ผมถูกล้อ
#1
โพสต์เมื่อ 06 September 2007 - 11:04 PM
ผมผิดหรอครับที่ผมนับถือพระพุทธศาสนา และปฎิบัติในสิ่งที่ดีๆ
ผมมีเรื่องอยากจะถามนะครับ
ทำไมผมต้องถูกเพื่อนล้อด้วยครับ ทั้งๆที่ผมก็ตั้งใจปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี เวลาผมโดนล้อก็ได้แต่ยิ้ม บางครั้งก็รู้สึกโกรธบ้างแต่ก็พยายามข่มใจ
ผมเองพึ่งจะเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 2 ในอดีตก็เคยทำผิดไว้เยอะแต่ตอนนี้ ผมหันมาทำสิ่งที่ดีๆแล้วครับ
อยากทราบอีกเรื่องนึงนะครับ ผมกับเพื่อนชอบไปเล่นเกมส์ออนไลน์ เป็นเกมส์ที่มีการแบ่งฝ่ายกัน 2 ข้างนะครับ
แล้วก็ไล่ฆ่ากันในเกมส์
อยากถามว่าการทำแบบนี้ผมจะบาปมั้ยครับ ขนาดเวลาที่ผมโดนฆ่าในเกมส์ ผมก็รู้สึกโกรธ
เวลาเล่นเสร็จ ผมจะรู้สึกว่าตัวเองมีนิสัยที่แย่มากครับ
การสวดมนต์บ่อยๆช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นจริงหรือครับ เพราะอะไร
เพราะเหตุใดหรือครับที่ทำให้ผมต้องเกิดมาเป็นคนขี้วิตกกังวล ชาติที่แล้วผมทำอะไรไว้หรอครับ ช่วยตอบผมทีนะครับ
มีอีกเรื่องนะครับที่ผมอยากจะถาม
ผมจะเดินทางไปวัดธรรมกาย ต้องเตรียมตัวอย่างไรหรอครับ จำเป็นมั้ยที่ต้องแต่งชุดขาวไป
ช่วยกรุณาตอบด้วยนะครับ
#2
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 01:31 AM
#3
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 02:27 AM
เรื่องถูกล้อ ถ้าเพื่อนเค้าล้อเพราะว่าคุณทำความดี อาจจะเป็นเพราะว่าเค้ายังไม่เข้าใจในสื่งที่คุณทำ ก็คิดซะว่าเค้าก็เป็นเหมือนที่เราเคยเป็นมาก่อนละกันนะคะ ถ้าจะให้แนะนำก็... เป็นกัลยาณมิตรให้เพื่อนซะเลยสิคะ อธิบายให้เพื่อนเข้าใจ ว่าทำไมคุณถึงเปลี่ยน เปลี่ยนเพราะอะไร เปลี่ยนแล้วดียังไง ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ อธิบายให้เพื่อนฟังดี ๆ คิดว่าน่าจะมีซักวิธีให้เค้าเข้าใจคุณได้นะคะ (อาจจะเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานก่อนก็ได้ค่ะ ว่าทำไมคุณถึงเปลี่ยนมาทำสิ่งดี ๆ ลองใช้วิธีนั้นกับเพื่อนก่อนก็ได้นะคะ)
แต่ถ้าไม่ได้ผล ก็ต้องใจเย็น ๆ นะคะ คิดซะว่า สรรเสริญ กับ นินทา เป็นของคู่กันค่ะ ไม่มีใครไม่เคยถูกนินทา รึว่าให้เจ็บใจหรอกค่ะ
ส่วนเรื่องเกมส์ออนไลน์ โดยส่วนตัวคิดว่าคงไม่ถึงกับบาปหรอกค่ะ แต่คงจะทำให้ใจหมองได้ แล้วถ้าทำบ่อย ๆ ใจก็จะหมอง ๆๆๆๆๆๆ อาจจะไปกลายเป็นคตินิมิต ตอนละโลกได้นะคะ (น่ากลัว ๆๆ)
การสวดมนต์บ่อย ๆ จะทำให้เรามีสมาธิ และใจผูกกับพระรัตนตรัยอยู่เสมอ ๆ ค่ะ ทำให้ใจเราใส ๆๆๆๆ เมื่อใจใส ก็จะดึงดูดสิ่งดี ๆ ให้เข้ามาในชีวิตได้ง่ายค่ะ
