ศิษย์โง่ไปวัดปากน้ำ
#1
โพสต์เมื่อ 04 October 2007 - 10:35 PM
ผมต่ายเองครับ อายุ 22 ปี เรียนวิศวะไฟฟ้า ปี3 ครับ
ผมได้เปิดกระทู้เป็นกระทู้ที่สองแล้วครับ" กระทู้แรกคือวันที่ 30ก.ย.ได้ไปกราบคุณยายอาจารย์ตรีธามาครับ " เพราะช่วงนี้ผมรู้สึกว่าผมผูกพันกับมหาปูชนียาจารย์มากเป็นพิเศษครับ
หัวข้อกระทู้นี้ที่ผมเปิดคือ"ศิษย์โง่ไปวัดปากน้ำ" คำว่าศิษย์โง่ก็คือตัวผมเองครับ เหตุผลที่โง่ก็คือผมได้เกิดมาพบกับมหาปูชนียาจารย์ดั่งเช่นพระเดชพระคุณหลวงปู่และพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แต่ผมก็ไม่เอาไหน ไม่หมั่นเพียรและเอาจริงเอาจังกับการนั่งธรรมะครับ เลยยังไม่ได้เข้าถึงธรรมเสียที
แต่เหตุผลที่ผมเปิดกระทู้นี้ก็คืออยากให้เพื่อนๆ พี่ๆทุกท่าน ถ้าว่างจากงานบุญที่วัดพระธรรมกาย น่าจะหาโอกาสไปกราบสรีระพระเดชพระคุณหลวงปู่บ้างนะครับ เพราะวัดปากน้ำก็ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่หลวงปู่ได้ปักหลักสู้ ปักหลักในการทำวิชชา และเผยแผ่วิชชาธรรมกาย หลวงปู่เคยบอกว่า "ท่านใช่สถานที่ตรงวัดปากน้ำมาหลายชาติแล้วครับ " ดังนั้นผมอยากให้นักเรียนอนุบาลทุกๆท่านตามรอยมหาปูชนียาจารย์กันบ้างนะครับ (แต่ไม่ใช่ให้ทำใจออกห่างจากคุณครูไม่ใหญ่นะครับ) และปัจจุบันยังมีบุคคลที่เกิดทันพระเดชพระคุณหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ครับ เช่นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ผมไปวันอาทิตย์ เห็นท่านเมตตาให้สาธุชนที่ไปเข้าถวายปัจจัยและกราบนมัสการท่านได้ครับ ท่านเป็นกันเองมากๆครับ ไม่ถือตัวเลยครับ และอีกบุคคลที่สำคัญมากเพราะท่านได้เคยเป็นหัวหน้ากะเวรในการทำวิชชาธรรมกาย สมัยพระเดชพระคุณหลวงปู่และคุณยายของเรายังมีชีวิตอยู่ นั่นก็คือคุณยายอาจารย์ตรีธา เนียมขำ ครับ
การเป็นหัวหน้าเวร(กะ)ในการทำวิชชานั้นไม่ง่ายนะครับ เพราะจะมีหัวหน้าเวรแค่ 6 ท่านเท่านั้นครับเพราะมี 6 กะ,กะละ 4 ชม. แต่ช่วงหลังพระเดชพระคุณหลวงปู่ให้เปลี่ยนเป็นกะละ 6ชม.ครับ โดยการคัดสรรนั้นพระเดชพระคุณหลวงปู่จะให้บุคคลที่ได้ธรรมกายทุกคนไปถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ในพระนิพพานว่าจะให้ใครเป็นหัวหน้ากะเวร (ทั้งๆที่หลวงปู่ท่านก็ทราบดีอยู่แล้วครับ) คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบากาจันทร์ขนนกยูงหรือคุณยายของเราก็ได้เป็นหัวหน้าเวรครับ
ถ้าไปก็แวะไปกราบคุณยายอาจารย์ตรีธาบ้างนะครับ
ปล.อย่าลืมนำพวงมาลัยดอกมะลิสวยๆไปกราบท่านด้วยนะครับ
ขอกราบอนุโมทนาบุญล่วงหน้านะครับ
สาธุ
#2
โพสต์เมื่อ 04 October 2007 - 11:48 PM
แต่หลังจากนั้น หลวงปู่ท่านปรับให้เหลือเวรละ 4 ชั่วโมง แต่ละเวรก็เข้า 2 กะ แต่ละเวรก็จะมีหัวหน้าเวรคอยรับและส่งต่อวิชชาว่าความรู้เป็นยังไง งานที่สั่งไปถึงไหน ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้ง และหลวงปู่ก็ไม่ให้นำมาเล่านอกโรงงานทำวิชชา
