PDVD_000.jpg 16.24K 189 ดาวน์โหลด
เป็นสารคดีที่กล่าวถึงสภาวะโลกร้อนหรือ global warming โดยอัล กอร์ ผู้ซึ่งเคยลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
PDVD_002.jpg 9.28K 168 ดาวน์โหลด
[/color]และได้กล่าวถึงปัญหาต่างๆที่จะตามมามากมาย เรียกได้ว่าทุกคนในโลกใบนี้ควรที่จะรับรู้ัมันเอาไว้
ปัญหาอย่างนึงก็คือน้ำแข็งขั้วโลกกำลังจะละลาย.
PDVD_010.jpg 20.24K 146 ดาวน์โหลด
อะไรล่ะคือสาเหตุของปัญหานี้ และนี่เป็น ภาพเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันให้เห็นกันจะๆว่ามันได้เกิดขึ้นมานานแล้ว
PDVD_013.jpg 16.28K 128 ดาวน์โหลด
และที่
PDVD_014.jpg 21.91K 123 ดาวน์โหลด
และเมื่อดูรูปนี้จะเห็นว่ามันเหมือนในเรื่อง the day after tomorrow ที่เจาะเอาน้ำแข็งขั้วโลกมาทดสอบ
PDVD_016.jpg 12.15K 137 ดาวน์โหลด
และนี่ก็เป็นผลพวกมาจากสภาวะโลกร้อนนั้นคือ พายุนั่นเอง ของจริงก็ใหญ่และน่ากลัวไม่แพ้กับในหนังเลย
PDVD_017.jpg 16.71K 137 ดาวน์โหลด
ในหลายปีที่ผ่านมาเกิดพายุ น้อยใหญ่ขึ้นมากมาย
PDVD_018.jpg 16.74K 121 ดาวน์โหลด
ภาพให้เห็นจะๆว่าพายุแคทริน่าลูกใหญ่แค่ไหน
PDVD_019.jpg 17.35K 131 ดาวน์โหลด
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีฝนตกหนักจนน้ำท่วมในหลายๆประเทศ
PDVD_021.jpg 22.68K 123 ดาวน์โหลด
และน้ำแข็งขั้วโลกได้แยกออกเป็น 2 ส่วนดูในหนัง the day after ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริงๆด้วย
PDVD_022.jpg 13.62K 113 ดาวน์โหลด
animation กล่่าวถึงสาเหตุที่หมีขั้วโลกจมน้ำตาย เพราะลานน้ำแข็งที่เคยมีได้ละลายไปหมดแล้ว
PDVD_023.jpg 14.23K 120 ดาวน์โหลด
แลพภาพจำลองหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลง ของกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็น ซึ่งจะทำให้เกิดยุคน้ำแข็งขึ้น เหมือนในหนัง the day อีกแล้ว
PDVD_026.jpg 22.16K 109 ดาวน์โหลด
เมื่ออุณหภูมิร้อนขึ้นก็ได้เกิดเชื้อโรคสายพันธ์ใหม่ๆขึ้นมากมาย
PDVD_027.jpg 11.83K 125 ดาวน์โหลด
และมาถึงขั้วโลกใต้ที่มีน้ำแข็งปกคลุมมากที่สุดในโลก ซึ่งหากละลายหมด น้ำก็จะท่วมโลก
PDVD_029.jpg 15.49K 116 ดาวน์โหลด
ความยิ่งใหญ่ของธารน้ำแข็ง Larsen B. ในเรื่อง the day after tomorrow ซึ่งผมนึกว่าทำขึ้น แต่มันคือของจริง ภาพจากหนังก็มาปรากฏใน an inconvenient truth ด้วย
PDVD_030.jpg 17.31K 137 ดาวน์โหลด
ภาพจำลองเมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลาย แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกันละเนี่ย
PDVD_034.jpg 10.12K 125 ดาวน์โหลด
สุดท้ายที่จะเอามาให้ดูก็คือแม่น้ำ หรือทะเทสาปได้แห้งไปเหลือทิ้งไว้แต่ซากเรือ และเท่าที่ผมได้ข่าวมา ทะเลสาปเดตซี ซึ่งเป็นทะเลสาปที่เค็มที่สุดในโลกก็จะเป็นเช่นนี้ด้วย
PDVD_036.jpg 19.09K 118 ดาวน์โหลด
เป็นไงละครับ ทุ้งหมดที่เห็นนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น แม้บางอย่างจะยังไม่เกิด แต่ก็เห็นได้ว่า มันกำลังจะเกิดขึ้น มนุษย์อย่างเราๆก็ทำลายธรรมชาติอยู่ทุกวัน อีกไม่นานภาพที่ปรากฏในหนัง the day after tomorrow , water world และแม้แต่ในสารคดีเรื่อง an inconvenient truth ก็คงจะเกิดขึ้น
คำถามอยู่ที่ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร และพวกเราจะแก้ไขมันได้อย่างไร หากไม่คิดที่จะทำตั้งแต่วันนี้..