เรื่องวิตกกังวล ไม่ต้องไปคิดถึงชาติที่แล้วหรอกค่ะ ว่าทำอะไรมา เรารู้แค่ว่าชาตินี้เรามีข้อเสียตรงไหน ก็แก้ตรงนั้น เพราะเราเป็นผู้ออกแบบชีวิตค่ะ อะไรไม่ดีก็แก้ไขซะ ถ้าขี้วิตกกังวลก็นั่งสมาธิบ่อย ๆ สิคะ ใจจะได้ใส ๆ เดี๋ยวก็จะหายวิตกไปเองแหล่ะค่ะ
ส่วนเรื่องการแต่งกายมาวัดพระธรรมกาย ควรเป็นชุดขาวค่ะ หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นเสื้อสีขาวนะคะ ไม่งั้นมาแล้วอาจจะเขินได้ อิอิ ...มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมชาวพุทธที่ดีกันนะคะ
#4
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 08:12 AM
เรื่องเล่นเกมส์นี่ MIHARU ว่ามันเสียเวลาไปเปล่าๆนา น้องกำลังอยู่ในวัยเรียนด้วย เอาเวลาเล่นเกมส์มานั่งสมาธิดีกว่านะ ถ้าน้องอยากทำดีจริงๆ ส่วนจะบาปมั้ย คงต้องให้ผู้รู้มาตอบดีกว่า ตามความคิดของ MIHARU ถ้าเกมส์ที่เล่นต้องไปเสียเงินเล่นตามร้านเนทล่ะก็ ... น้องเรียนอยู่ปี 2 คงยังไม่มีรายได้ใช่มั้ยคะ คงยังต้องรับเงินจากคุณพ่อคุณแม่ ท่านส่งเรามาเรียนหนังสือ ให้เงินเรามาซื้อข้าวกินเพื่อที่จะได้มีกำลังกาย และกำลังสมอง ในการศึกษาเล่าเรียน แต่เรากลับเอาเงินที่ท่านหามาด้วยความยากลำบาก มาเล่นเกมส์ ใช้กายหยาบที่ท่านให้มาเพื่อการศึกษาเล่าเรียน และสั่งสมบารมี เอามานั่งเล่นเกมส์ฆ่ากัน เพาะบ่มจิตใจให้เป็นคนโหดร้ายโดยไม่รู้ตัว ทำให้ตัวเองโกรธขึ้นมากับเกมส์ที่ไม่เป็นสาระ เอาเท่านี้ก่อน น้องลองคิดดูแล้วกันนะคะ
การสวดมนต์ ทำให้จิตมีสมาธิ จิตใจยึดเหนี่ยวในพระรัตนตรัย ชีวิตจะดีขึ้นได้ ก็เพราะใจที่มีสมาธิ จะมีสมาธิ ก็ต้องนั่งสมาธิบ่อยๆ จนคุ้นชิน การสวดมนต์อย่างเดียว แต่สวดไปอย่างนั้น แต่ไม่ปฏิบัติ สวดเสร็จก็ไปจิตใจร้อนรุ่มกับเรื่องราวภายนอกต่อ คงไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นหรอกค่ะ
ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น ขอแนะนำให้นั่งสมาธิบ่อยๆอีกเหมือนกัน จะค่อยๆหายไปเอง เพราะเราจะมีสติ ค่อยๆคิด แล้วหาสาเหตุ ไปแก้ปัญหานั้น ส่วนที่ว่าไปทำอะไรมาถึงเป็นคนแบบนี้ ถึงทราบไปก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่าค่ะ
ก่อนมาวัด ทำใจให้สบาย ให้อารมณ์ดี ทำใจใสๆ คิดว่าเราจะมาทำบุญ ต้องได้บุญกลับไปเต็มที่ ส่วนเสื้อผ้า ก็ใส่เสื้อสีขาวที่สุภาพมาก็ได้ค่ะ ขาวล้วนทั้งชุดก็ดี แต่ถ้าจะไปสักการะรูปหล่อทองคำหลวงปู่ ก็ต้องใส่ชุดขาว ขาวตามที่ทางวัดกำหนดไว้นะคะ
#5
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 09:35 AM
