จริงๆแล้วการนั่งสมาธิแล้วจะทำให้เกิดความสุขจริงหรือคะ แล้วระหว่างความสุขทางโลกกับทางธรรมต่างกันอย่างไรคะ........ ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ช่วยสละเวลามาอธิบายเป็นธรรมทาน
หนูอยากรู้ว่าความสุขหาได้ที่ไหนคะ
เริ่มโดย Thummada, Jul 21 2007 11:54 AM
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 21 July 2007 - 11:54 AM
#2
โพสต์เมื่อ 21 July 2007 - 12:00 PM
สุขทางโลกคือสุขที่ได้มาจากผู้อื่น ได้จากความพอใจของเราในวัตถุสิ่งของ
แต่สุขทางธรรมคือสุขที่เกิดจากความพอในสุขทางโลกเป็นระดับแรก และความสุขจากการเข้าถึงธรรมเป็นระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่สุขทางธรรมคือสุขที่เกิดจากความพอในสุขทางโลกเป็นระดับแรก และความสุขจากการเข้าถึงธรรมเป็นระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
สุนทรพ่อ
muralath2@hotmail
#3
โพสต์เมื่อ 21 July 2007 - 12:11 PM
สวัสดีครับคุณThummada และขอต้อนรับกับการโพสกระทู้ครั้งแรก
ขอตอบสั้นๆนะครับเพราะจะไปกินข้าว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขขัง สุขอื่นใดนอกจากความสงบไม่มี
ความสุขภายในที่เกิดจากการที่เราสงบกายวาจาใจทำสมาธิ ไม่ให้ไปข้องแวะกับสิ่งอื่นใดภายนอก ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง เมื่อหยุดข้องแวะข้องเกี่ยวกับสิ่งภายนอกก็เท่ากับเป็นการดับต้นเหตุแห่งความทุข เมื่อใดดับได้หมดสิ้น สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ก็เท่ากับว่าเราได้ดับทุขทั้งมวล จึงเหลือแต่ความสุขที่หาสุขอื่นใดมาเปรียบเทียบมิได้
ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่เป็น อนิจจังทุขขังอนัตตา เป็นความสุขที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่มีความยั่งยืนยาว มีสุขแล้วก็หมดสุขต้องแสวงหาใหม่ เมื่อแสวงหาไม่ได้ก็เกิดทุข เป็นอย่างนี้เรื่อยไป
ความสุขทางธรรม เป็นความสุขที่เกิดจากการที่เราแสวงหาทางดับทุขเข้าไปเรื่อยๆจนดับทุขได้สนิทถาวร ความสุขทางธรรมจึงยั่งยืนยาวนานเป็นนิรันด์ กว่าครับ
ขอตอบสั้นๆนะครับเพราะจะไปกินข้าว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขขัง สุขอื่นใดนอกจากความสงบไม่มี
ความสุขภายในที่เกิดจากการที่เราสงบกายวาจาใจทำสมาธิ ไม่ให้ไปข้องแวะกับสิ่งอื่นใดภายนอก ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง เมื่อหยุดข้องแวะข้องเกี่ยวกับสิ่งภายนอกก็เท่ากับเป็นการดับต้นเหตุแห่งความทุข เมื่อใดดับได้หมดสิ้น สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ก็เท่ากับว่าเราได้ดับทุขทั้งมวล จึงเหลือแต่ความสุขที่หาสุขอื่นใดมาเปรียบเทียบมิได้
ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่เป็น อนิจจังทุขขังอนัตตา เป็นความสุขที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่มีความยั่งยืนยาว มีสุขแล้วก็หมดสุขต้องแสวงหาใหม่ เมื่อแสวงหาไม่ได้ก็เกิดทุข เป็นอย่างนี้เรื่อยไป
