ผมบังอิญอ่านเจอในเวบร้อยสิบทิปมาครับ เห็นมีคนโพสแสดงความคิดเห็นว่า ฤาษีแปลงสาร ผมจึง งงๆ (มันก็ยัง งง) จึงอยากถามรายละเอียดว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรครับ
072
ฤาษีแปลงสาร คืออะไรครับ??
เริ่มโดย chanyagorn, Jun 18 2007 05:20 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 18 June 2007 - 05:20 PM
#3
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 08:10 AM
เป็น วลี ที่กล่าวถึงตอนหนึ่งในนิทานไทยพื้นบ้านเรื่อง พระรถเสนครับ
น่าจะเป็นคำว่า สาส์น ครับ ไม่ใช่ สาร
ซึ่งสาส์น หมายถึง ข้อความ ข่าวสาร
น่าจะเป็นคำว่า สาส์น ครับ ไม่ใช่ สาร
ซึ่งสาส์น หมายถึง ข้อความ ข่าวสาร
#4
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 09:08 AM
มาจากนิทานพื้นบ้านของไทยค่ะ เรื่องนางสิบสอง ตอน พระรถ เมรี ค่ะ ตอนที่นางยักษ์ซึ่งแปลงร่างมาหลอกให้พระรถเสนไปเอายาที่เมืองของนางยักษ์ มารักษาแม่และป้าที่ตาบอด
นางยักษ์เขียนสาส์น (จดหมาย) ถึงลูกสาว คือ เมรี ว่า เมื่อพระรถเสนไปถึง นั้น "ถึงกลางวันก็ให้ฆ่ากลางวัน ถึงกลางคืนก็ให้ฆ่ากลางคืน"
เมื่อพระรถเสนเดินทางมาถึงกลางทาง ก็มาแวะพักที่ กลางป่า ขอพักกับ ฤาษีตนหนึ่ง ฤาษีเห็นว่า พระรถเสนมีความกตัญญูต่อป้าๆ และ แม่ ทั้งยังเป็นผู้มีบุญ รู้ด้วยญาณว่า จดหมายนั้น ส่ง พระรถเสนไปตาย จึงแก้ข้อความในสาส์นเป็น "ถึงกลางวันก็ให้แต่งงานกลางวัน ถึงกลางคืนก็ให้แต่งงานกลางคืน" จึงทำให้พระรถเสนรอดตายและได้ครองเมืองยักษ์
เป็นที่มาของคำว่า "ฤาษีแปลงสาร" ค่ะ
ต่อมาพระรถเสนต้องการกลับเมืองเอายามารักษา ป้าๆ กับแม่ จึงหลอกให้นางเมรี ซึ่งเป็นภรรยา ในขณะนั้น ดื่มเหล้าจนเมาหลับไป แล้วหนีออกมา
เป็นที่มาของคำว่า "เมรีขี้เมา" ค่ะ ที่เค้าจะร้อง ซึ่งเป็นกลอนจากเรื่องนี้ว่า "สามจอก สี่จอกกรอกเข้า เมรีขี้เมาก็หลับไป"
พระรถเสนหนีนางเมรีมา ระหว่างทางก็โรยผงวิเศษ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรค ต่างๆ นานา ที่คอยขัดขวางนางเมรี จำไม่ได้ว่า มีอุปสรรคอะไรบ้างนะคะ เช่น ป่าไฟ อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ จนสุดท้ายนางเมรี เสียใจมาก เหนื่อยมาก จน อกแตกตาย ก่อนตายได้กล่าวคำไว้ว่า "ชาตินี้น้องตามพี่มา ชาติหน้าพี่ตามน้องไป" แล้วก็สิ้นใจ
จึงกลับมาเกิดใหม่ เป็นเรื่อง พระสุธน - มโนห์รา ค่ะ
จำได้ย่อๆ ประมาณนี้ค่ะ
นางยักษ์เขียนสาส์น (จดหมาย) ถึงลูกสาว คือ เมรี ว่า เมื่อพระรถเสนไปถึง นั้น "ถึงกลางวันก็ให้ฆ่ากลางวัน ถึงกลางคืนก็ให้ฆ่ากลางคืน"
เมื่อพระรถเสนเดินทางมาถึงกลางทาง ก็มาแวะพักที่ กลางป่า ขอพักกับ ฤาษีตนหนึ่ง ฤาษีเห็นว่า พระรถเสนมีความกตัญญูต่อป้าๆ และ แม่ ทั้งยังเป็นผู้มีบุญ รู้ด้วยญาณว่า จดหมายนั้น ส่ง พระรถเสนไปตาย จึงแก้ข้อความในสาส์นเป็น "ถึงกลางวันก็ให้แต่งงานกลางวัน ถึงกลางคืนก็ให้แต่งงานกลางคืน" จึงทำให้พระรถเสนรอดตายและได้ครองเมืองยักษ์
เป็นที่มาของคำว่า "ฤาษีแปลงสาร" ค่ะ
ต่อมาพระรถเสนต้องการกลับเมืองเอายามารักษา ป้าๆ กับแม่ จึงหลอกให้นางเมรี ซึ่งเป็นภรรยา ในขณะนั้น ดื่มเหล้าจนเมาหลับไป แล้วหนีออกมา
เป็นที่มาของคำว่า "เมรีขี้เมา" ค่ะ ที่เค้าจะร้อง ซึ่งเป็นกลอนจากเรื่องนี้ว่า "สามจอก สี่จอกกรอกเข้า เมรีขี้เมาก็หลับไป"
