21 มิถุนายน พุทธศักราช 2550 หลังพุทธปรินิพพาน
ณ กรุงรัตนโกสินทร์ แห่งสยามประเทศ
โดย ธรรมจารี
“นะโม ตัด สะ พะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุดทัดสะ... นะโม ตัด สะ..” เสียงสวดมนต์เจื้อยแจ้วจากห้องพระภายในตึกแถวหลังตลาดดังกังวานผสานเสียงบางใสของเด็กๆวัยซุกซน ระคนเคล้ากับเสียงนำอันโดดเด่นแต่ทว่าซ่อนเร้นไปด้วยความเหนื่อยล้าและวิตกกังวลของแม่ค้าวัยกลางคน พวกเรามารวมตัวกันอยู่เบื้องหน้าโต๊หมู่บูชา จ้องตาแป๋วไปที่พระแก้วมรกตจำลอง เพราะกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตของครอบครัว หลังจากคุณพ่อถูกฟ้องล้มละลายไปไม่นาน แม้กิจการค้าขายในตลาดสดของคุณแม่ยังคงพอยังชีพเลี้ยงปากท้องเราไปได้บ้าง แต่ทั้งพ่อและแม่ก็ต้องคร่ำเครียดหมุนเงิน กระเสือกกระสนหยิบยืม ผัดผ่อน ต่อเจ้าหนี้หลายต่อหลายรายทุกวัน และในยามที่เราท้อแท้ทั้งกายและใจเช่นนี้ คุณแม่ได้เกณฑ์ลูกๆทุกคนมาช่วยกันสวดมนต์ขอพรในห้องพระ อันเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปมากมายหลายองค์ที่เราเคารพนับถือ ด้วยหวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะบันดาลให้เราพ้นวิกฤต จะเป็นอานุภาพอันใดหรือด้วยบุญค้ำจุนแต่ปางก่อนเราไม่อาจทราบได้ ในที่สุดครอบครัวของผมก็เป็นดุจนาวาลำเล็กๆที่ฝ่าพ้นพายุซึ่งกระหน่ำถาโถมเข้ามาตลอดอยู่แรมปีได้ จวบจนถึงปัจจุบัน ลูกๆทั้งห้าคน จบการศึกษาระดับปริญญาตรีกันหมด โดยเฉพาะผมซึ่งจบการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา และกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาโทในกรุงเทพฯ นอกจากนี้เรายังมีบ้านและที่ดินเป็นของตัวเอง มีรถ และมีกิจการขายของสดในตลาด ซึ่งแม้จะดูไม่โก้เก๋นัก แต่ก็เป็นอาชีพสุจริตที่มั่นคง ซึ่งคุณแม่ภูมิใจและมักจะบอกพวกเราอยู่เสมอว่า เป็นอาชีพที่ส่งลูกเรียนจบกันทุกคน
ในบรรดาพี่น้องห้าคน ผมเป็นคนที่ผูกพันกับหิ้งพระมากที่สุด ผมยังจำได้ว่าในวัยเด็ก ครั้งหนึ่งผมถูกคุณพ่อตีเพราะทะเลาะเบาะแว้งกับพี่น้อง พวกเราถูกฟาดด้วยเข็มขัด หลังถูกทำโทษ มีผมคนเดียวที่วิ่งขึ้นไปห้องพระ นั่งร้องไห้โฮ สะอึกสะอื้น ต่อหน้าพระประธาน ตัดพ้อรำพันและฟ้ององค์พระพุทธรูปซึ่งท่านก็รับฟังด้วยรอยยิ้มน้อยๆอันสงบว่าโดนคุณพ่อตีมา ขอให้ท่านช่วย แม้ในการเข้าห้องน้ำยามดึก ผมยังต้องกำพระที่คล้องคอไว้แน่นแล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วระทึกใจ ด้วยความที่กลัวภัยจากความมืดรอบด้าน หรือในยามที่มีภัยคุกคามถึงชีวิตจากมิจฉาชีพ ผมก็ร้องเสียงหลงเรียกให้พระท่านช่วย และเอาตัวรอดมาได้ ตลอดชีวิตของผม ผมสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า พระพุทธศาสนาเป็นเสมือนไม้หลักที่ค้ำจุนกล้าชีวิตอ่อนๆของผมจนเติบใหญ่และรู้จักพระรัตนตรัยในมิติที่ลุ่มลึกยิ่งขึ้น