สำหรับเรื่องเล่นเกมมันคงไม่บาปเพราะเราไม่ได้ฆ่าคนจริง ๆ เป็นแค่ในเกมเท่านั้น แต่เกมการต่อสู้มันทำให้จิตใจเราหยาบขึ้น และเศร้าหมอง เพราะเราคิดแต่จะเอาชนะและฆ่ากันในเกม ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมาะสมติดธาตุธรรมของเรา สู้เอาเวลาไปเล่นกีฬา อ่านหนังสือ สวดมนต์ นั่งสมาธิจะดีกว่าเพราะได้ทั้งบุญและเกิดประโยชน์กับตัวเรา
การสวดมนต์เป็นการสร้างสมาธิได้อย่างหนึ่ง แต่ขณะสวดมนต์จิตใจควรสงบและจดจ่อกับการสวดมนต์เพียงอย่างเดียวไม่วอกแวกคิดฟุ้งซ่านในเรื่องอื่น แม้ว่าปากจะสวดมนต์ไปแต่ใจยังคิดฟุ่งซ่านอันนี้ย่อมไม่เกิดผล ถ้าจะให้เกิดผลที่ดีกว่านั้นคือการนั่งสมาธิ การนั่งสมาธิทำใจให้หยุดนิ่งเพียงแค่นาทีเดียวแต่ได้อานิสงค์ผลบุญมากมาย พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (สด จันทสโร) ได้เคยกล่าวไว้ (จำได้คร่าว ๆ)ว่า "การทำใจหยุดนิ่งเพียงแค่แป๊บเดียวได้อานิสงค์ผลบุญมากมายกว่าการทำทานและการรักษาศีลมาตลอดชีวิตซะอีก" และการนั่งสมาธิยังช่วยในเรื่องของการสร้างปัญญาบารมีที่ดีส่งเสริมต่อการศึกษาเล่าเรียนมาก แรก ๆ อาจจะทำได้ยาก แต่หมั่นทำเรื่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ ทำได้ดีขึ้นเอง
การมาวัดนอกจากมาด้วยใจใส ๆ แล้ว ก็ต้องมาด้วยชุดขาว ๆ นะคะ จะให้ดีก็ชุดขาวทั้งชุด ถ้าไม่มีชุดขาวทั้งชุด ก็เป็นเพียงแค่เสื้อสีขาวก็ได้ค่ะ แต่ควรจะดูสุภาพและเหมาะสมกาลเทศะนะคะ
#6
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 09:49 AM
ส่วนเรื่องเกมส์นั้น ผมสำผัสมาอย่างดีทีเดียว ขอบอกเลยว่า เป็นอุปสรรค์ต่อการประพฤติธรรมอย่างยิ่ง ไม่ควรแตะเลยครับเราอาจคิดว่า นิดๆหน่อยๆไม่เป็นไร แต่ถ้าเผอิญเราไปติดละก็จะหมกหมุ่นมากมายทีเดียว วันไหนเล่นเกม ท่องเน็ทมากๆ นั่งธรรมะไม่ได้เรื่องเลยครับ กว่าจะรวมใจได้เป็นชั่วโมง เราสวดมนต์ไหว้พระครั้งหนึ่ง ทำให้เราใจใสสุขสบายไปคราวหนึ่ง แต่เล่นเกมส์ยิงกัน ก็ไปทำให้ใจเราขุ่นหมองลงอีกคราวหนึ่ง นั่งธรรมะก็ต้องเริ่มปรับใจใหม่ แบบนี้เราจะไปทำทำไมครับ ไม่คุ้มเลย
ขอแนะนำให้น้องลองเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกาย ทุกวันอาทิตย์สิครับ เวลา9.30 แต่งชุดขาวสะอาด มาเข้าชมรม เข้าแผนกอาสาสมัครต่างๆ เดี๋ยวก็ได้เพื่อนดีๆ มีแต่กัลญาณมิตรทั้งนั้น คราวนี้รับรองไม่มีใครล้อเราอีกแล้ว ขอกราบอนุโมทนาสาธุนะครับ
#7
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 09:59 AM
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม
#8
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 10:37 AM
ปลาสองสายพันธ์มาพบกันเป็นครั้งแรก...
