อยากทราบเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 04:08 AM
อันนี้ขอร่วมศึกษา เพราะเราก็กินเจอยู่เหมือนกัน
การกินเจมีจุดประสงค์หลัก 3 อย่าง
- เพื่อสุขภาพ (ไม่อธิบายละนะ เอาเป็นว่าลองศึกษาแนวทางชีวจิตที่กินผักก็ได้ จุดประสงค์ข้อนี้คล้ายกัน)
- เพื่อฟื้นฟูจิตเมตตา เมื่อไม่กินเขา ย่อมห่างจากการฆ่า หรือซื้อ หรือสั่งให้ฆ่า นับเป้นการเพิ่มพูนจิตเมตตา
- เพื่อตัดหนทางการสร้างกรรม เมื่อไม่กินและไม่ฆ่า กรรมในส่วนปาณาติบาตก็จะไม่ถูกสร้าง
จาก ท่าน
เซียวเหล่งนึ่ง แห่งสำนักสุสานโบราณ
อยากทราบเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 09:05 AM
โดยทั่วไปก็เป็นเช่นนั้นครับ แต่การกินเจก็ไม่ใช่ว่าจะสุขภาพดีเสมอไป หากไม่ได้ทำอย่างถูกต้องและระมัดระวัง เช่น ไปกินผักที่มีสารเคมีปนเปื้อนบ่อย ๆ แทนที่จะสุขภาพดี กลายเป็นสุขภาพเสื่อมไป ที่ถูกต้องคือควรรู้จักประมาณในการกิน มีมุมมองในการกินอย่างถูกต้อง ว่าเรากินเพื่อยังชีพให้เป็นไปหรือเพื่อรักษาโรคเท่านั้น หากว่ากินผักแต่ไม่รู้จักประมาณในการกิน ผลก็เหมือนเดิมครับ
เมตตาจิตสามารถทำได้โดยตรงที่ใจเราเอง แม้จะไม่กินเนื้อสัตว์ แต่บางคนก็ยังมักโกรธ พยาบาท อาฆาต คิดเบียดเบียน ด่าทอผู้อื่นในใจได้เช่นกัน บางทีอาจจะไม่ฆ่าสัตว์เพื่อกินเนื้อ แต่ก็บี้มด ตบยุง ฉีดยาฆ่าแมลง อีกทั้งผักจำนวนมากกว่าจะได้มาก็มีการกำจัดศัตรูพืชมากมาย ทั้งหนู แมลง และศัตรูพืชต่าง ๆ หากจะยุติการฆ่า ก็ต้องยุติที่ใจของเราเอง ตั้งใจไว้เลยว่าเราจะไม่ฆ่าและจะไม่มีส่วนในการฆ่า หากตั้งใจแค่ว่าไม่กินเนื้อสัตว์ แต่เราก็ยังจะฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์ด้วยเหตุผลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การกินอีกอยู่ดี
สิ่งหนึ่งที่เราห้ามได้ยากคือความเป็นไปของโลก เมื่อศีลธรรมของคนในโลกเสื่อมกันเป็นส่วนใหญ่ แม้สิ่งแวดล้อมก็เสื่อมตาม แม้อาหารก็เสื่อมตาม เราเกิดในยุคที่เสื่อมขนาดนี้ที่จะแก้ไขแค่เลิกกินหรือไม่สนับสนุนอาหารที่มาจากการฆ่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ครับ หากจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้จริง ๆ ก็ต้องชักชวนคนทั้งโลกให้งดเว้นจากการฆ่า เพราะถึงแม้เราจะไม่กินเนื้อสัตว์ แต่เชื่อเถอะว่าคนที่ฆ่าสัตว์เขาก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกครับ เพราะว่าต้นตอคือใจที่มืดดำของเขานั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข เราต้องชวนให้เขาทำทาน ชวนให้เขารักษาศีล ชวนให้เขาเจริญภาวนา จนใจของเขาสว่าง ความมืดในใจมลายหายไป เมื่อนั้นเขาก็จะเลิกไปเอง แต่หากใจของคนทั้งโลกยังเสื่อมอยู่อย่างนี้ แม้เราจะประท้วงหรือรณรงค์กันแค่ไหน คนที่ทำชั่วก็ยังจะทำชั่วเรื่อยไป คนที่ทำดีก็มีแต่จะต้องเหนื่อยกันต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้นเองครับ