ราวกับว่าไม้ค้ำนั้นได้ผสานกลืนกับลำต้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ผมได้มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ผ่านหนังสือธรรมะ นิตยสารอภินิหาร พระเครื่อง ประวัติครูบาอาจารย์สายต่างๆ และพระไตรปิฎกฉบับประชาชน ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ของผมนำมาอ่านเพื่อให้ลืมความทุกข์ตามประสาผู้ครองเรือนไปบ้าง แล้วกองไว้ตามมุมต่างๆของบ้าน ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมะมากขึ้นเมื่อไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่นั้น มีชั้นวางหนังสือพระพุทธศาสนาขนาดใหญ่อยู่ แม้จะมีเพียงชั้นเดียว นับว่าน้อยกว่าชั้นวางหนังสือของศาสนาอื่นอยู่มาก แต่ก็มีหนังสือธรรมะของพุทธศาสนาหลากหลายนิกายวางเรียงรายกันอยู่เป็นจำนวนมาก มากพอที่จะให้ผมได้อ่านอย่างจุใจไปตลอดทั้งปี ที่ผมชอบมากที่สุดคือพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ซึ่งมีอยู่สองชุดใหญ่ เล่มสีเหลือง และเล่มสีน้ำเงิน เป็นหนังสือที่ใหม่ เพราะแทบจะไม่มีใครเปิดอ่าน และไม่มีรอยประทับยืมมาก่อน ในช่วงที่ว่างจากการเรียน ผมมักจะแวะเวียนมาอ่านหนังสือเหล่านี้ด้วยความสุขใจ แม้มหาวิทยาลัยของผมจะมีนักศึกษาไทย และชาวพุทธอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่มีใครตั้งชมรมพุทธศาสนา มีเพียงชมรมของศาสนาอื่นมากมาย มากถึงขนาดต้องตั้งแยกออกไปตามแต่ละนิกายของศาสนานั้นๆ ไม่ปะปนกัน ผมเคยชักชวนภิกษุณีฝ่ายมหายานท่านหนึ่ง ซึ่งศึกษาระดับปริญญาโทอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันเพื่อตั้งชมรมพุทธ แต่ก็ต้องถอดใจ เมื่อท่านถามกลับมาว่า “ตั้งไปทำไมกัน?” [/font]
ถึงแม้จะไม่อาจตั้งชมรมพุทธเพื่อส่งเสริมพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัย แต่ผมก็มีโอกาสได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม อุปสมบทเป็นครั้งแรก ณ วัดไทยแห่งแรกของเมืองลอสแองเจลิส และสอบผ่านวิชาธรรมศึกษาระดับชั้น ตรี โท เอก ได้มีโอกาสเป็นครูอาสาสมัครสอนพุทธศาสนาให้กับเด็กไทยที่วัดแห่งหนึ่ง และติดตามพระอาจารย์เข้าร่วมประชุมองค์กรพุทธศาสนาจากหลากหลายนิกาย ทำให้ผมได้มีโอกาสเห็นพระพุทธศาสนาในมุมมองที่ต่างออกไป ในรูปแบบที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความเป็นชนกลุ่มน้อยของสังคมตะวันตก