ส่วนการเลือกหัวหน้าเวรนั้น เคยพบเห็นข้อมูลที่ท่านเจ้าของกระทู้นำมาเล่าไว้เหมือนกัน ไปเจอบน internet ซึ่งเป็นการเล่าของลูกศิษย์รุ่นหลังๆอีกทีหนึ่ง แต่โดยส่วนตัวที่ไปสัมผัสบุคคลยุคต้นวิชชา ก็ไม่เห็นท่านจะเล่าเรื่องอย่างนี้ให้ฟัง และส่วนตัวก็ไม่กล้าถามท่านเพราะว่ามันเป็นเรื่องละเอียดเกินไปสำหรับระดับธรรมะของตัวเอง
ผู้ที่ทำวิชชาในโรงงานนั้น ไม่ใช่ว่าจะรู้เห็นเท่าเทียมกันหมด บางท่านก็ได้ยินว่าเค้าสั่งวิชชากันอย่างนั้นอย่างนี้แต่ก็ทำไม่ได้ไปไม่ถึง โดยสรุปแล้วคือ ใครยิ่งหยุดนิ่งได้มาก ใครธรรมะชัดใสมาก ก็จะรู้เห็นได้มาก ความถูกต้องแม่นยำมาก
แต่สุดท้ายพอย้อนกลับมาคิดถึงตัวเราเอง ธรรมะยังไม่ก้าวหน้าเลย อายครูบาอาจารย์มากๆ เสียแรงที่อุตส่าห์เป็นศิษย์มหาปูชนียาจารย์ท่านมาตั้งนาน ละอายเหลือเกิน T T
บุคคลรุ่นที่ทำวิชชากับหลวงปู่ท่านหนึ่งได้สอนผมว่า ให้ทำตัวเองให้ใสสะอาดอยู่เสมอ ทำอย่างนี้ให้ได้ จะทำตัวเองให้ใสสะอาดก็คือ หยุดต่อไปเรื่อยๆ หยุดในหยุด ซึ่งก็ตรงกับคุณครูไม่ใหญ่สอน ก็คือ เรื่องอื่นอย่าเพิ่งพูดไปใหญ่โต ทำดวงทำองค์พระให้ชัดเสียก่อน แล้วค่อยมาว่ากันอีกที
#3
โพสต์เมื่อ 05 October 2007 - 11:45 AM
#4
โพสต์เมื่อ 05 October 2007 - 12:13 PM
#5
โพสต์เมื่อ 05 October 2007 - 03:44 PM
#6
โพสต์เมื่อ 05 October 2007 - 06:01 PM
อยากเจอหลวงปู่ ก็คิดถึงหลวงปู่ไว้ศูนย์กลางกาย อยู่ที่ไหนก็สื่อสารกับท่านได้เหมือนกัน
#7
โพสต์เมื่อ 05 October 2007 - 06:40 PM
#8
โพสต์เมื่อ 05 October 2007 - 10:56 PM
#9
โพสต์เมื่อ 06 October 2007 - 08:36 AM
ทำให้เราระลึกถึงและผูกพันธ์กับหลวงปู่มากยิ่งขึ้นครับ เพราะที่วัดปากน้ำมีร่างของหลวงปู่ที่ยังไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาและเป็นหลักฐานที่ทำให้เราได้ทราบถึงการเผยแผ่ธรรมของหลวงปู่ครับ
#10
โพสต์เมื่อ 07 October 2007 - 11:48 AM
รองเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ประวัติก่อนบวช
พระเดชพระคุณ พระราชพรหมเถร องค์ปัจจุบัน มีนามเดิมว่า วีระ อุตตรนที และในภาษาญี่ปุ่นว่า คูนิโอ คาวาคิตะ บิดาท่านเป็นชาวญี่ปุ่นนามว่า เอดะ คาวากิตะ มารดาท่านเป็นชาวไทยนามว่า นางสน อุตตรนที ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๒ ที่ข้างวัดมอญ ตำบลท่าข้าม อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดธนบุรี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ล้วนเป็นชาย ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒
การศึกษาเมื่อเยาว์วัย