ปลาหมอ".. โอ้ะ...ตัวอะไร..ประหลาด...ไม่มีเกล็ด...ไม่มีครีบ....
ปลาไหล".. โอ้ะ...ตัวอะไร..ประหลาด....ผิวขรุขระ....ปากพระงาบๆ...
...................................................................................
เขาล้อเพราะเห็นเราประหลาด......
เขาเห็นเราประหลาดเพราะเขาไม่รู้...
ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด...นั้นคือธรรมชาติ
#9
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 10:56 AM
การถูกเพื่อนล้อนั้นเป็นเรื่องธรรมดาครับ ยิ่งสำหรับคนที่เคยทำตัวแย่หรือทำผิดมาก่อนในอดีต หากคิดในแง่ดีการที่เราถูกเพื่อนล้อนั่นแสดงว่าตัวเราได้มีการเปลี่ยนแปลงแล้วในทางที่ดีขึ้น ที่เพื่อนล้อเรานั่นเพราะเพื่อนเห็นเราเปลี่ยนแปลงยังไงล่ะครับ อย่างเช่นเคยกินเหล้ามาก่อนแต่พอเรางดเหล้าเขาก็จะล้อเลียนเรา หรือเราเคยเป็นนักเลงมาก่อนพอเราเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้นเพื่อนก็จะล้อเราอีก ซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไป การล้อเลียนของเพื่อนจะเหมือนเป็นคำชมเรามากกว่าครับ แต่ชมเราแบบเพื่อน เหมือนกับเป็นเพื่อนสนิทไงครับ แต่การที่คุณเจ้าของกระทู้ยังมีความโกรธอยู่นั้น เพราะคุณเจ้าของกระทู้ยังติดนิสัยเก่าๆสมัยที่ยังทำผิดอยู่ จึงไม่อาจทนฟังคำล้อเลียนของเพื่อนได้ จะลองใช้วิธีแก้ของผมดูไหมล่ะครับ เวลาที่ผมโดนเพื่อนล้อ ผมจะทำอย่างนี้ครับ ผมจะคิดเสียว่านั่นเป็นคำชมของเพื่อน เพราะเขาได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเรา และจะยึดเอาคำล้อเลียนของเพื่อนเป็นเหมือนสิ่งช่วยเตือนใจและวัดระดับให้เรา หากว่าเขายังล้อเลียนอยู่ผมจะคิดเสียว่าเรายังไม่ดีพอและจะทำดีให้ยิ่งๆขึ้นไป เมื่อเพื่อนเห็นความเปลี่ยนแปลงของเรานานๆเข้า อีกหน่อยการล้อเลียนนั้นก็จะหายไปเอง เพราะเราทำดีเป็นกิจวัตรจนทำให้เพื่อนเห็นจนชินและรู้ว่าเราดีขึ้นจริงๆ เมื่อเพื่อนหยุดล้อเลียนเมื่อไหร่ นั่นแหล่ะครับคือสิ่งที่แสดงว่าเราเปลี่ยนเป็นคนดีแล้วจริงๆ
ส่วนการเล่นเกมออนไลน์นั่น ถึงแม้จะเป็นเกมที่ต้องต่อสู้หรือฆ่ากันไม่บาปแต่อย่างใดครับ แต่ว่านะครับแต่ เกมจำพวกนี้ จะฝึกทำให้ใจของเรากลายเป็นเพรชฆาตได้ เพราะตอนเราเล่นเราสนุกกับการฆ่าใช่ไหมครับ ยิ่งฆ่าก็ยิ่งสนุก พอสนุกใจก็เริ่มร้อน พอเราฆ่าเขาได้เราจะรู้สึกสะใจ แต่พอเขาฆ่าเราตาย เราก็ไม่พอใจ ใจก็เริ่มร้อน ยิ่งถ้าเราโดนฆ่ามากๆเราก็จะยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ยิ่งถ้าถูกคนที่ร่วมเล่นกับเราด้วยล้อเลียนหรือดูถูกอีก ทีนี้สติสตังเราก็จะแตก บางรายไม่พอใจกันถึงขั้นนัดเจอท้าชกต่อยก็มีจริงไหมครับ นี่มันฝึกให้ใจเราเป็นเพชรฆาตอย่างนี้ อีกประการที่สำคัญ การเล่นเกมนั้นจะทำให้สติอยู่นอกตัว เพราะต้องคอยลุ้น เร่ง เพ่ง จ้องอยู่แต่กับเกมอยู่ตลอดเวลาซึ่งผิดกับหลักการนั่งธรรมะนั่นคือ อย่าลุ้น อย่าเร่ง อย่าเพ่ง อย่าจ้อง ดังนั้นจะทำให้เราติดนิสัยนี้เวลาเราไปนั่งธรรมะด้วย มันก็เลยส่งผลให้เรานั่งธรรมะไม่ได้ไม่พัฒนาขึ้นนั่นเองครับ
เรื่องการสวดมนต์ จะช่วยฝึกใจเราให้เราเป็นคนใจเย็นขึ้นได้ครับ ฝึกความอดทนอดกลั้น เวลาสวดมนต์ให้ลองสังเกตุดูนะครับว่าเราสวดช้าหรือสวดเร็ว หากว่าเราสวดเร็วนั่นแสดงให้เห็นว่าเรายังเป็นคนใจร้อนอยู่ คือรีบๆสวดให้มันจบๆจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ แต่หากเราค่อยๆสวดอย่างตั้งใจโดยที่เราไม่ไปสนใจในสิ่งอื่น พิจารณาทุกคำที่เราสวดว่าเราสวดผิดไหม ถูกอักขระหรือไม่ จะช่วยให้เราเป็นคนใจเย็นเป็นคนช่างสังเกตุรู้จักพินิจพิเคราะห์มากขึ้นครับ อันนี้ขอ ยืน เดิน นั่ง นอนยันครับช่วยได้จริงๆ
ส่วนการเตรียมตัวไปวัดนั้น พี่ๆท่านอื่นได้แนะนำไปแล้ว ขอเสริมสักนิดคือทำใจให้ใสอยู่ตลอดเวลาก่อนไปครับ ส่วนชุดขาวนั้นจริงๆแล้วทางวัดเน้นให้ใส่ไปเพื่อความสวยงามความเป็นระเบียบและความเป็นหนึ่งเดียวกันของลูกพระธรรม ลูกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่มีงานบุญใหญ่ แต่หากเราไม่มีชุดขาวจริงๆและยังไม่มีเงินซื้อ จะใส่ชุดไหนไปก็ได้ครับ (ยกเว้นชุดวันเกิดห้ามเด็ดขาดเพราะเดี๋ยวจะโดนลากเข้าซังเตระหว่างทางเสียก่อนครับ - -ล หรือจะใส่ชุดสูทไปก็ได้ครับถ้าไม่กลัวร้อน เหอๆ) แต่ที่สำคัญขอเป็นเสื้อขาวก็พอครับ เพราะอย่างที่ทราบทางวัดจะมีเผยแพร่ภาพไปต่างประเทศด้วย เวลานั่งสมาธิหากเรานั่งอยู่กลางๆสภา ยังไงก็เห็นแค่ช่วงบนของตัวเราอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ให้เป็นเสื้อขาวให้กลมกลืนเข้าไว้จะเป็นการดี ส่วนกางเกงเอาเป็นแบบที่คิดว่าเราใส่แล้วเวลานั่งธรรมะให้มันสบายตัวก็พอครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#10
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 12:44 PM
ขอพูดสั้นๆ แล้วกันนะคะ
เป็น สิ่งที่พี่สอนตัวเอง คิดได้เองตอนเรียนมหาวิทยาลัย
"เมื่อตั้งใจทำความดี และ มั่นใจว่า สิ่งที่ตัวเองทำนั้นดี ก็จงมุ่งมั่นทำต่อไป แม้ไม่มีใครเข้าใจ
และเมื่ออยากได้กำลังใจ ในวันที่หากำลังใจยากทีสุด ก็จงหามันจากตัวเอง"
และขอชมว่า ที่น้องคิด คิดถูกแล้วค่ะ
เกิดเป็นคนทั้งที ควรเอา(+ทำความ)ดีให้ได้
เมื่อมีคนบอกว่า แหม...เป็นคนดี เข้าวัดเข้าวา (เขาพูดจริง ไม่ได้ประชด)
พี่ก็มักจะตอบเขาว่า....
แค่คนอยากจะดีและพยายามจะดี ยังไม่ได้เป็นคนดีค่ะ
ขอให้น้องมุ่งมั่นในการสร้างบุญบารมีต่อไป
เพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร อันน่าเบื่อนี่ตลอดไปนะคะ สาธุ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#11
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 12:45 PM
การสวดมนต์ ทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงเป็นการวางรากฐานของจิตใจให้ตั้งอยู่ในความดีงามประกอบกับการรักษาศีลครับ
การวิตกกังวล นี้แก้ได้ด้วยวิธีไม่คิด และการที่จะไม่คิดมากนั้น ที่มีส่วนทำให้ให้ไม่วิตกกังวล คือการนั่งสมาธิครับ นั่งทำใจหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ จะทำให้เรามีสติมากขึ้นครับ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง การมาวัดนั้น ควรที่จะใส่ชุดขาวครับ เพราะถือเป็นการเคารพในพระรัตนตรัย มาวัดก็เตรียมตัวเตรียมใจให้ใสๆครับ ยิ้มๆมีความสุขในการมาวัดเพื่อจะเป็นภาชนะรับบุญครับผม
#12
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 04:23 PM
ไม่คาดหวังได้พบอะไรใหม่
เป็นใจเพียงไม่อยากได้ต่อสิ่งใด
ก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ
#13
โพสต์เมื่อ 07 September 2007 - 07:52 PM
ชีวิตคนเรานั้นสั้น ทำความดีไว้มากๆ ดีที่สุดแล้วครับ
#14
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 01:46 PM
ทุกข์เกิดในความสับสนหนทางที่
ตั้งใจก่อต่อไปอย่างไรดี
เหมือนเป็นคนไม่มีที่ยอมรับ
ถ้าความสุขที่เราทำไม่นำใจ
เราก็จะหวั่นไหวไร้ทางจับ
หากปัญญามากมีคณานับ
ก็ไม่รับไว้ในใจในคำคน
เหมือนเราิ่อิ่มในสิ่งที่เรากิน
รสอร่อยติดลิ้นไม่สับสน
คนไม่ีกินว่ายาพิษคิดวกวน
เราก็ใช่อาเจียนจนไม่ติดท้อง
รสอร่อยยังอยู่รู้สึกว่า
ต้องหากินต่อไปใจมิต้อง
พวกไม่กินปากคอยว่าแต่ตามอง
หากเราสุขเขาต้องสงบไป
คุณครุไม่ใหญ่เคยบอกผู้เขียนว่า เขาพูดวนวน ให้หัวเราเวียนเวียน หมดไปวันวัน
#15
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 04:26 PM
อย่าไปไส่ใจเลยครับ ทำดีต้องได้ดีขอเป็นกำลังใจให้นะครับ...สาธุ (สงสัยทำไมต้องเกลียดวิกด้วยครับ?อิ อิ)
#16
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 09:26 PM
#17
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 09:55 PM
ที่เขาล้อเพราะเขานึกไม่ถึงว่าเราจะเปลี่ยนแปลงได้จริง เพราะตอนปี 1 เราก็ทำอะไรห่ามๆไม่ดีแบบพวกเขาไง พอเรามาวัดเราเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเขาเลยล้อเรา แต่เพื่อนๆก็ยังคบเราดีครับ
สมัยพี่โดนล้อว่าเป็น หลวงพี่ เหมือนกัน 555555
แต่เราก็ทำตัวปกติ ไม่เชย ไม่เฉิ่ม ไม่เซ่อ เพียงแต่ งดอบายมุข ไปวัด รักษาศีล ฟังธรรม ก็ปกติดีครับ
#18
โพสต์เมื่อ 09 September 2007 - 01:08 AM
นับไปนับมา 11ปีแล้วนะเนี้ยไม่มีพวกเขา(เพื่อนๆ)
ผมคงไม่เป็นเหมือนในตอนนี้...
และทุกวันนี้ไม่มีใครกล้าว่าผมเลย
ถ้าอยากรู้ว่าเพราะอะไร..หลับตา..ทำใจนิ่งๆ..แล้วจะรู้เอง