ความสุขทางธรรม เป็นความสุขที่เกิดจากการที่เราแสวงหาทางดับทุขเข้าไปเรื่อยๆจนดับทุขได้สนิทถาวร ความสุขทางธรรมจึงยั่งยืนยาวนานเป็นนิรันด์ กว่าครับ
#4
โพสต์เมื่อ 21 July 2007 - 12:42 PM
QUOTE
ความสุขทางโลกกับทางธรรมต่างกันอย่างไรคะ
- สุขทางโลกเป็นกามสุข คือ พอใจใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่ก็เป็นความสุขที่เพลิดเพลินไม่จีรังยั่งยืน- สุขทางธรรม เป็นสุขที่ปราศจากทุกข์ทั้งมวล ไม่อยู่ในอำนาจของฝ่ายอกุศล
QUOTE
นั่งสมาธิแล้วจะทำให้เกิดความสุขจริงหรือคะ
- ไม่ลอง ก็ ไม่รู้ ลองแล้ว ก็ ต้องทำจริง เสมือนใครก็ตามที่บอกเราว่าอาหารร้านนี้อร่อย ถ้าเราอยากรู้ว่าอร่อยก็ต้องไปชิม
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC
#5
โพสต์เมื่อ 21 July 2007 - 03:14 PM
สำหรับน้องใหม่ ขออธิบายให้เห็นภาพแบบให้น้องนึกและพิจารณาตามนะครับ
อย่างแรก ความสุขทางโลก ขอถามน้องก่อนว่า น้องคิดว่าอะไรคือความสุขทางโลก ชื่อเสียง เงินทอง ความรักใช่หรือไม่ ถ้าน้องตอบว่าใช่ พี่ขอถามว่ามีชื่อเสียงแล้วเป็นสุขจริงหรือ มีเงินทองแล้วเป็นสุขจริงหรือ มีความรักแล้วเป็นสุขจริงหรือ ถ้าน้องว่าจริง พี่ก็อยากให้น้องดูจากคนรอบข้าง เช่นดาราดัง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ไปไหนมาไหนต้องคอยระวังตัวไม่ให้ตกเป็นข่าว ถูกปาปารัชซี่เฝ้าคอยจับผิด พอเป็นข่าวปุ๊บต้องตามแก้ข่าว น้องคิดว่ามีความสุขหรือไม่ มีความรักมีความสุขหรือ ต้องคอยมากังวลว่าแฟนเราจะมีคนอื่นคอยตามหึงตามหวงอยู่ตลอดเวลาแบบนี้น้องคิดว่ามีความสุขหรือไม่ มีเงินทองต้องคอยเฝ้าระวังตัวกลัวใครจะมาขโมย กลัวใครจะมาทำร้ายเช่นนี้น้องคิดว่ามีความสุขหรือไม่
ความสุขของทางโลกนั้นเป็นสุขแบบที่มีความทุกข์เจือปน มีความสุขได้สักพักก็จะมีความทุกข์ตามมาหรือเรียกได้ว่าเป็นความสุขภายนอกเพียงชั่วคราว
อย่างที่ 2 ความสุขทางธรรม คำว่าธรรมแปลได้รายความหมาย ความหมายหนึ่งแปลได้ว่าความจริงแท้ของมนุษย์ ธรรมนั้นแท้จริงแล้วเป็นเครื่องฝึกฝนการควบคุมจิตใจของมนุษย์ครับ เช่นศีล เราฝึกไม่ฆ่าสัตว์ไม่เบียดเบียนสัตว์ เมื่อเราไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนเขาแล้วเขาจะมาทำร้ายเราไหมครับ ซึ่งความหมายจริงๆแล้วนั่นก็คือไม่สร้างศัตรูนั่นเอง เมื่อไม่มีใครมาคิดร้ายเราเราจะอยู่อย่างเป็นสุขไหม ถูกต้องใช่ไหมครับ
ไม่ลักทรัพย์ เมื่อเราไม่ลักขโมยของใคร เราจะต้องมานั่งระแวงระวังกลัวว่าจะถูกเขาจับได้หรือไม่ ไม่ใช่ไหมครับ เราต้องมานั่งระแวงว่าตำรวจจะมาจับเราหรือไม่ ก็ไม่อีกใช่ไหมครับ ศีลข้ออื่นๆก็เช่นกัน