หากเราเลือกที่จะไม่กินเนื้อสัตว์ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะว่าเนื้อสัตว์นั้นย่อยยาก เป็นอาหารหยาบ แต่หากเราจะเลือกทานเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วแค่พอประทังชีวิต แต่หาได้ง่าย แล้วนำเวลาที่เหลือไปประพฤติปฏิบัติธรรม และชักชวนผู้คนให้มาประพฤติปฏิบัติธรรมก็ได้เช่นกัน เพราะแม้พืชผักในสมัยนี้ก็เสื่อมคุณภาพลง สารอาหารน้อยลง มีพิษมากขึ้น อาหารนั้นเสื่อมลงเพราะใจของคนในโลกเสื่อมลง หากใจของคนในโลกเจริญขึ้น อาหารก็จะเจริญขึ้นตามไปด้วย การเลือกอาหารจึงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุครับ
#3
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 10:03 AM
ขอเพิ่มเติม...ทรงห้ามฉันเนื้อสุนัข ด้วยครับ (เนื้อสัตว์ ๑๐ อย่าง)
#4
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 10:30 AM
#5
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 11:37 AM
#6
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 12:48 PM
จะถวิลสิ่งใดให้สมหวัง
ไม่มีบุญกินสิ่งใดเลิศใดยัง
ท้องก็พังยังเป็นโรคให้โศกนาน
คิดวิธีให้เหตุผลล้นดีนัก
จะกินผักกินหญ้าว่าไม่ผลาญ
ชีวิตใดเสมือนได้ให้ทำทาน
คิดวิธีมากหลักการก็ไม่พ้น
ว่าความจริงไม่ใช่ในความเชื่อ
ความจริงเมื่อหยุดจิตเป็นนิจหน
ก็จะรู้ว่ามากมายในเชื่อคน
มีใครหนอคอยดลจนผิดเพี้ยน
#7
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 01:32 PM
สำหรับพระภิกษุขอรับทราบไว้ด้วยว่าเนื้อสัตว์ที่มีผู้ทำอาหารถวายพระนั้น มีพระวินัยอยู่ว่า ถ้าเนื้อนั้น พระได้เห็นหรือได้ยิน ว่า เขาเฉพาะเจาะจงฆ่าสัตว์สำหรับท่านละก็ท่านฉันไม่ได้
แม้ไม่เห็นการฆ่า ไม่ได้ยินตอนเขาฆ่ามาเฉพาะเพื่อท่าน แต่สงสัยว่าเขาเฉพาะเจาะจงฆ่าสัตว์สำหรับท่านละก็ท่านฉันไม่ได้ แม้อย่างนั้นในพระวินัย ก็กำหนดว่าฉันไม่ได้
เนื้อ ๑๐ ประเภทต่อไปนี้ในพระวินัย ห้ามพระภิกษุฉัน คือ
๑.เนื้อมนุษย์
๒.เนื้อช้าง
๓.เนิื้อม้า
๔.เนื้อสุนัข
๕.เนิ้องู
๖.เนิ้อราชสีห์
๗.เนื้อเสือโคร่ง
๘.เนื้อเสือเหลือง
๙.เนื้อหมี
๑๐.เนื้อเสือดาว
เนื้อเหล่านี้ห้ามพระภิกษุฉันเ็ด็ดขาด รูปใดฉัน ถือว่าผิดพระวินัย ต้องอาบัติ
หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา โดยพระภาวนาวิริยคุณ
พระไตรปิฏก หน้า ๙๗ ฉบับมหามกุฎฯ
#8
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 03:27 PM
#9
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 03:30 PM
#10
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 03:58 PM
#11
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 07:12 PM
#12
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 07:57 PM
#13
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 09:47 PM
ตอบกันดีจัง
#14
โพสต์เมื่อ 08 September 2007 - 11:44 PM
#15
โพสต์เมื่อ 09 September 2007 - 10:15 AM
#16
โพสต์เมื่อ 09 September 2007 - 09:19 PM
#17
โพสต์เมื่อ 10 September 2007 - 08:52 AM
ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของคำถาม และ ทุกคำตอบคะ .. สาธุ ๆ ๆ
#18
โพสต์เมื่อ 10 September 2007 - 08:53 AM
#19
โพสต์เมื่อ 10 September 2007 - 07:18 PM
#20
โพสต์เมื่อ 14 September 2007 - 10:28 AM