ครอบครัวของเด็กชายวีระ อยู่ที่บางขุนเทียนได้ไม่นานนัก ก็ย้ายไปอยู่สี่พระยา เมื่อเจริญวัยเข้าเกณฑ์การเรียน บิดามารดาก็ส่งไปเข้าเรียนในโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นของสมาคมญี่ปุ่นในประเทศไทย เรียนอยู่ได้ ๖ ปี จนถึงปี พ.ศ.๒๔๗๔ ก็เรียนจบชั้นประถมปีที่ ๖ ของโรงเรียน มีความสามารถอ่าน เขียน และพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดี ด้วยความขยันหมั่นเพียรมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ต่อจากนั้นก็ได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๑ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเข้าเรียนต่อเตรียมปริญญาธรรมศาสตร์ รุ่นที่ ๒ จนถึง พ.ศ.๒๔๘๓ จากนั้นจึงเข้าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียนในสาขานิติศาสตร์ สอบได้ที่ ๑ ใน พ.ศ.๒๔๘๔ ขณะเรียนอยู่นั้นก็ได้ทำงานไปด้วยในสถานทูตญี่ปุ่น
แต่ชีวิตการศึกษาในมหาวิทยาลัยของคฤหัสถ์วีระ ต้องยุติลงภายหลังจากขึ้นปีการศึกษาที่ ๒ เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ อันเป็นการเริ่มสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในภูมิภาคเอเชียบูรพา
การอาชีพ
เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลงแล้ว คฤหัสถ์วีระไม่ได้กลับเข้าไปศึกษาต่อ แต่ได้ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพค้าขาย สั่งและส่งสินค้าเข้าและออกจากประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น ด้วยความขยันขันแข็ง เอาใจใส่ในหน้าที่ การค้าขายจึงเจริญขึ้นเป็นลำดับ ในระยะเวลาประมาณ ๑๐ ปีนั้น
พบหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ครั้งที่ คฤหัสถ์วีระจะได้พบหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น เป็นปี พ.ศ.๒๔๙๖ ขณะนั้นอายุได้ ๓๔ ปี วันหนึ่งได้ขึ้นรถเมล์สายตลาดพลู นั่งไปเพลินๆ ไม่ได้มีจุดหมาย และได้ปรารภกับตนเองว่า “ในชีวิตนี้คนเราต้องการอะไรกัน” คำตอบคือ “ความสุข” ก็แล้วความสุขนั้นคืออย่างไร จะให้มีจะให้รู้เห็นเป็นได้อย่างไร ปรารภอยู่ดังนั้น รถเมล์ก็วิ่งมาถึงตลาดพลู ที่นั่นคฤหัสถ์วีระได้ลงเรือจ้างที่แล่นไปตามคลองบางกอกน้อย เรือจ้างคิดว่า คฤหัสถ์วีระจะไปรับพระของขวัญของหลวงพ่อที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จึงได้พาขึ้นท่าเรือที่เรียกกันว่า ท่าไฟไหม้ ข้างวัดปากน้ำ
เมื่อเรือจอดเทียบท่า คฤหัสถ์วีระก็ขึ้นจากเรือ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบว่าขึ้นไปทำไม และก็ได้เดินชมวัดอยู่ แล้วคฤหัสถ์วีระก็ได้เห็นพระภิกษุท่านหนึ่ง ดูน่าเลื่อมใส กำลังฉันภัตตาหารเพลอยู่ ความสง่า องอาจ และบุญราศรีของท่าน ทำให้ต้องคิดว่าพระภิกษุท่านนั้นคงจะเป็นพระนักปฏิบัติผู้เคร่งครัดอย่างแน่นอน เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านก็นั่งสนทนากับญาติโยมทั้งหลายที่ไปหานั้น ด้วยปฏิสันถารอันดี พูดจาฉะฉาน โต้ตอบธรรมะได้ลึกซึ้ง เป็นพิเศษ
