ผมอยากจะทราบว่าเพราะกรรมใดจึงทำให้หลายคนรักคนที่รักแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันครับ แต่คนที่ไม่ได้รักเลยกลับมาเป็นคู่เรา
อีกข้อนะครับอยากถามว่าแฟนขี้งอนเพราะเหตุใด กรรมใดครับ
คนทีรักไม่ได้ คนที่ได้ไม่ได้รัก
เริ่มโดย kwanchai, Jul 23 2007 04:56 PM
มี 5 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 23 July 2007 - 04:56 PM
#2
โพสต์เมื่อ 23 July 2007 - 05:45 PM
อ่านกระทู้เก่ากึ๊กที่นี่
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=2559
แฟนขี้งอนก็ดีแล้วครับ เค้าเปิดโอกาสให้เราได้ง้อ หวานแหว๋วดีออก
#3
โพสต์เมื่อ 23 July 2007 - 05:52 PM
เรื่องแฟน...เคยมี..มีแต่เรื่องวุ่นวาย...ทุกข์ใจ น่าเบื่อ..น่ารำคาญ ขนาดใจเราบางครั้งเรายังเคื่องหรือไม่พอใจตัวเอง..มีเหรอใจคนอืนเราจะไปควบคุมได้... มาเอาใจตัวเองดีกว่า เอามาไว้ที่ 072...ไม่เหงา ไม่เบื่อ ไม่เซ็ง แล้วคุณจะพบว่าตกหลุมรักตัวเอง...จริงๆ...ขอบอก...ทำมาแล้ว...ฝึกค่ะ..ใจคุณฝึกได้ ค่อยๆฝึกไป...เป็นกำลังใจให้ลูกพระธัมด้วยกันค่ะ...
#4
โพสต์เมื่อ 24 July 2007 - 10:08 AM
อันนี้ขอเอาประสบการณ์โดยตรงของผมมาเล่าเพื่อคิดวิเคราะห์เปรียบเทียบดูน่ะครับว่าจะมีส่วนที่ทำให้เป็นอย่างที่คุณเจ้าของกระทู้ว่าไว้หรือไม่
เรื่องของผมเป็นช่วงที่ผมหลุดออกไปนอกวงระยะหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่าผมได้คบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ช่วงนั้นกำลังหน้ามืดตามัว แต่ก็มีพาผู้หญิงคนนั้นมาทำบุญที่วัดบ้างเหมือนกันแต่ไม่บ่อยนัก ช่วงที่พาผู้หญิงคนนี้มาทำบุญที่วัด ผมเคยสอนเขาว่าทำบุญต้องอธิฐานจิตด้วยแล้วถามเขาว่าอธิฐานอะไรไปบ้าง เขาตอบกลับมาว่าอธิฐานให้เราได้เกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก เป็นอธิฐานที่โง่มากใช่ไหมครับในตอนนั้น แต่หลังจากได้คบกับเขาเรื่อยมาเป็นเวลาเกือบ10ปี ปรากฎว่าเขาไปมีผู้ชายคนใหม่ แล้วเห็นคนใหม่สำคัญกว่า จึงทำให้ผมทนไม่ได้ถึงกลับหลุดปากออกไปว่า ชาตินี้ชาติหน้าขออย่าได้เจอกันอีกเลย ถึงได้เจอกันก็อย่าให้ได้แต่งงานด้วยกันเลย
นี่เป็นเรื่องราวของผมที่ดันหน้ามืดตามัวไปก่อวิบากกรรมในชาตินี้ ซึ่งจะแก้ไขคงไม่ทันแล้ว มีแต่ต้องทำให้หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย และอโหสิกรรมให้กับผู้หญิงคนนั้น นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเราเกิดมาแล้วรักกันแต่กลับไม่ได้แต่งงานกันก็เป็นได้จริงไหมครับ ลองเอาไปคิดวิเคราะห์ดูนะครับ
แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่าได้คิดมีแฟนหรือมีคู่ครองเลยนะครับ มีรักก็เหมือนมีทุกข์ มีสุขเพียงชั่วคราวแต่กลับได้ทุกข์มาฐาวร เหมือนมีบ่วงผูกคอจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่หลุด บางคนคิดว่าตัวเองดิ้นหลุด แต่ที่ไหนได้บ่วงยังคล้องติดอยู่ที่คอ เหมือนกับกวางติดบ่วงนายพราน ดิ้นรนจนบ่วงขาดก็วิ่งจนสุดชีวิต เหลียวหลังหันกลับไปมองไม่เห็นบ่วงของนายพรานแล้วก็ดีใจคิดว่าตัวเองรอดแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าบ่วงที่ขาดออกมานั้นยังติดอยู่ที่คอของตน เป็นภาระให้ต้องแบกรับต่อไป
เรื่องของผมเป็นช่วงที่ผมหลุดออกไปนอกวงระยะหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่าผมได้คบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ช่วงนั้นกำลังหน้ามืดตามัว แต่ก็มีพาผู้หญิงคนนั้นมาทำบุญที่วัดบ้างเหมือนกันแต่ไม่บ่อยนัก ช่วงที่พาผู้หญิงคนนี้มาทำบุญที่วัด ผมเคยสอนเขาว่าทำบุญต้องอธิฐานจิตด้วยแล้วถามเขาว่าอธิฐานอะไรไปบ้าง เขาตอบกลับมาว่าอธิฐานให้เราได้เกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก เป็นอธิฐานที่โง่มากใช่ไหมครับในตอนนั้น แต่หลังจากได้คบกับเขาเรื่อยมาเป็นเวลาเกือบ10ปี ปรากฎว่าเขาไปมีผู้ชายคนใหม่ แล้วเห็นคนใหม่สำคัญกว่า จึงทำให้ผมทนไม่ได้ถึงกลับหลุดปากออกไปว่า ชาตินี้ชาติหน้าขออย่าได้เจอกันอีกเลย ถึงได้เจอกันก็อย่าให้ได้แต่งงานด้วยกันเลย
นี่เป็นเรื่องราวของผมที่ดันหน้ามืดตามัวไปก่อวิบากกรรมในชาตินี้ ซึ่งจะแก้ไขคงไม่ทันแล้ว มีแต่ต้องทำให้หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย และอโหสิกรรมให้กับผู้หญิงคนนั้น นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเราเกิดมาแล้วรักกันแต่กลับไม่ได้แต่งงานกันก็เป็นได้จริงไหมครับ ลองเอาไปคิดวิเคราะห์ดูนะครับ
แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่าได้คิดมีแฟนหรือมีคู่ครองเลยนะครับ มีรักก็เหมือนมีทุกข์ มีสุขเพียงชั่วคราวแต่กลับได้ทุกข์มาฐาวร เหมือนมีบ่วงผูกคอจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่หลุด บางคนคิดว่าตัวเองดิ้นหลุด แต่ที่ไหนได้บ่วงยังคล้องติดอยู่ที่คอ เหมือนกับกวางติดบ่วงนายพราน ดิ้นรนจนบ่วงขาดก็วิ่งจนสุดชีวิต เหลียวหลังหันกลับไปมองไม่เห็นบ่วงของนายพรานแล้วก็ดีใจคิดว่าตัวเองรอดแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าบ่วงที่ขาดออกมานั้นยังติดอยู่ที่คอของตน เป็นภาระให้ต้องแบกรับต่อไป
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#5
โพสต์เมื่อ 24 July 2007 - 12:00 PM
เห็นด้วย และสนับสนุนตามแนวคิดของทุกท่านที่ตอบ
#6
โพสต์เมื่อ 25 July 2007 - 08:00 AM
เรื่องของวิบากกรรม อาจจะซ้ำซ้อน หลายชั้น
หากอยากรู้เขียน Case เถอ่ะ เป็น ธรรมทาน วิทยาทาน
ด้วยค่ะ สาธุ
หากอยากรู้เขียน Case เถอ่ะ เป็น ธรรมทาน วิทยาทาน
ด้วยค่ะ สาธุ