ตัดใจไม่ไหว
#1
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 11:22 AM
ในความรักครั้งนี้ผมไม่ต้องการดึงเขามาครอบครอง ทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ความห่วงนั้นมีมากเหลือเกิน ไม่อยากให้เขาไปเถลไถล ผมต้องทำอย่างไรดี ถึงจะหมดความรู้สึกห่วง ไม่อยากรักอีกแล้ว สงสารตัวเองเหลือเกิน สงสารคนที่อยู่รอบข้าง สงสารคนที่รักเราทุกคน คนๆเดียวทำไมถีงมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้ ในอดีตชาติผมเคยทำให้เขาผิดหวังหรือ หรือเขาเคยเป็นคนรักผมมาก่อน
#2
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 12:03 PM
นี่แหล่ะน้าความรัก ยังไม่ทันเริ่มต้นก็มีทุกข์เสียแล้วจากที่อ่านดูพอจะรู้แล้วว่าน้องรู้สึกยังไง ตอนนี้น้องกำลังโดนมารที่ชื่อว่าหลงสิงอยู่ในใจ ซึ่งดูแล้วท่าทางสมาธิจะช่วยอะไรน้องไม่ได้มากแล้ว หลับตาก็คงนึกได้แต่หน้าของคนๆนั้นใช่ไหม มันยากที่จะแก้ไขแต่ก็ไม่สายเกินไปนัก วิธีแก้ไขนั้นมีขึ้นอยู่กับว่าน้องจะหมั่นทำหรือปฏิบัติหรือไม่ วิธีแก้ความหลงนั้นก็คือต้องปลงอสุภะ ให้น้องคิดบ่อยๆเสมอๆ หากเขาแก่ตัวไปใบหน้าเหี่ยว ผิวหย่อนยาน คางมีเหนียงย้อย อาจอ้วนฉุเป็นหมูพะโล้ น้องจะยังคงความรักในตัวผู้หญิงคนนี้ได้หรือไม่ น้องทำใจเป็นคนใช้เขาตลอดชีวิตหรือไม่ หารูปคนแก่มาดูแล้วนึกทบทวน หากวันหนึ่งเขาเป็นแบบนี้ น้องจะยังรักเขาอยู่อีกหรือเปล่า
ขอเตือนน้องไว้อย่างนะ ความรักดูเหมือนมีสุขก็จริง แต่ก็เป็นสุขเพียงแค่ชั่วคราว แต่ทุกข์นั้นถาวร เหมือนเอาบ่วงมาคล้องคอตนเองเอาไปอย่างที่เขาเรียกกันว่าโซ่ท้องคล้องใจ ถ้าน้องอยากรู้ว่าทุกข์ยังไง ลองหาซื้อสร้อยทองเส้นโตๆสักเส้นมาใส่คอดู แรกๆจะรู้สึกภูมิใจมีความสุขว่าเรารวยมีสร้อยทองเส้นโตๆใส่ใช่ไหม แต่พอใส่ไปนานๆเข้า คอเริ่มเจ็บเพราะแบกรับนําหนักสร้อยทองเอาไว้ กระดูกคอเคลื่อนเพราะนําหนักกดทับ ส่งผลกระทบไปตลอดชีวิต ความรักก็เหมือนกัน มันทำให้มีความสุขแค่แปร๊บเดียว แต่ความทุกข์ที่ตามมามันตลอดชีวิตของน้อง เอากลับไปคิดดีๆแล้วกันว่ามันคุ้มไหมที่จะยอมเสียชีวิตทั้งชีวิตไปเพียงเพราะรักใครแค่คนเดียว
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 01:26 PM
ความรักไม่ใช่เรื่องเสียหายครับ รักใครทำใจชิลๆกล้าๆหน่อย
แต่ถ้าคิดจะเอาธรรมะก็ต้องละกามครับ อ้อ!หลวงพ่อทัตตะท่านว่า สุขทางกามเหมือนหมาแทะกระดูกครับหอมหวานแต่ไม่อิ่ม ไม่ถาวร.....