สุดท้ายขอนำคำในสารคดีมาให้เผื่อคนที่ไม่ได้ดูมาอ่านกัน
" คุณพร้อมจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณหรือยัง
วิกฤตสภาพอากาศนั้นสามารถแก้ไขได้
เริ่มด้วยการทำเช่นนี้ คลิ้กไปที่ www.climatecrisis.net
คุณลดการปล่อย CO2 ให้เหลือศูนย์ได้
โดยเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดี ใช้หลอดประหยัดไฟ
ปรับเครื่องควบคุมอุณหภูมิ เพื่อลดการใช้พลังงานเครื่องทำความร้อน+ความเย็น
ปรับปรุงบ้านให้เหมาะกับอากาศ ติดฉนวน ลดการใช้พลังงาน
นำของมาใช้ซ้ำ
ซื้อรถไฮบริดคาร์ หากทำได้
เดินหรือขี่จักรยานหากทำได้
ใช้รถรางและขนส่งมวลชน หากทำได้
บอกพี่แม่คุณว่าอย่าทำลายโลก ที่คุณจะต้องอาศัยต่อไป
หากคุณเป็นพ่อแม่ ร่วมมือกับลูกๆ
เปลี่ยนไปใช้พลังงานที่ทดแทนได้
โทรถามบริษัทพลังงานว่าได้ใช้เชื้อเพลิงที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือไม่
หากไม่ได้ใช้...ให้ถามว่าทำไม
ออกเสียงเลือกผู้นำที่สัญญาว่าจะแก้ไขวิกฤตนี้ เขียนจดหมายถึงสภา
หากพวกเขาไม่รับฟัง จงสมัครรับเลือกตั้ง
ปลูกต้นไม้ มากเท่าที่มากได้
ปราศรัยในชุมชนของคุณ โทรไปรายการวิทยุ เขียนถึงหนังสือพิมพ์ ยืนยันให้อเมริกาจำกัดการปลดปล่อย CO2 ร่วมมือกับนานาชาติเพื่อยุติภาวะโลกร้อน
ลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างชาติ
ช่วยชาวนาที่ปลูกพืชเพื่อผลิตแอลกอฮอล์
ยกระดับมาตรฐานการประหยัดพลังงาน
ให้บริษัทใช้เครื่องยนต์ที่ปล่อย CO2 ต่ำ
ถ้าคุณศรัทธาเรื่องการสวดอ้อนวอน
โปรดสวดอ้อนวอน
ให้มนุษย์กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกับสุภาษิตแอฟริกันโบราณ
ขณะที่สวดอ้อนวอน ก็จงอย่างอมืองอเท้า
ขอให้ทุกคนที่คุณรู้จักชมภาพยนตร์เรื่องนี้
รียนรู้เรื่องวิกฤติด้านสภาพอากาศให้มากที่สุด
นำความรู้มาปฏิบัติ"
จาก
http://learners.in.t...og/mylife/31775
An Inconvenient Truth สัญญาณเตือนพิบัติโลก20 กันยายน 2549
"เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเวลานักการเมืองพูดอะไรออกมา ต้องเอาสองหารแล้วใส่ตระแกรงร่อน ที่เหลือคือ ความจริง แต่สำหรับ An Inconvenient Truth ที่ออกมาจากปากผู้ที่เกือบจะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 43 แห่งสหรัฐ คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม ร่วมเปิดเผยความจริง"
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สหรัฐเคยมีประธานาธิบดีที่อดีตเคยเป็นดาราภาพยนตร์อย่างพระเอกคาวบอย โรนัลด์ เรแกน แต่สำหรับอัล กอร์ กลับเป็นอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ที่เปิดโปงความจริงให้โลกตระหนักถึงภาวะโลกร้อน
อัล กอร์ รับบทเป็นตัวเขาเองในภาพยนตร์เรื่อง An Inconvenient Truth ที่มีความยาว 94 นาที บางคนอาจจะอยากรู้ว่าหลังจากเขาพ่ายการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับจอร์จ บุช แล้ว วิถีชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างไร หรือไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร เพราะเนื้อเรื่องที่เขานำมาเสนอน่าสนใจกว่า
ผีเสื้อขยับปีก
ภาพโคลสอัพจับไปที่ หมีขาวขั้วโลก ที่กำลังพยายามตะเกียก ตะกาย ว่ายน้ำ เพื่อขึ้นไปอยู่บนแผ่นน้ำแข็งเล็กๆแผ่นหนึ่ง แต่มันตกลงมาอีกครั้งพร้อมกับแผ่นน้ำแข็งที่แตกกระจายออกไป ดูเหมือนว่า ความพยายามของมันจะไม่มีที่สิ้นสุด มันว่ายน้ำ ไปหาแผ่นน้ำแข็งแผ่นใหม่ ขณะที่กล้องค่อยๆ แพนภาพให้เห็นในมุมกว้าง แผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กน้อยที่หมีขั้วโลกกำลังปีนปาย เป็นเพียงจุดเล็กกลางมหาสมุทร