แล้วสมาธิให้ความสุขอย่างไร อย่างพื้นฐานอยากให้น้องลองสังเกตุดูรอบข้าง เดี๋ยวนี้ชีวิตมนุษย์วุ่นวายแค่ไหนจริงไหมครับ เดินไปไหนมาไหนก็เจอแต่คน บางคนเจอหน้ากันปุ๊บก็โดนนินทาซะแล้ว ขึ้นรถเมล์ต้องเจอกับสภาพเหมือนปลากระป๋อง ทุกข์แสนสาหัสจริงไหมครับ ทีนี้เรามาลองนั่งหลับตาไม่ต้องไปสนใจสิ่งรอบข้าง สังเกตุเห็นอะไรบ้าง เราอยู่ตัวคนเดียว ความอึกทึก ความกระทบกระทั่งก็หมดไป เราไม่ต้องทุกข์อีกแล้วจริงไหมครับ เพียงแค่นั่งหลับตาทุกอย่างก็หายไปสิ้น เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า ในความว่างเปล่านั้นเราจะเป็นอะไรก็ตามที่ใจเรานึก นี่ความสุขพื้นฐานมันอยู่ตรงนี้เองครับ ดังนั้นความสุขของสมาธิอย่างพื้นฐานเลยคือ ทำให้เราได้หลบหลีกหรือหนีจากความวุ่นวายรอบข้างเรานั่นเองครับ
ที่นี้ความสุขทางโลกกับความสุขทางธรรมแตกต่างกันอย่างไร
ความสุขทางโลกเราจะได้มาต้องลงทุนลงแรงใช่ไหมครับ อยากได้ทีวีเพื่อดูหนังคลายเครียดสักเครื่อง ต้องลำบากลำบนอดทนทำงาน บางคนไปกู้หนี้ยืมสินเขาใช้ไม่หมดเครียดหนักกว่าตอนไม่มีทีวีเสียอีก แต่ความสุขทางธรรม แค่บาทเดียวใส่กระป๋องให้ขอทานบางคนก็ภูมิใจแล้วจริงไหมครับ
ความสุขทางโลกบางอย่างได้มาแล้วก็จากไปแบบไม่มีวันได้คืนกลับมาบางทีถึงกับทำให้เราเสียใจเสียอีก เช่นแฟนมีแฟนแล้วมีความสุขแฟนเอาอกเอาใจทุกอย่างเป็นสามีอันดับ1แต่พอแฟนหรือสามีจากไปแบบไม่มีวันกลับ ความทุกข์ความโศกเศร้ามาเยือนล่ะสิครับทีนี้ ทีนี้มาลองทางธรรมดูบ้าง ถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิตไม่มีแฟนต้องมาคอยให้ห่วงใย ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับการจากไปแบบไม่มีวันกลับ จริงไหมครับ
เพราะฉนั้น ความสุขทางโลกคือความสุขที่อยู่ภายนอกได้มาแบบปนทุกข์ แต่ความสุขทางธรรมนั้นเป็นความสุขที่อยู่ภายใน มีสติคิดใคร่ครวญหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิด จึงเป็นความสุขแบบฐาวรจากภายในนั่นเองครับ
อย่างแรก ความสุขทางโลก ขอถามน้องก่อนว่า น้องคิดว่าอะไรคือความสุขทางโลก ชื่อเสียง เงินทอง ความรักใช่หรือไม่ ถ้าน้องตอบว่าใช่ พี่ขอถามว่ามีชื่อเสียงแล้วเป็นสุขจริงหรือ มีเงินทองแล้วเป็นสุขจริงหรือ มีความรักแล้วเป็นสุขจริงหรือ ถ้าน้องว่าจริง พี่ก็อยากให้น้องดูจากคนรอบข้าง เช่นดาราดัง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ไปไหนมาไหนต้องคอยระวังตัวไม่ให้ตกเป็นข่าว ถูกปาปารัชซี่เฝ้าคอยจับผิด พอเป็นข่าวปุ๊บต้องตามแก้ข่าว น้องคิดว่ามีความสุขหรือไม่ มีความรักมีความสุขหรือ ต้องคอยมากังวลว่าแฟนเราจะมีคนอื่นคอยตามหึงตามหวงอยู่ตลอดเวลาแบบนี้น้องคิดว่ามีความสุขหรือไม่ มีเงินทองต้องคอยเฝ้าระวังตัวกลัวใครจะมาขโมย กลัวใครจะมาทำร้ายเช่นนี้น้องคิดว่ามีความสุขหรือไม่
ความสุขของทางโลกนั้นเป็นสุขแบบที่มีความทุกข์เจือปน มีความสุขได้สักพักก็จะมีความทุกข์ตามมาหรือเรียกได้ว่าเป็นความสุขภายนอกเพียงชั่วคราว
อย่างที่ 2 ความสุขทางธรรม คำว่าธรรมแปลได้รายความหมาย ความหมายหนึ่งแปลได้ว่าความจริงแท้ของมนุษย์ ธรรมนั้นแท้จริงแล้วเป็นเครื่องฝึกฝนการควบคุมจิตใจของมนุษย์ครับ เช่นศีล เราฝึกไม่ฆ่าสัตว์ไม่เบียดเบียนสัตว์ เมื่อเราไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนเขาแล้วเขาจะมาทำร้ายเราไหมครับ ซึ่งความหมายจริงๆแล้วนั่นก็คือไม่สร้างศัตรูนั่นเอง เมื่อไม่มีใครมาคิดร้ายเราเราจะอยู่อย่างเป็นสุขไหม ถูกต้องใช่ไหมครับ