ผมเคยถามหลวงพ่อทัตตะว่า ทำอย่างไรผมจึงจะละกามราคะได้ ท่านว่า " ให้มืงเป็นพระอนาคามีก่อนค่อยมาคุย " โดนท่านตีเลยผม แต่ท่านก็ทิ้งท้ายว่า อย่าไปคิดถึงมันก็หมดเรื่อง เป็ยวิธีที่ดีที่สุดครับ
(บูดาเปส เป็นเมืองหลวงของประเทศ ฮังการี Budapest Hungary)
#4
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 02:42 PM
ไม่ลองไม่รู้
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#5
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 02:48 PM
#6
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 03:05 PM
คิดอย่างนี้เรื่อยๆ บ่อยๆ คิดทุกที่ที่เราไป ที่เราเจอมนุษย์ ที่บ้าน ที่ทำงาน ที่ป้ายรถเมลล์ หรือที่ต่างๆ มอง พูดผู้อื่นด้วยศูนย์กลางกาย แล้วไม่นานเราก็จะมีหวใจอย่างพระที่คิดเพียงแต่จะเกื่อกูลเพ่อนร่วมโลกเท่านั้น
เพียงแค่นี้เราก็จะคลายจากความรักครับ
อาจเป็นวิธีที่ไม่ดีที่สุด แต่พยายามตอบอย่างที่สุดแล้วครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
#7
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 04:55 PM
เพียง 1 กำลังใจ แม้น้อยนิด
แต่มากที่สุด
#8
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 05:13 PM
แต่ถ้าอารมย์เราเป็นแบบเบื่อๆ อยากๆ บางอารมย์อยากมีคนอยู่ข้างกาย บางอารมย์เบื่อชีวิตคู่ เบื่อที่ต้องมานั่งตามใจ เบื่อที่ต้องมาอดทน เบื่อที่ต้องเสียใจ นั่นก็แสดงว่า เรายังไม่พร้อมที่จะเสียสละชีวิตส่วนหนึ่งของเราให้กับคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งถ้าคบกันจริงๆ ก็ลำบากหน่อย
ถ้าเรามีอารมย์แบบนี้ ก็ต้องทบทวนให้หนักว่า เราต้องการชีวิตแบบไหนกันแน่ ถ้าเราอยากมีคู่มากกว่าเบื่อ เราต้องเลือกคู่บุญคู่บารมี และพร้อมที่จะเสียสละชีวิตส่วนหนึ่งของเราให้กับเขา แล้วชีวิตคู่ก็จะมีความสุข ว่าไงก็ว่าตามกัน แต่ถ้าเราตัดสินใจแน่แล้วว่า เบื่อมากกว่าอยาก เราก็นึกทบทวนถึงเหตุผลที่ทำให้เราเบื่อมากกว่าอยากบ่อยๆ นะจ๊ะ
นึกบ่อยๆ ซ้ำๆ เวลาทำบุญก็อธิษฐานว่า ให้เรารักชีวิตพรมจรรย์มากกว่าชีวิตคฤหัส ประมาณนี้นะจ๊ะ
พี่ว่า น้องยังไม่เคยคุยกับเขาเลย ลองคุยดูสิจ๊ะ อารมย์มันจะเปลี่ยนไปนะ บางทีเขาอาจไม่เป็นแบบที่เราฝันไว้ แล้วเราก็จะคลายไปเอง ความรู้สึกแบบนั้นก็จะเปลี่ยนไป เราก็ชวนเขามาสร้างบารมีกับหมู่คณะเพราะเราอยากให้เขามีชีวิตที่ดี เป็นกัลยาณมิตรให้เพื่อน แต่ถ้าเขาเป็นเหมือนที่เราฝันไว้ ก็ค่อยๆ ดูกันไป ดูว่า เราชอบชีวิตแบบไหนกันแน่ ดูให้แน่ใจ ดูว่าเขาเป็นยังไง เข้ากับเราได้ไหม เข้ากับครอบครัวเราได้ไหม รักชีวิตการสร้างบารมีแบบเราไหม เป็นต้น อย่างนี้แหละจ๊ะ หนุ่มน้อย
#9
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 05:36 PM
#10
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 05:56 PM
#11
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 07:41 PM
#12
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 10:37 PM
คุณลองไปสังเกตุดูนะเราจะโดนหลอกด้วยภาพลวงตาทั้งเพศหญิง ชาย เพราะทั้งสองเพศเลยจะดูสวยดูงามที่สุดตอน อายุ 15 - 25 พอเลยช่วงนี้ไปแล้วจะค่อยๆแย่ลงตามลำดับอย่าเพิ่งรีบร้อนอายุสัก 40 ก็ยังไม่สายผม 46 แล้วยังอิสระอยู่เลยพออายุมากขึ้นความคิดความอ่านก็จะเปลี่ยนตามไปด้วยจะมีข้อมูลสำหรับประกอบการตัดสินใจมากขึ้น อย่าเพิ่งใจร้อนเราต้องพบเจอคนสัตว์สิ่งของอะไรต่ออะไรอีกเยอะ