...มันต้องว่ายน้ำอีกไกลแค่ไหน จึงจะถึงแผ่นน้ำแข็งที่เคยเป็นบ้านที่อบอุ่น ... ความพยายามของหมีขาวขั้วโลก ให้ทั้งความรู้สึกหวาดหวั่น และลุ้นระทึกกับผู้ชมที่เข้ามานั่งดู หนังสารคดีเล็กๆ An Inconvenient Truth ซึ่งจัดขึ้น โดย ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใครจะไปคิดว่า น้ำแข็งขั้วโลกที่ติดกันเป็นแผ่นใหญ่สีขาวโพลนจะกลายเป็นเวิ้งมหาสมุทร และมีเศษแผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจาย
หลังจากการพ่ายการแข่งขันชิงประธานาธิบดีในปี ค.ศ.2000 อัล กอร์ พลิกบทบาทตัวเองเป็นพระเอกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตีแผ่เรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตการณ์โลกร้อนอย่างแจ่มแจ้ง ตั้งแต่จุดแรกของปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงบทอวสานของโลก ที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่กี่สิบปี
ต้องยอมรับว่า มีนักการเมืองของสหรัฐไม่กี่คนที่เข้าใจปัญหาโลกร้อน อัล กอร์ คือไม่กี่คนในจำนวนนั้น เขาเป็นนักสิ่งแวดล้อมที่ได้รับตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง ในฐานะรองประธานาธิบดีสมัยรัฐบาลบิล คลินตัน เขาผลักดันให้เกิดการประชุมพิธีสารเกียวโตว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี ค.ศ.1997 เพื่อให้ประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมลงสัตยาบันรับมือกับปัญหาโลกร้อน โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น
อัล กอร์ ปรากฏตัวบนเวทีด้วยบุคคลิกที่เป็นกันเอง และพกพาอารมณ์ขันเรียกเสียงหัวเราะแก่ผู้ฟังโดยบอกว่า " I'm Al Gore. I used to be the next president of the United States" แต่สิ่งเขาตั้งคำถามต่อมา พร้อมกับนำเสนอข้อมูลและต้นเหตุของภัยพิบัติที่เกิดในรอบทศวรรษ พลันเสียงในห้องสัมมนาเงียบกริบ สลับกับเสียงถอนลมหายใจ
เขาถามว่า "แล้วเราจะเหลืออะไรเอาไว้ให้ลูก หากว่าชั้นบรรยากาศที่บอบบางที่สุดในระบบนิเวศของโลกไม่ทำหน้าที่กรอง แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องทะลุชั้นบรรยากาศมายังพื้นผิวโลก และนำความอบอุ่นมาให้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหากอุณหภูมิโลกร้อนเกินไป"
เป็นความจริงที่ว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกดำรงอยู่ได้เพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆ ห่อหุ้มโลกไว้ทำให้โลกอบอุ่นและน่าอยู่ แต่การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมัน ตลอดจนการหักล้างทำลายป่า ยิ่งเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมากขึ้น และอุณหภูมิโลกยิ่งสูงขึ้น
สารคดี ได้ฉายภาพเปรียบเทียบน้ำแข็งทั่วโลก จากภาพถ่ายเทือกเขาคีรีมันจาโรเมื่อสามสิบปีก่อน ที่มีน้ำแข็งปกคลุมบนยอดเขามากมาย กับภาพปัจจุบันที่มีน้ำแข็งเหลือน้อยมาก จนนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ถึงสิบปีเทือกเขาแห่งนี้จะไม่มีน้ำแข็งอีกต่อไป
ธารน้ำแข็งตามเทือกเขาต่างๆ ที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เทือกเขาแอนดิสในอาร์เจนตินา ชิลี ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์ และเทือกเขาหิมาลัย น้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 7 สาย แต่อีกไม่ถึงห้าสิบปี ประชากรที่พึ่งพิงแหล่งน้ำเหล่านี้จะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำจืดอย่างรุนแรง