ไม่ลักทรัพย์ เมื่อเราไม่ลักขโมยของใคร เราจะต้องมานั่งระแวงระวังกลัวว่าจะถูกเขาจับได้หรือไม่ ไม่ใช่ไหมครับ เราต้องมานั่งระแวงว่าตำรวจจะมาจับเราหรือไม่ ก็ไม่อีกใช่ไหมครับ ศีลข้ออื่นๆก็เช่นกัน
แล้วสมาธิให้ความสุขอย่างไร อย่างพื้นฐานอยากให้น้องลองสังเกตุดูรอบข้าง เดี๋ยวนี้ชีวิตมนุษย์วุ่นวายแค่ไหนจริงไหมครับ เดินไปไหนมาไหนก็เจอแต่คน บางคนเจอหน้ากันปุ๊บก็โดนนินทาซะแล้ว ขึ้นรถเมล์ต้องเจอกับสภาพเหมือนปลากระป๋อง ทุกข์แสนสาหัสจริงไหมครับ ทีนี้เรามาลองนั่งหลับตาไม่ต้องไปสนใจสิ่งรอบข้าง สังเกตุเห็นอะไรบ้าง เราอยู่ตัวคนเดียว ความอึกทึก ความกระทบกระทั่งก็หมดไป เราไม่ต้องทุกข์อีกแล้วจริงไหมครับ เพียงแค่นั่งหลับตาทุกอย่างก็หายไปสิ้น เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า ในความว่างเปล่านั้นเราจะเป็นอะไรก็ตามที่ใจเรานึก นี่ความสุขพื้นฐานมันอยู่ตรงนี้เองครับ ดังนั้นความสุขของสมาธิอย่างพื้นฐานเลยคือ ทำให้เราได้หลบหลีกหรือหนีจากความวุ่นวายรอบข้างเรานั่นเองครับ
ที่นี้ความสุขทางโลกกับความสุขทางธรรมแตกต่างกันอย่างไร
ความสุขทางโลกเราจะได้มาต้องลงทุนลงแรงใช่ไหมครับ อยากได้ทีวีเพื่อดูหนังคลายเครียดสักเครื่อง ต้องลำบากลำบนอดทนทำงาน บางคนไปกู้หนี้ยืมสินเขาใช้ไม่หมดเครียดหนักกว่าตอนไม่มีทีวีเสียอีก แต่ความสุขทางธรรม แค่บาทเดียวใส่กระป๋องให้ขอทานบางคนก็ภูมิใจแล้วจริงไหมครับ
ความสุขทางโลกบางอย่างได้มาแล้วก็จากไปแบบไม่มีวันได้คืนกลับมาบางทีถึงกับทำให้เราเสียใจเสียอีก เช่นแฟนมีแฟนแล้วมีความสุขแฟนเอาอกเอาใจทุกอย่างเป็นสามีอันดับ1แต่พอแฟนหรือสามีจากไปแบบไม่มีวันกลับ ความทุกข์ความโศกเศร้ามาเยือนล่ะสิครับทีนี้ ทีนี้มาลองทางธรรมดูบ้าง ถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิตไม่มีแฟนต้องมาคอยให้ห่วงใย ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับการจากไปแบบไม่มีวันกลับ จริงไหมครับ
เพราะฉนั้น ความสุขทางโลกคือความสุขที่อยู่ภายนอกได้มาแบบปนทุกข์ แต่ความสุขทางธรรมนั้นเป็นความสุขที่อยู่ภายใน มีสติคิดใคร่ครวญหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิด จึงเป็นความสุขแบบฐาวรจากภายในนั่นเองครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#6
โพสต์เมื่อ 21 July 2007 - 05:37 PM
สาธุ สำหรับทุกความเห็นดีมากๆเลย อนุโมทนาบุญค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 22 July 2007 - 06:05 PM
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านเลยนะคะ แล้วก็อนุโมทนากับทุกๆความคิดเห็นสร้างความกระจ่างให้เยอะเลยค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 22 July 2007 - 08:02 PM
QUOTE
นั่งสมาธิแล้วจะทำให้เกิดความสุขจริงหรือคะ
จริงครับ...... จะรู้ได้ด้วยตนเองเมื่อใจหยุดนิ่ง เป็นสมาธิ
#9
โพสต์เมื่อ 23 July 2007 - 11:25 AM
อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับ สาธุๆๆ