พระรถเสนหนีนางเมรีมา ระหว่างทางก็โรยผงวิเศษ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรค ต่างๆ นานา ที่คอยขัดขวางนางเมรี จำไม่ได้ว่า มีอุปสรรคอะไรบ้างนะคะ เช่น ป่าไฟ อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ จนสุดท้ายนางเมรี เสียใจมาก เหนื่อยมาก จน อกแตกตาย ก่อนตายได้กล่าวคำไว้ว่า "ชาตินี้น้องตามพี่มา ชาติหน้าพี่ตามน้องไป" แล้วก็สิ้นใจ
จึงกลับมาเกิดใหม่ เป็นเรื่อง พระสุธน - มโนห์รา ค่ะ
จำได้ย่อๆ ประมาณนี้ค่ะ
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#5
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 09:36 AM
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันคับ เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
ท่านสามารถทำลายแม่ทัพได้ แต่ท่านไม่สามารถทำลายจิตใจที่มุ่งหมั่นของทหารได้
ท่านสามารถทำลายแม่ทัพได้ แต่ท่านไม่สามารถทำลายจิตใจที่มุ่งหมั่นของทหารได้
แสงจันทร์
#6
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 12:58 PM
ผมเองก็ไม่ทราบว่าผู้ที่เขียนนั้นส่อความหมายเช่นไร แต่ความหมายในตัวของคำนี้นั้นหมายถึง การรับเอาข้อมูลข่าวสารอย่างหนึ่งแล้วนำไปเสนออีกอย่าง หรืออีกในหนึ่งคือตรงข้ามกับความเป็นจริงนั่นแล
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#7
โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 07:53 PM
เข้าไปอ่านบทความในเว็บดังกล่าวนั้น ควรมีภูมิคุ้มกันทางความคิดพอสมควรเลยนะครับ มิเช่นนั้นแล้วใจไม่ผ่องใส ได้ไม่คุ้มเสียเลย ธรรมะก้ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร จะไปโปรดก็ต้องดูว่าภูมิธรรมเราถึงไหนแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการจะไปปราบคงไม่เหมาะแก่ภาพพจน์ที่ดีงามของคนวัดพระธรรมกายอีกเช่นกัน
ศีล..เป็นเบื้องต้น เป็นที่ตั้ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดีทั้งหลาย และเป็นประธานแห่งธรรมทั้งปวง บุคคลใดชำระศีลให้บริสุทธิ์แล้ว จะเป็นเหตุให้เว้นจากความทุจริต จิตจะร่าเริงแจ่มใส และเป็นท่า หยั่งลงมหาสมุทร คือ นิพพาน
#8
โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 02:36 AM
คำพวกนี้เป็นการพยายามทำให้คนอ่านเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ จึงควรระวังความคิดเอาไว้
ไม่รู้จริง ๆ พวกนี้คิดขึ้นมาได้อย่างไง เช่นการตั้งฉายาผู้นำปะเทศที่เขา
ไม่ชอบก็จะถูกตั้งฉายาไปตามที่เขาคิดจะให้เป็น
ไม่รู้จริง ๆ พวกนี้คิดขึ้นมาได้อย่างไง เช่นการตั้งฉายาผู้นำปะเทศที่เขา
ไม่ชอบก็จะถูกตั้งฉายาไปตามที่เขาคิดจะให้เป็น
หยุดคือตัวสำเร็จ
#9
โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 01:32 PM
เด็กไทยสมัยนี้ไม่รู้เรื่องความหมายของคำนี้แล้วล่ะมั้งครับ เนื่องจากเรื่องนี้ถูกถอดออกจากเนื้อหาการเรียนในชั้นประถมไปแล้ว เรื่องมานี-มานะเป็นแบบฝึกหัดอ่านหนังสือภาษาไทยสมัยก่อน จะมีนิทานเรื่องพระรถเสน นี้แทรกอยู่ และได้ทราบเรื่องราวของ ฤาษีแปลงสาส์น ด้วย
#10
โพสต์เมื่อ 21 June 2007 - 07:27 AM
ฤาษีแปลงสาส์น ถ้าเป็นสำนวนก็น่าจะหมายถึง การทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงนะครับ เพราะถ้าเราดูจากคำว่า เปลี่ยนแปลง คำว่าเปลี่ยน ถ้าจะให้เข้าใจง่ายก็คือ ไม่เอาของเก่า เอาอันใหม่ ส่วนคำว่า แปลง หมายถึง ทำของเก่าให้เปลี่ยนไปจากเดิม
#11
โพสต์เมื่อ 22 June 2007 - 11:24 AM
กระทู้ของคนอยากไปนรกอย่าไปอ่านเลย
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์