การศึกษาทำให้ผมภาคภูมิใจที่เป็นชาวพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้มีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์ของโลก การพัฒนาของเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศต่างๆ การแผ่ขยายอำนาจ การล่าอาณานิคม และการรุกคืบของศาสนา จากพื้นที่หนึ่ง ไปสู่อีกพื้นที่หนึ่ง ผมมีความสนใจในประวัติศาสตร์เหล่านี้มาก สังเกตได้ว่า ความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยของประเทศหนึ่งได้ก่อความทุกข์ยากลำบากให้กับประเทศอื่นๆ แต่การแผ่ขยายพระพุทธศาสนานั้น เป็นไปโดยปราศจากการใช้กำลัง และการกดขี่ข่มเหง ส่วนศาสนาใหญ่อื่นๆ มักไปพร้อมกับกำลังทหาร เรียกได้ว่าควบคู่กันไปกับการเมืองการปกครอง จากประวัติศาสตร์ที่ผมค้นพบ ผู้ล่าอาณานิคม จะทำลายความเชื่อในท้องถิ่นให้ราบคาบ ทำลายศาสนสถาน ข่มขู่และทำร้ายศาสนาบุคคล ดิสเครดิตศาสนธรรมของท้องถิ่น แล้วนำศาสนาของตนเข้ามาแทนที่ ด้วยวิธีที่รุนแรง แต่ได้ผลเฉียบพลัน เมื่อเวลาผ่านไป คนเกือบทั้งประเทศ ก็เปลี่ยนศาสนาจนหมดสิ้น พร้อมกับยอมรับระบบการปกครองและศาสนาใหม่ของผู้รุกราน จนคนรุ่นใหม่ต้องลืมไปเลยว่า โดยดั้งเดิมแล้ว ตนเคยเป็นอย่างไร
ตลอดชั่วระยะเวลาของประวัติศาสตร์ พุทธศาสนาเฟื่องฟูขึ้น และทยอยดับลงเป็นแห่งๆ โดยเฉพาะจากการใช้กำลัง และความรุนแรงของบุคคลต่างศาสนิก กลิ่นอายของการทำลายล้างยังไม่หมดไป แม้ในยุคปัจจุบัน ดังตัวอย่างเช่นพระพุทธรูปยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นพยานหลักฐานแห่งความเฟื่องฟูของพระพุทธศาสนาของพื้นที่นั้นในอดีต ยังถูกทำลายลงอย่างไม่ใยดี โดยที่ชาวพุทธทั่วโลก ไม่สามารถทำอะไรได้เลยด้วยกระบวนการสันติวิธี ในขณะเดียวกับที่เมื่อศาสดาของศาสนาอื่นถูกล่วงเกินบ้าง ศาสนิกทั่วโลกก็พร้อมที่จะลุกฮือขึ้นมาประท้วง ต่อต้าน แสดงพลัง ผนึกกำลังกันกดดันอย่างรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่ผมเอ่ยอ้างเหล่านี้มิใช่เพื่อเพื่อประณามกันและกัน แต่เพื่อเตือนสติชาวพุทธด้วยกันว่าเหตุการณ์เช่นนี้ ได้เกิดขึ้นมาตลอดหน้าประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา พวกเรานั้นอ่อนแอ หวาดกลัว ดูดาย และยังไม่มีวิธีการที่ดีในการแก้ไขปัญหา ในยามที่มีภัยเกิดขึ้นกับศาสนาของเรา พระพุทธศาสนาจึงต้องถอยร่น และล่มสลายไปอย่างรวดเร็วในหลายๆแห่ง แม้ในแดนเกิดของพระพุทธศาสนาอย่างอินเดีย เราไม่สามารถรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคง และเผยแผ่ขยายร่มโพธิ์ให้กว้างไกลได้เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษของเราทำเอาไว้
ปัจจุบัน พระพุทธศาสนาถอยร่น และปักหลักมั่นคงอยู่ในเพียงไม่กี่ประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นเมืองหลวงของพระพุทธศาสนาโลก เพราะมีวัดวาอาราม และพระภิกษุอยู่เป็นจำนวนมากทั่วทั้งแผ่นดิน มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นศาสนูปถัมภก มีภาษา วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ผูกพันแน่นแฟ้นอยู่กับพระพุทธศาสนามาโดยตลอด และเป็นโชคดีของประเทศไทย ที่บรรพบุรุษของเรา มีสติปัญญา ความรู้ความสามารถ นำพาประเทศชาติให้พ้นภัยมาได้โดยตลอด มิต้องตกเป็นอาณานิคมของใคร แต่ก็อาจกล่าวได้ว่านี้เป็นความโชคดีที่นำมาซึ่งจุดอ่อน เพราะคนไทยไม่เคยได้ลิ้มรสการสูญเสีย สิ้นชาติ สิ้นศาสน์ จึงมิซาบซึ้งถึงความเจ็บปวด อย่างที่ประเทศอื่นเช่นศรีลังกาได้เผชิญ ชาวไทยปัจจุบันได้มองข้ามความสำคัญของศาสนาตนเองไปอย่างเสียไม่ได้ กล่าวคือเรารักพระพุทธศาสนากันน้อยมาก แต่หันกลับไปชื่นชม ชื่นชอบวัฒนธรรม และอารยธรรมนำเข้า ทั้งเทคโนโลยี ระบบเศรษฐกิจ ระบบการปกครอง รูปแบบการดำเนินชีวิต เราให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ จนลืมเอกลักษณ์และรหัสพันธุกรรมของชาติ ลืมไปว่าอะไรคือแก่นและหลักของประเทศ สิ่งที่ทรงคุณค่า ดีงาม และคุ้มครองรักษาประเทศชาติ และประชาชนทุกคนให้อยู่เย็นเป็นสุขมาโดยตลอด นับตั้งแต่บรรพบุรุษกู้ชาติได้สำเร็จ ไม่ว่าเราจะปกครองในรูปแบบไหน เปลี่ยนผู้นำประเทศกี่คน หรือเขียนรัฐธรรมนูญใหม่สักกี่ฉบับ
แม้ผมเองจะภูมิใจอยู่ว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธที่เฟื่องฟูที่สุดในโลก ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดงานวิสาขบูชาโลก มีภิกษุและภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จากประเทศต่างๆ หลากนิกายมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง จนดูราวกับว่าประเทศไทยจะสามารถเป็นความหวังให้กับชาวพุทธทั่วโลกได้ แต่ความเป็นจริงก็คือ ชาวไทยรัก เข้าใจ และปฏิบัติพระพุทธศาสนาน้อยมากอย่างน่าประหลาดใจ เราไหว้พระ เราถวายสังฆทาน จุดธูป จุดเทียน คล้องพวงมาลัย ปิดทอง ขอให้รวย ขอให้หายเจ็บป่วย ขอให้พระคุ้มครอง ขอให้มีโชคลาภ เราขอให้สิ่งดีงามเกิดขึ้นกับเรา เพราะเรารักตัวเอง แต่ลืมไปว่า พระพุทธศาสนาก็ต้องการความรัก ความเอาใจใส่จากทุกคนเหมือนกัน คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้คิดเลยว่า ตนเองจะทำอย่างไร ให้พระพุทธศาสนาแข็งแรง ให้ได้รับการคุ้มครอง ให้รุ่งเรือง ให้ปลอดภัย เราลืมไปเสียสนิท แม้เมื่อพระภิกษุสงฆ์ท่านมองการณ์ไกล เล็งเห็นภัยที่จะเกิดขึ้น ได้บิณฑบาตขอให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เราทุกคนกลับ “กลัว” เป็นความกลัวแอบแฝงที่อยู่เหนือความ “รัก” เรากลัวศาสนิกอื่นจะต่อต้าน จะลุกฮือ เรากลัวประเทศชาติจะแตกแยก กลัวอย่างที่ศาสนิกอื่นเขาไม่เคยกลัวกัน กลัวเยี่ยงนี้เอง ที่ทำให้พระพุทธศาสนาหมดไปจากแผ่นดินหลายแผ่นดิน กลัวเช่นนี้เองที่ทำให้พระพุทธเจ้าต้องทรงประทับยืนเดียวดายไร้คนกราบไหว้ที่หน้าผาบามิยันเป็นเวลานานกระทั่งถูกทำลายเป็นผุยผง เพราะเรากลัวจนทำอะไรไม่ถูก ถึงกับยอมปฏิเสธเอกลักษณ์และพันธุกรรมแห่งชาติของตนเอง ต่างจากประเทศอื่น ที่เขายอมรับนับถือศาสนาประจำชาติ และปกครองศาสนิกอื่นอย่างร่มเย็นเป็นสุขได้เหมือนกัน ที่เรากลัวเช่นนี้ เพราะว่าเราขาดความมั่นใจ และขาดความเชื่อมั่นว่า พระรัตนตรัยจะจรรโลงให้ชาติคงอยู่อย่างสงบสุขได้ เหมือนที่เคยเป็นมาโดยตลอด เรามัวพลิกตำราการเมือง พลิกตำรากฎหมาย ซึ่งเขียนโดยปุถุชน จนลืมพลิกพระไตรปิฎกซึ่งถ่ายทอดมาโดยอริยชน เพื่อศึกษาว่าสมัยก่อนแว่นแคว้นต่างๆยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาอย่างไร อุปถัมภ์อย่างไร ปกป้องคุ้มครองดูแลอย่างไร[font="Times New Roman"]
ถ้าในวันนี้ ในปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบ วันที่ประชากรไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธเกินกว่า 80% เรายังไม่สามารถบัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติได้ แล้วเมื่อใดเล่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าประเทศไทยปฏิเสธว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาประจำชาติตนเสียแล้ว ประเทศอื่นจะทำอย่างไร ลองคิดดูเถิดครับว่าถ้าหากทุกวันนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอิทธิบาท และยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ควรเสด็จประทับ ณ ประเทศใด ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์ไม่สามารถประทับที่บามิยันได้อีกแล้ว เพราะชนแห่งนั้นหมดความเลื่อมใสศรัทธาในพระองค์ แม้ว่าพุทธศาสนาเคยรุ่งเรืองอย่างยิ่งในที่นั้น แล้วที่แห่งใดเล่า ที่พระองค์ควรเสด็จไป ชนชาวสยามจะพร้อมใจกันกราบทูลอาราธนาพระองค์ให้เสด็จมาประทับอย่างปลอดภัย ณ ดินแดนของเราได้หรือ
เด็กน้อยๆคนหนึ่งที่วิ่งฝ่าความมืด กำพระที่คล้องคอเอาไว้แน่น เชื่อมั่นเหลือเกินว่า พระจะคุ้มครองให้ปลอดภัย วันนี้เด็กคนนั้นยังคงเชื่อมั่นว่า หากชาวไทยทุกคนยังกำพระที่คล้องคอเราเอาไว้ให้แน่น ยึดมั่นในคำสอนของพระองค์อย่างที่บรรพบุรุษของเราทำกันมาโดยตลอด ประเทศชาติย่อมพ้นวิกฤติไปได้อย่างไม่ยากลำบากเหมือนทุกวันนี้ แต่ถ้าหากวันใด ชาวไทยพร้อมใจกันปลดพระออกจากใจและสร้อยคอ หันมานิยมเทพเจ้าผู้ให้โชคลาภ ให้อยู่ยงคงกระพัน ให้ร่ำให้รวย ฝักใฝ่ในวัฒนธรรมนำเข้า พึงพอใจในอารยธรรมอื่น มากกว่าอารยธรรมของตน และมีความ “กลัว” ในสิ่งต่างๆ มากกว่าความ “รัก” ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อนั้นประเทศทั้งประเทศก็ไม่ต่างอะไรกับว่าวน้อยโต้ลม ที่หลุดขาดจากสายป่าน ล่องลอยไปไร้ทิศทาง รอคอยวันร่วงหล่น ดิ่งสู่ผืนปฐพี
ผมยอมรับว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนั้นไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่ต้องระบุว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะตลอดยุคสมัยแห่งการก่อตั้งชาติไทย ชาวไทยทุกคน ทั้งผู้ปกครอง และประชาชน ต่างมีพระพุทธศาสนาสถิตอยู่ประจำใจมาโดยตลอด ทุกๆท่านล้วนเห็นคุณในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แม้ออกรบ ออกศึก ก็ลั่นวาจาว่าจะปกป้องพระเณร เถร ชี กู้ชาติ ศาสนา พลีชีพเป็นพุทธบูชา กล่าวได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับลั่นสัจจะวาจา ซึ่งศักดิ์สิทธิ์และทรงคุณค่า มากกว่าฉบับอักขระที่สามารถเขียนและลบได้บ่อยครั้ง รัฐธรรมนูญฉบับสัจจะวาจานี้เองที่พาประเทศให้พ้นภัยมาได้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ประชาชนหันมานิยมระบอบการปกครองใหม่ จะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือที่จะนำรัฐธรรมนูญฉบับสัจจะวาจาของบรรพบุรุษมาจารึกเป็นอักษรให้ชัดเจน เนื่องด้วยว่าคนสมัยนี้ลืมง่าย เข้าใจยาก จะเป็นไปได้ไหม หากเราจะทำใจให้เด็ดเดี่ยวเหมือนบรรพบุรุษของเรา แล้วพร้อมใจกันอาราธนาพระพุทธเจ้ากลับมาประทับในใจเราเหมือนอย่างเดิมเพื่อกู้ชาติ ให้ท่านเสด็จมาประทับในประเทศไทยอย่างปลอดภัย ให้ท่านมาประทับคล้องคอเราเหมือนอย่างเดิม ให้เรารัก หวงแหน และคุ้มครองท่าน อย่ารอจนถึงวันที่ท่านต้องเสด็จจากไปอย่างไม่น่าเชื่อที่หน้าผาบามิยัน
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.. นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต...” เสียงหญิงชรา กล่าวอย่างช้าๆหน้าโต๊ะหมู่บูชา ต่อหน้าพระแก้วมรกตองค์เดิม เธอก้มน้อมกราบพระอย่างช้าๆคนเดียว ก่อนนั่งกำหนดจิตสงบไปในสมาธิ วันนี้แม้เธอยังต้องค้าขายในตลาดเหมือนดั่งที่ทำมาตลอดสี่สิบปี แต่เธอก็หมดหนี้หมดสิน อยู่สบายตามอัตภาพ ผมกลับมาเยี่ยมแม่ที่บ้านสัปดาห์ละครั้ง พบว่ามีเพียงแม่และผมเท่านั้น ที่ยังผูกพันอยู่กับหิ้งพระ นับตั้งแต่พ้นวิกฤตครอบครัว เราก็ไม่ได้สวดมนต์พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกเลย ผมกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า แม่และผมรัก ศึกษา และปฏิบัติพระพุทธศาสนา และความรักนี้อยู่เหนือความกลัวทั้งปวง แม้คนอื่นๆจะเพลิดเพลินไปกับชีวิตสมัยใหม่ จนลืมพระไปเสียสนิท ผมยังคงหวังว่าครอบครัวของเราจะได้สวดมนต์ไหว้พระพร้อมหน้าพร้อมตากันอีก แม้เราจะไม่เดือดร้อนอะไรเหมือนก่อน หรือไม่เช่นนั้น ก็คงต้องคอยวันที่เขาหลับสนิทในกล่องแคบๆอย่างไม่มีวันกลับ วันๆนั้นพระสงฆ์ก็จะสวดให้เราฟังกันพร้อมหน้าพร้อมตา สาธยายธรรมต่อหน้าพระประธานบนโต๊ะหมู่ บอกทางสว่างให้แก่เราเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ที่ปฏิเสธพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ก็ตาม
เมื่อความกลัว อยู่เหนือความรัก
เริ่มโดย Dhamma Bot, Jun 21 2007 02:55 PM
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 21 June 2007 - 02:55 PM
#2
โพสต์เมื่อ 21 June 2007 - 08:41 PM
เป็นบทความที่ถ่ายทอดความรู้สึกของพุทธศาสนิกชน ที่จับใจมากครับ
ขอโหวตให้ครับ
1 ) ทำให้นึกถึงความรู้สึกของบรรพชนแห่งพุทธศาสนิก ที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนาไว้ด้วยชีวิต
กระทั่ง พระธรรมวินัย สืบทอดเป็น ธรรมมรดกตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน
2 ) และจากการที่พุทธจักร ถูกภัยภายนอก คือ
ภัยแห่งลัทธิความเชื่ออื่นและบุคคลบางพวกในอาณาจักร มาเบียดเบียน
จึงทำให้นึกถึงภาษิตที่กล่าวทำนองว่า
ฉะนั้น เมื่อมีภัยต่างๆมาเบียดเบียน พุทธศาสนา
การออกมาปกป้องผองภัย ของพุทธบริษัท
โดยเฉพาะ ภิกษุ สงฆ์ ผู้เป็นศาสนทายาท ของพระบรมศาสดา
ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว
3 ) ทำให้สังเวชใจ กับคำกล่าวที่ว่า
พุทธบุตร พระ ภิกษุ สงฆ์ ที่ชุมนุมที่ รัฐสภาวนารามเพื่อปกป้อง และยกย่องพระพุทธศาสนา ว่า
ไม่ใช่กิจของสงฆ์ จะไม่นับถือ สงฆ์ อีกแล้ว
( แต่ตนเอง ก็ดูดายไม่ทำหน้าที่นี้แทน สงฆ์ )
4 ) ทำให้นึกถึง กระแสปรารถนาสุขนิยม ในทางโลกียะของมวลมนุษย์ในยุคนี้ว่า
นับวัน ลัทธิ สุขนิยม และกระแสกามานุวัตร
กำลังรุกคืบ และยึด เห็น จำ คิด รู้ ของมวลมนุษย์ได้อย่างน่าสลดใจ
ขอโหวตให้ครับ
1 ) ทำให้นึกถึงความรู้สึกของบรรพชนแห่งพุทธศาสนิก ที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนาไว้ด้วยชีวิต
กระทั่ง พระธรรมวินัย สืบทอดเป็น ธรรมมรดกตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน
2 ) และจากการที่พุทธจักร ถูกภัยภายนอก คือ
ภัยแห่งลัทธิความเชื่ออื่นและบุคคลบางพวกในอาณาจักร มาเบียดเบียน
จึงทำให้นึกถึงภาษิตที่กล่าวทำนองว่า
QUOTE
ชื่นชมบุคคลที่ควรชื่นชม กำราบบุคคลที่ควรกำราบ
ฉะนั้น เมื่อมีภัยต่างๆมาเบียดเบียน พุทธศาสนา
การออกมาปกป้องผองภัย ของพุทธบริษัท
โดยเฉพาะ ภิกษุ สงฆ์ ผู้เป็นศาสนทายาท ของพระบรมศาสดา
ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว
QUOTE
จะรอให้เขาเข้ามาตัดหัว บั่นคอ ภิกษุ แบบในภาคใต้ อย่างนั้นฤา ?
3 ) ทำให้สังเวชใจ กับคำกล่าวที่ว่า
พุทธบุตร พระ ภิกษุ สงฆ์ ที่ชุมนุมที่ รัฐสภาวนารามเพื่อปกป้อง และยกย่องพระพุทธศาสนา ว่า
ไม่ใช่กิจของสงฆ์ จะไม่นับถือ สงฆ์ อีกแล้ว
( แต่ตนเอง ก็ดูดายไม่ทำหน้าที่นี้แทน สงฆ์ )
QUOTE
แล้วจะรอให้เขาบรรจุศาสนาอื่น เป็นศาสนประจำชาติไทย อย่างนั้นฤา ?
4 ) ทำให้นึกถึง กระแสปรารถนาสุขนิยม ในทางโลกียะของมวลมนุษย์ในยุคนี้ว่า
นับวัน ลัทธิ สุขนิยม และกระแสกามานุวัตร
กำลังรุกคืบ และยึด เห็น จำ คิด รู้ ของมวลมนุษย์ได้อย่างน่าสลดใจ
#3
โพสต์เมื่อ 25 June 2007 - 11:08 PM
สาธุ อนุโมทนา
นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก
#4
โพสต์เมื่อ 27 June 2007 - 07:19 PM
Thai people must study the history of the world.
#5
โพสต์เมื่อ 28 June 2007 - 07:38 PM
บทความยาว แต่อ่านแล้วคุ้มจริงๆครับ