครั้งที่ ไม่ได้นั่งสมาธิต่อเนื่อง จึงสามารถยับยั้งได้ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้อ่านไปแล้ว และนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง
จะเข้าใจสิ่งเหล่านั้น ได้ลึกซึ้งกว่า แล้วนำไปปฏิบัติได้จริง

อนุโมทนาบุญครับ สาธุ สาธุ สาธุ

ถ้าหากข้อคิดเห็นของกระผม

ทำให้ผู้หนึ่งผู้ใด

เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ

ขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


#5 jane_072

jane_072
  • Members
  • 539 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 May 2007 - 09:57 AM

อนุโมทนาบุญครับ สาธุๆๆ

#6 น้ำใส

น้ำใส
  • Members
  • 778 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 30 May 2007 - 11:21 AM

ขอขอบคุณนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา คุณsingha ที่ให้ข้อคิด เกี่ยวกับการระงับความโกรธที่ดี อ่านหลายรอบกว่าจะเข้าใจ ทำใจไม่ให้โกรธไม่ค่อยได้เลยค่ะ เพราะทำงานในห้องเดียวกัน นั่งใกล้กันตลอด ได้ยินเสียง ทั้งวัน
สิ่งที่กำลังทำในขณะนี้ก็คือ เอา MP3 ที่อัดเสียงคุณครูไม่ใหญ่สอนธรรมะ และบทเพลงตะวันธรรม มาฟังแทนเสียงเขา
แต่เหมือนเรากดทับไว้นะค่ะ ใจก็ยังปล่อยวางไม่ค่อยได้

เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม

น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม


#7 morethan

morethan
  • Members
  • 10 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 June 2007 - 01:05 PM

อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ happy.gif เป็นบทความที่ดีมากๆเลย ค่ะ
อ่านแล้วเข้าใจ แต่พอถึงเวลาก็พลาดท่าเสียที จริงแล้วถ้าเราได้นั่งสมาธิจะทำให้เราใจเย็นขึ้นจริงๆ
แต่ก็ไม่ค่อยได้นั่ง ( นิสัยไม่ดี อย่าทำเป็นแบบอย่างนะค่ะ ไม่รู้จะเลื่อนเวลาเข้าถึงธรรมไปถึงเมื่อไหร่...)

แต่เวลาที่จะโกรธมากๆ คือเพื่อนว่าวัดหรือไม่เข้าใจวัด เราเคยพยายาม หรือ อธิบายให้เขาเข้าใจ แต่ก็ไม่เคยเข้าใจ หรือ อยากจะรับรู้ ( มีเพื่อนร่วมงานเป็นผู้ชายส่วนใหญ่ และคนที่ไม่เข้าใจ หรือ ไม่ชอบ 80%) เพราะฉะนั้น เวลาไปบอกบุญเราก็เลี่ยงคนที่ไม่ชอบ แต่พวกเขาก็จะมีส่งเสียงกวนเรา แล้วก็บอกว่าไม่ให้ทำหรือ ไม่ให้ เข้าพวก ( คนดี ฮิๆ คิดเอาเอง )

ทำให้บางครั้งโกรธ และ เสียใจ (ทั้งๆที่ไม่อยากจะเสียเลย)


#8 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 June 2007 - 12:51 PM

mad.gif mad.gif mad.gif โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่โกรธไม่โมโหดีกว่า จะได้ไม่โง่ไม่บ้า" happy.gif happy.gif happy.gif
สาธุ...อีกครา สำหรับบทความดีดี
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC