ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

สงสัยเกี่ยวกับวินัยสงฆ์์และการชวนคนทำบุญอ่ะค่ะ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 somwaleerat

somwaleerat
  • Members
  • 7 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 07:26 AM

คือทางบ้านเค้าสงสัยเกี่ยวกับการชวนคนทำบุญของวัดเรา เค้าว่าตามวินัยสงฆ์์ ห้ามพระชวนคนทำบุญ จริงหรอคะ??? อยากขอความรู้เพื่อจะได้ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และอธิบายให้กับทางบ้านได้ถูกอ่ะค่ะ ขอบพระคุณมากๆค่ะ

#2 pp_dmc

pp_dmc
  • Members
  • 93 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 08:27 AM

แล้ววัดแถวบ้านเวลาสร้างโบสถ์หรือศาลาพระจะนำเงินที่ไหนมาสร้างศาสนสถานเหล่านั้นล่ะคะ ถ้าท่านไม่ได้บอกบุญ
และที่ท่านบอกบุญก็เพื่อเรานั่นแหละจะได้บุญ ให้คนที่บ้านดูจานดาวธรรม DMC จะได้รู้ว่าทำไมหลวงพ่อต้องบอกบุญค่ะ

#3 Doramon

Doramon
  • Members
  • 468 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 10:37 AM

พระท่านมีหน้าที่ ชี้ทางพ้นทุกข์ ให้กับเราๆคนมีกิเลส ทำอย่างไรจะได้บุญ พ้นทุกข์ สร้างบารมี
ท่านจะต้องแจ้ง ต้องบอก เพราะท่านเองก็จะมีส่วนในบุญนั้นๆด้วย ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ ถ้ารู้ได้เองก็
คงไม่จำเป็นต้องมีครูมาสอนมาสั่งเราๆ ....

#4 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 11:44 AM

ในพระวินัยของสงฆ์ หากพิจารณาในเรื่องศีลของสงฆ์ทั้ง227ข้อ ไม่ได้มีบอกหรือห้ามไว้ครับ


ปาราชิก มี ๔ ข้อได้แก่
๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)

สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้ ๑.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน ๘.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๒.เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ ๙.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๓.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี ๑๐.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
๔.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน ๑๑.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๕.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ ๑๒.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
๖.สร้างกุฏิด้วยการขอ ๑๓. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์
๗.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
อนิยตกัณฑ์ มี ๒ ข้อได้แก่
๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่ ๑.เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน ๑๖.นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
๒.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว ๑๗.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
๓.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน ๑๘.รับเงินทอง
๔.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า ๑๙.ซื้อขายด้วยเงินทอง
๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี ๒๐.ซื้อขายโดยใช้ของแลก
๖.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย ๒๑.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๗.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป ๒๒.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
๘.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม ๒๓.เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน ๗ วัน
๙.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย ๒๔.แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
๑๐.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง ๒๕.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
๑๑.หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม ๒๖.ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๑๒.หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน ๒๗.กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง ๒๘.เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
๑๔.หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี ๒๙.อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
๑๕.เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย ๓๐.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อได้แก่ ๑.ห้ามพูดปด ๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๒.ห้ามด่า ๔๘.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๓.ห้ามพูดส่อเสียด ๔๙.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๔.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน ๕๐.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน ๕๑.ห้ามดื่มสุราเมรัย
๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง ๕๒.ห้ามจี้ภิกษุ
๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง ๕๓.ห้ามว่ายน้ำเล่น
๘.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช ๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๙.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช ๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด ๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้ ๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
๑๒.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน ๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๑๓.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ ๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๑๔.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง ๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๑๕.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ ๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์
๑๖.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน ๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
๑๗.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์ ๖๓.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๑๘.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน ๖๔.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
๑๙.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น ๖๕.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
๒๐.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน ๖๖.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๒๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย ๖๗.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
๒๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว ๖๘.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๒๓.ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่ ๖๙.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ ๗๐.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๗๑.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๗๒.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี ๗๓.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน ๗๔.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย ๗๕.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี ๗๖.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๓๑.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ ๗๗.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
๓๒.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม ๗๘.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๓๓.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น ๗๙.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร ๘๐.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว ๘๑.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด ๘๒.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๓๗.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล ๘๓.ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
๓๘.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน ๘๔.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๓๙.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง ๘๕.เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
๔๐.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน ๘๖.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๔๑.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ ๘๗.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๔๒.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ ๘๘.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๔๓.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน ๘๙.ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
๔๔.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง) ๙๐.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
๔๕.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม ๙๑.ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
๔๖.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา ๙๒.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ
ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อได้แก่
๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า

เสขิยะ
สารูป มี ๒๖ ข้อได้แก่ ๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง) ๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน) ๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน ๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน ๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน ๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน ๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่) ๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน ๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน ๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน ๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน ๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน ๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน ๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
โภชนปฏิสังยุตต์มี ๓๐ ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่ ๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ ๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร ๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป) ๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร ๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ ๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร ๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง) ๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป ๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป ๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ
๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก ๒๕.ไม่ฉันดังซูดๆ
๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้ ๒๖.ไม่ฉันเลียมือ
๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ ๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร
๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป ๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม ๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง ๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อคือ ๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ ๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ ๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ ๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ ๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้) ๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า ๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน ๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน ๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง

ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ
๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ

อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อได้แก่
๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#5 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 12:38 PM

ในอดีตกาล พระอรหันต์ท่านได้ไปชวนคนสร้างเจดีย์มาเรียบร้อยแล้วน่ะครับ คือ เรื่องมีอยู่ว่า หลังพระพุทธเจ้าในอดีต นามว่า กัสสัปปะ ท่านทรงปรินิพพาน มหาชนศรัทธามาก จึงร่วมใจกัน สร้างเจดีย์ถวาย แต่ปรากฏว่า พอทำๆไป ทอง ไม่พอ พระอรหันต์ท่านทราบเรื่อง จึงไปบอกบุญทองจากมหาชน

ทีนี้ ไปพบนายช่างทอง กำลังทะเลาะกับเมียอยู่ พอนายช่างทอง เห็นพระมาที่หน้าบ้าน อารมณ์ไม่ดี เลยพูดว่า "เธอ จงเอาศาสดาของเธอ ไปโยนน้ำเสีย" เมียให้สติว่า "พี่โกรธฉัน ฉันไม่ว่าหรอก แต่ทำไมต้องไปด่าว่าพระท่านด้วย" นายช่างทองได้สติ จึงไปขอขมาพระท่าน พระท่านบอกว่า ให้ทำพานทอง ไปร่วมสร้างเจดีย์ เพื่อขอขมาพระพุทธเจ้าสิ"

นายช่างทองจึงทำตามนั้น ด้วยบุญบาปนั้น ในชาตินี้ นายช่างทอง มาเกิดเป็นเด็กชายชฎิล ลูกโสเภณี โสเภณี เลยจับลอยน้ำทิ้ง เพราะคลอดลูกเป็นชาย ใช้ทำมาหากินไม่ได้ ด้วยผลกรรมที่เขาพูดว่า "เอาศาสดาไปลอยน้ำนั่นแหละครับ"

เ็ด็กทารกชฎิล ลอยน้ำผ่านมา ก็มีคนเก็บไปเลี้ยง ตอนหลังได้เป็นเศรษฐี นามว่า ชฎิลเศรษฐี ภูเขาทอง ผุดขึ้นหลังบ้าน ด้วยผลบุญที่เขา ถวายทองบูชาเจดีย์ในอดีตไงครับ

สรุป พระบอกบุญ ได้ครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#6 somwaleerat

somwaleerat
  • Members
  • 7 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 01:12 PM

ขอบพระคุณมากๆค่ะที่ช่วยให้ความรู้ โล่งใจ ไม่สงสัยแล้วค่ะ จะไปบอกน้องต่อด้วย ตอนแรกก็ว่าตัวเองเข้าใจถูกแล้ว แต่เนื่องจากไม่เคยอ่านพระไตรปิฏกเลยชักไม่แน่ใจว่ามีระบุไว้หรือเปล่า แต่ที่คุณเคยเข้าวัดให้ข้อมูลมาก็กระจ่างแล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้ง

#7 danaiporn

danaiporn
  • Members
  • 73 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 June 2007 - 08:36 PM

ถ้าพระไม่ชวนคนทำบุญ ทำความดี แล้วพระจะมีหน้าที่อะไรล่ะครับ

เป็นความเห็นที่ผิดครับ

#8 somchet

somchet
  • Members
  • 900 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 June 2007 - 02:30 PM

พระพุทธเจ้าท่านยังชวนให้คนทำบุญเลยครับ

แต่วิธีการอาจจะแตกต่างกัน และกิเลสของคนในยุคนั้นต่างกัน เลยทำให้คนสมัยนี้คิดว่าพระไม่ควรชวนคนทำบุญ (เรี่ยไร)

สมัยพุทธกาลพระไม่ต้องบอกบุญ เพราะคนสมัยนั้นมีบุญมาก มีแต่จะคอยดูว่าพระขาดสิ่งใด แล้วก็รีบทำซะก่อนที่พระจะเอ่ยปากซะอีก

ถ้าพระเห็นว่า การทำบุญเป็นการเบียดเบียนชาวบ้าน พระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามไปแล้วล่ะ จริงไม๊ครับ

ยกตัวอย่าง ที่พระนางมัลลิกา มเหสีพระเจ้าปเสนทิโกศล ถวายทานแข่งกับชาวบ้าน ที่เรียกว่า อสทิสทานซิครับ จำไม่ได้ว่าหมดเงินในพระคลังไปกี่โกฏิ(สิบล้าน) ด้วยการถวายภัตตาหารแค่มื้อเดียว จนขนาดที่อำมาตย์ท่านนึงไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่ามันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

เมื่อพระพุทธเจ้าฉันภัตตาหารเสร็จ ท่านไม่กล่าวโมทนา เพราะท่านรู้ว่าด้วยเหตุที่อำมาตย์ท่านนั้นไม่อนุโมทนา ศรีษะอำมาตย์จะแตกเป็น 7 เสี่ยง พระราชาถามอำมาตย์ว่าจริงหรือไม่ ที่ไม่เห็นด้วย พระราชาถึงขับไล่อำมาตย์นั้นไปเสีย พระพุทธเจ้าจึงให้พรพระราชา

ลองคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นดู แล้วจะเข้าใจ

#9 ณ ทะเลจันทร์

ณ ทะเลจันทร์
  • Members
  • 78 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 June 2007 - 04:24 PM

เราคิดว่า พุทธศาสนิกชนอีกไม่น้อยนะ ที่ไม่มีโอกาสได้รับรู้หรือเรียนรู้ในทั้งธรรมและวินัย
ทั้งของสงฆ์และของฆราวาส ...หลายคนทราบแต่ว่า ตนเองเป็นพุทธศาสนิกชน
และเข้าใจไปเองว่า การใดๆ ในพุทธศาสนาก็ตามเป็นการของสงฆ์เท่านั้น..ไม่เกี่ยวกับฆราวาส
คงยังไม่ค่อยทราบกันนักว่า ฆราวาสกับสงฆ์นั้นต้องเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกันอย่างไรบ้าง
ธรรมะของพระสัมมาฯ ก็ไม่ได้มีจำเพาะว่าสอนสงฆ์เท่านั้น
มีฆราวาสธรรม ไว้สอนผู้ครองเรือน ผู้ไม่ได้บวชเรียนเป็นภิกษุสงฆ์
เสียดาย หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของเรา
ไม่ได้ลงรายละเอียดในเรื่องวัฒนธรรมของแต่ละศาสนามากพอที่จะนำไปใช้ได้จริง

 

"จงอย่าเป็นทุกข์เพราะความหยาบคายของผู้อื่น"  

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"  "เจตนา..นั้นแหละคือ..กรรม"

"จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง..มากกว่าถูกใจ"  "ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่คนพูดโกหกทำไม่ได้"


#10 usr16294

usr16294
  • Members
  • 8 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 June 2007 - 02:36 PM

เรื่องนี้คิดว่าเราน่าจะมีความรู้อยู่นิดหน่อย คือ สาเหตุที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การที่พระบอกบุญผิดวินัยสงฆ์ น่าจะเกิดจากการที่พระบางรูปท่านบอกเอง เพราะมีวินัยอยู่ข้อหนึ่งที่คุณเคยเข้าวัดนำความรู้มาให้ซึ่งอยู่ด้านบน คือสังฆาทิเสสข้อที่ ๖ ซึ่งจริง ๆ แล้วข้อนี้ท่านมุ่งหมายถึงการสร้างกุฏิที่ใหญ่เกินไป(สำหรับอยู่เอง) แล้วไม่มีมีเจ้าภาพที่จะสร้างถวาย ต้องลงแรงสร้างเอง การสร้างใหญ่ก็ต้องใช้งบประมาณมาก ซึ่งต้องมีการบอกบุญเป็นธรรมดา ผลที่ตามมาก็คือชาวบ้านเดือดร้อน หรือขอในสิ่งที่ไม่ควรขอ วินัยข้อนี้เกิดจากในสมัยพุทธกาลมีภิกษุอยู่กลุ่มหนึ่งต้องการสร้างกุฏิที่ใหญ่เพื่ออยู่เอง แล้วท่านไม่ได้สร้างรูปเดียวสร้างกันหลายรูป กล่าวคือสร้างพร้อมกันหลายกุฏิ พออุปกรณ์ไม่พอก็ต้องขอชาวบ้าน ท่านขอทุกอย่างที่ขวางหน้า ทั้ง หญ้า ไม้ เชือก แรงงาน รวมทั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้วก็ไม่ได้ขอทีเดียว ขอทีละอย่าง พูดง่าย ๆ ขอทุกวันเลยก็ว่าได้ ชาวบ้านก็เดือนร้อน ถึงกับกลัวพระเลย ขยาดขนาดเห็นวัวที่มีสีเดียวกับพระอยู่ไกล ๆ (เข้าใจผิดคิดว่าพระมา) ก็พากันหนีเลย ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบัญญัติสิกขาบทข้อนี้ ถ้าไม่เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของสิกขาบทข้อนี้ ก็จะเข้าใจว่าพระบอกบุญไม่ได้ เราคิดว่าถ้าเป็นการสร้างงานเพื่อพระศาสนา ไม่ได้ทำเพื่อตัวของพระเอง ก็ไม่ผิดวินัย

#11 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 08:41 PM

ขอบคุณค่ะเคลียร์

#12 พิชญะบุญวาทย์

พิชญะบุญวาทย์
  • Members
  • 3 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 November 2010 - 07:50 PM

ขอบคุณครับผม....เข้าใจแล้วครับ