อัล กอร์ ได้นำภาพเส้นกราฟแสดงอุณหภูมิที่สูงขึ้นแผ่กระจายไปตามเมืองใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในปี ค.ศ.2003 คลื่นความร้อนได้ทำให้คนในยุโรปตายไปถึง 35,000 คน อุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้น และเกิดพายุรุนแรงและถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น เฮอร์ริเคน ไซโคลน หลายร้อยลูกที่พัดกระหน่ำชายฝั่งทั่วโลกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่พัดกระหน่ำเมืองนิวออร์ลีนส์ในเดือนสิงหาคม 2005 สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์มีคนตายกว่า 2 พันคน และทรัพย์สินเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ข้อมูลที่สำคัญคือภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา ขั้วโลกเหนือ และเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งหากน้ำแข็งละลายหมด ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงถึง 6 เมตร อดีตรองประธานาธิบดีได้ใช้กราฟแสดงให้เห็นว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ใส่ลูกเล่นในการนำเสนอเรื่องโดยนำเอารถเครนมายกตัวเองขึ้นตามเส้นกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่า หากถึงเวลานั้น กรุงเทพฯ นิวยอร์ก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ จมน้ำไปครึ่งหนึ่ง บังกลาเทศอาจหายไปจากแผนที่โลก และประชากรนับพันล้านคนจะไม่มีที่อาศัย
โลกร้อน เรื่องจริงหรือนิยาย
อย่างไรก็ตาม ภาวะโลกร้อน ยังคงเป็นข้อถกเถียงว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ โดยสารคดีได้บอกถึง ความพยายามของ บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ที่พยายามทำให้คนทั่วไปเชื่อว่า โลกร้อนเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นจริง และเมื่อเป็นแค่ทฤษฎีก็ไม่ต้องเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงเสมอไป ถึงตอนนี้หนังได้นำเอาภาพการ์ตูน ที่เปรียบเทียบ กบกำลังลอยอยู่ในหม้อหุงต้มที่กำลังเปิดเตาแก๊ส ตอนที่หม้อยังไม่ร้อน กบก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อน้ำร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเดือดปุดๆ กว่ากบจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว
อัล กอร์ พยายามจะบอกว่า โลกร้อน เป็นเรื่องของผลกระทบระยะยาว ไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเห็นผล แต่เมื่อปรากฏผลแล้วก็สายเกินแก้ สารคดีจบลงด้วยคำถาม ถึงเวลาหรือยังที่เราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน ซึ่งคำถามจึงย้อนกลับมาที่ประเทศไทยว่า เราพร้อมหรือตระหนักแค่ไหนกับภาวะโลกร้อน "เราจะเป็นกบที่ลอยในหม้อหุงต้มที่เมื่อรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว หรือจะช่วยกันป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป"
คำถามเหล่านี้ถูกไขข้อสงสัย หลังจบสารคดี ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำผู้รู้นักคิดมาช่วยกันถกเถียง เพื่อย้อนกลับมาดูตัวเอง ประเทศไทยพร้อมแค่ไหนกับภาวะโลกร้อนขึ้น มีสัญญาณอะไรที่เตือนภัย ได้ว่า โลกร้อนขึ้นไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี หากเป็นเรื่องจริงที่ต้องระมัดระวัง
รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยาบอกว่า สัญญาณอันตรายเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยจากการศึกษาระดับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกประเทศไทยได้รับผลกระทบแน่นอน โดยจะเกิดภูมิอากาศแปรปวนของฤดูกาล ในช่วงฤดูฝน 6 เดือน จะมีปริมาณฝนตกเยอะขึ้นและจะมีอุทกภัยเพิ่มขึ้นทุก 20% ต่อปีซึ่งในปีนี้เริ่มเห็นแล้วว่า เรามีอุทกภัยมากขึ้น ส่วนฤดูหนาว ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านเข้ามาจะทำให้หนาวจัดในบางปี และในช่วงนั้นจะเกิดฝนตกหนักในภาคใต้อีกด้วย
"อ่าวไทย ฝั่งตะวันออก ฝนจะตกมากในช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติและจะทำให้มีผลต่อพืชผลทางการเกษตรในอนาคต"
รศ.ดร.ธนวัฒน์ บอกว่า ไม่เพียงฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะพายุไต้ฝุ่นเช่น เดิมมีพายุไต้ฝุ่น 2.8 ลูกต่อปี แต่ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 ลูกต่อปี ซึ่งในส่วนอ่าวไทยเดิมพายุไต้ฝุ่นเคยพัดผ่านประเทศเวียดนามก่อนที่จะเริ่มอ่อนตัวลงในช่วงที่พัดเข้าไทย โดยจะมีพายุที่พัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรง 3-5 ปีต่อ ลูก แต่ในอนาคต พายุไต้ฝุ่นจะพัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรงไม่ผ่านเวียดนาม และอาจจะเกิดขึ้น 1-2 ปีต่อลูก ซึ่งจะทำให้มีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนฤดูร้อนจะร้อนเร็วขึ้น ร้อนนานขึ้น และอุณหภูมิสูงขึ้นและยังพบว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีฟ้าผ่ามากขึ้นในช่วงพายุฤดูร้อน
ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่เริ่มเกิดขึ้นแล้วในไทย โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ซึ่งในเรื่องนี้ได้รับการยืนยัน จาก จรูญ เลาหเลิศชัย นักอุตุนิยมวิทยา 8 กรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่า จากการเฝ้าดูอากาศพบว่า ผลกระทบจากโลกร้อนเกิดขึ้นแล้ว โดยพบว่าพายุมีความรุนแรงมากขึ้น ถี่ขึ้นแน่นอน ซึ่งที่น่าสังเกตคือ ทะเลระดับต่ำกว่า 40 เมตรอย่างอ่าวไทยไม่น่าจะเกิดพายุได้ เพราะพายุจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อทะเลมีระดับความลึก 50 เมตร แต่ปัจจุบันอ่าวไทยเริ่มมีพายุเกิดขึ้นแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เพียงมีพายุเป็นสัญญาณเตือนเท่านั้น วราวุธ ขันติยานันท์ ผู้อำนวยการส่วนฝนหลวง สำนักฝนหลวงและการบินยังบอกเช่นกันว่าตลอดระยะเวลาของการทำฝนหลวงมานานกว่า 30 ปี พบว่า การรวมตัวของเมฆเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะมีรูปร่างไม่แตกต่างจากเดิม แต่ความแข็งแรงของน้อยลง เพราะเดิมฐานเมฆจะมีความหนาแน่น เพื่อควบคุมอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในก้อนเมฆไม่ให้ฝนตกเร็วเกินไป แต่ปัจจุบันจะพบว่า เมฆเริ่มอ่อนแอ รวมกลุ่มเร็วขึ้นและฝนตกกระจายค่อนข้างเร็วแล้วก็หายไป เรียกว่า ก้อนเมฆไม่มีความสมดุล ทำให้ลักษณะของฝนตกแบบพรมๆ แล้วหายไป บางแห่งตกหนัก
ส่วนในระดับใต้ทะเลลึกก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน โดย ผศ.ดร.ปราโมทย์ โศจิกร ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล บอกว่า อ่าวไทยเป็นทะเลบริเวณที่เรียกว่าเส้นศูนย์สูตร เป็นทะเลปิดอยู่นอกเขตการไหลของน้ำมหาสมุทร ทำให้ทิศทางการไหลของน้ำจึงขึ้นอยู่กับกระแสลมเป็นหลัก ซึ่งอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น กระทบต่อปะการังใต้น้ำแน่นอนหากอุณหภูมิสูงเกิน 33 องศา ทำให้เกิดปะการังฟอกขาว ซึ่งเริ่มมีปรากฏการณ์ให้เห็นแล้วในอ่าวไทย ที่ปะการังจำนวนไม่น้อยเริ่มฟอกขาวจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
ปะการังเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอาศัยอยู่ในทะเลตามโขดหิน แท้จริงแล้วสีของปะการังเกิดจากสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง คือสาหร่ายทะเลขนาดเล็กที่มีชีวิตอยู่ร่วมกับปะการังแบบพึ่งพาอาศัยกัน สาหร่ายเหล่านี้มีความไวต่ออุณหภูมิน้ำทะเลมาก เพียงอุณหภูมิสูงขึ้นหนึ่งองศาเซลเซียส สาหร่ายจะหยุดสังเคราะห์แสงและตายไป สีของปะการังจึงดูซีดขาว
ถึงแม้จะมีภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดหลายเรื่องที่นำเสนอภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่อง The Day After Tomorrow และ The Core แต่ทั้งหมดนั้นยังอิงความเป็นดราม่ามากกว่า "ข้อเท็จจริง" แต่สำหรับ An Inconvenient Truth เป็นภาพยนตร์ที่นำเอารายงานข่าวหายนะภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลกผสมกับข้อมูลจริงเชิงอุตุนิยมวิทยาที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ข่าวดีก็คือ มนุษยชาติสามารถแก้ปัญหานี้ได้ และเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องทำ เพียงแค่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตบ้างเล็กน้อยในแต่ละวันจะช่วยเพิ่มพูนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อหยุดภาวะโลกร้อน ถึงเวลาแล้วที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหาตั้งแต่วันนี้
---------------
10 วิธีแก้ปัญหาโลกร้อน ง่ายๆ ทำได้ทุกคน
เปลี่ยนหลอดไฟ จากหลอดกลมหันมาใช้หลอดตะเกียบแทน เชื่อไหมว่าลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
ขับรถน้อยลง หันมาเดิน ขี่จักรยาน บริการขนส่งมวลชน หรือเลือกติดรถเพื่อน ทางเดียวกันไปด้วยกัน แค่นี้ ก็สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ปอนด์ทุกๆ 1 ไมล์ที่เราลดการขับขี่
รีไซเคิลของให้มากขึ้น แค่รีไซเคิลขยะในบ้านเพียงครึ่งหนึ่งก็ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,400 ปอนด์ต่อปี
เช็คลมยาง รักษาระดับลมยางให้เหมาะสม ช่วยประหยัดการใช้น้ำมันได้ถึง 3% และการประหยัดน้ำมันในทุกๆ แกลลอน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้ 20 ปอนด์
ใช้น้ำร้อนน้อยลง เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ละครั้งใช้พลังงานจำนวนมาก อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นน้อยลง และอย่าเปิดฝักบัวแรงสุด ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 350 ปอนด์ต่อปี การเลือกซักผ้าในน้ำธรรมดาช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 500 ปอนด์ต่อปี
เลี่ยงซื้อสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์สิ้นเปลือง ลดขยะได้ 10% ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1,200 ปอนด์ต่อปี
ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม ปรับตั้งเครื่องปรับอากาศไว้ 25 องศา ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้โข
ปลูกต้นไม้ ต้นไม้ 1 ต้นดูดซึมคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1 ตัน
ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า แค่เพียงปิดโทรทัศน์ เครื่องเล่นดีวีดี เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เมื่อไม่ใช้ ช่วยโลกลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นพันๆ ปอนด์ต่อปี
ปฏิบัติและบอกต่อ ร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหาโลกร้อน