#13
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 09:28 AM
การครองพรหมจรรย์เป็นปณิธานที่ดีครับ แต่การครองเรือนก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป แม้พระโพธิสัตว์ก็ยังต้องมีคู่บุญบารมี เราท่าน หากยังบารมีไม่แก่ก็อาจพลาดไปมีครอบครัวมีเหย้ามีเรือนไปทุกคน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างบุญบารมีร่วมกันเลยเอาแบบอุกฤษยิ่งยวดไปเลย ครูบาอาจารย์ท่านไม่ห้ามหรอกครับ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ห้าม ให้ไปมีครอบครัว แต่ท่านสั่งสอนให้รู้ว่าสิ่งใหนสุข สิ่งใหนทุกข์ มากกว่ากัน สุขใหนยั่งยืนคงทนถาวรกว่ากัน เมื่อรู้อย่างนี้ผู้มีปัญญามีบารมีมากๆ ก็พึงสั่งสอนตัวเองตามกำลังปัญญาบารมีของตนไป
คุณยายท่านสอนว่า ใครมีบารมีมากน้อยกว่ากัน เค้าวัดกันที่ว่าใครจะสั่งสอนตัวเองได้แค่ไหน เราไม่รู้ตัวหรอกครับแต่สถานการมันจะบอกเราเองเรารักใครชอบใคร หากเรามีบารมีมากเราก็ตัดใจได้แล้วบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี ครองโสดประพฤติพรหมจรรย์ไป เราบารมีอ่อนเราก็ไปครองเรือนแล้วสร้างบารมีไปแบบทางโลก หรืออาจพลาดไปเจอคนไม่ดี ก็อาจตกเป็นทาษไปตลอดชีวิตก็ได้
เคยมีผู้นำบุญท่านหนึ่ง รู้ว่าลูกสาวจะแต่งงาน ก็ร้องไห้เสียใจ อยากจะให้ลูกสาวครองพรหมจรรย์ ก็ไปกราบหลวงพ่อทัตตะ เรียนท่านว่า หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกดิฉั้นจะแต่งงานเจ้าค่ะ หลวงพ่อก็บอกเสียงดังๆว่า " เอ้อ ... ช่างมันเห๊อะ "
#14
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 10:25 AM
#15
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 10:42 AM
#16
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 11:59 AM
ต้องขอบคุณ ความคิดเห็น ทุกๆ ความคิดเห็นในที่นี้มากๆ เลยนะครับ ...
อ่านแล้วได้สาระมาก ครับ บางครั้ง ความมืดมนเข้ามาครอบงำจิตใจ .... ก็อาจจะทำให้เราขาดแสงสว่าง ไป
ต้องมาทนทุกข์ อยู่กับความมืดมิด ...
แต่มาวันนี้ ... ได้มาเจอ ต ะ วั น เจอ ... ห มู่ ด า ว ...
คอยส่องแสงสว่างให้กับตัวเรา มันเหมือน กำลังใจ ที่ ไม่มีคำบรรยาย ...
รู้สึกมีความสุข อิ่มเอมใจ กับ ความคิดเล็กๆ น้อย ที่ประสาน เป็นข้อคิดดีๆ ...
ที่เป็นหนทางในการดำเนินชีวิต ไม่ให้ผิดพลาด ติดตามกันไปถึงที่สุดแห่งธรรม ...
ขอกราบอนุโมทนาบุญ กับทุกๆ ท่านมากๆ เลยนะครับ ...... สาธุ สาธุ สาธุ ...
.........
เ มื่ อ เ ร า ส ว่ า ง * * * โ ล ก * * * ก็ ส ว่ า ง ด้ ว ย ^^~*
ส า ธุ . . . ค รั บ ^^~*
#17
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 12:19 PM
by : นักเรียนอนุบาล Singha
ไฟล์แนบ
#18
โพสต์เมื่อ 12 August 2007 - 11:06 AM
#19
โพสต์เมื่อ 14 August 2007 - 08:44 AM
ทางที่จะไม่ให้มือพองเพราะไฟเผามีอยู่ทางเดียว คืออย่าจับไฟอย่าเล่นกับไฟ
ทางที่จะปลอดภัยจากรักก็ฉันนั้น มีอยู่ทางเดียวคือ...อย่ารัก...
#20
โพสต์เมื่อ 14 August 2007 - 09:44 AM
#21
โพสต์เมื่อ 18 August 2007 - 02:48 PM
อาจารย์ท่านได้หาวิธีแก้ไขอย่างไร