หลวงพ่อพระราชพรหมเถรสนใจในเรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐานมาตั้งแต่เด็ก ฟังธรรมที่วัดหัวลำโพง วัดแก้วแจ่มฟ้า วัดมหาพฤฒาราม มีความสนใจในเรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน ว่ามีจริงหรือไม่ จะไปดูด้วยวิธีใด ปรารถนาจะพิสูจน์ในเรื่องนี้ ก็ประจวบเหมาะในครั้งนี้ ได้ถือโอกาสขึ้นไปนั่งคุยกับพระอาจารย์ท่านนั้น จึงได้รู้ว่าท่านคือ “หลวงพ่อวัดปากน้ำ” ผู้ค้นพบพระสัทธรรมวิชชาธรรมกายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนั้นท่านมีสมณศักดิ์เป็นพระราชพรหมเถร ท่านก็ได้บอกว่า หากสนใจเรื่องนี้ให้มานั่งกัมมัฏฐาน และท่านได้แนะนำหลายอย่างเกี่ยวกับวิธีนั่งภาวนา
เป็นอันว่าคฤหัสถ์วีระในวันนั้นได้ทราบวิธีปฏิบัติจากท่านโดยละเอียด ก่อนจะกราบลาท่านกลับ ท่านบอกว่าให้มาวันพฤหัสบดี ด้วยความต้องการจะพิสูจน์ทดลอง คฤหัสถ์วีระก็ได้กลับไปพบท่านใหม่อีก
บรรลุธรรมกาย
คฤหัสถ์วีระได้มาปฏิบัติพระกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่ ๑๘ วัน ก็ได้เห็นตามที่อยากรู้นั้น แต่ในขณะนั้น ยังสงสัยอยู่ในใจว่า ที่เห็นนั้นเป็นจริงหรือว่าเป็นมโนภาพ คิดเอาเอง ก็พลันได้ยินหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่า “ถ้าเราไปคิดเอาเอง เรานึกเท่าไหร่มันก็ไม่เห็น แต่นี่เราเป็นสมาธิ แล้วมันเป็นวิปัสสนา ถ้าเรานั่งมันก็จะเห็นขึ้นมาเอง” หลวงพ่อวัดปากน้ำได้สอนศิษย์คนใหม่ของท่านในพระสัทธรรมและแก่นแห่งพระศาสนา เมื่อได้เห็นแล้วท่านพระอาจารย์ก็ได้กล่าวกับศิษย์ของท่านว่า “ที่บรรพบุรุษของเราได้อุตส่าห์เสียสละเลือดเนื้อก็เพื่อจะปกป้องพุทธศาสนา ซึ่งมีของจริงอย่างนี้”
คฤหัสถ์วีระเมื่อได้มาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อวัดปากน้ำแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสมากขึ้นตามลำดับ เมื่อใจสบายแล้วจึงได้นึกทบทวนว่า “ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจเรานี้เอง เมื่อใจหยุดก็เกิดความสงบ ครั้นสงบแล้วก็เป็นสุข ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าการหยุดนิ่งไม่มี”
นับแต่นั้นมา คฤหัสถ์วีระก็ได้ไปนมัสการหาหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยสม่ำเสมอ บางครั้งก็พำนักค้างแรมที่วัดเพื่อปฏิบัติธรรม บางวันหลวงพ่อก็เรียกเข้าไปนั่งภาวนากับท่าน และสอนการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอย่างละเอียด คฤหัสถ์วีระปฏิบัติจนได้ธรรมกาย ผ่านครบทั้ง ๑๘ กายแล้ว หลวงพ่อก็ได้สอนวิชชาธรรมกายขั๊นสูงให้ ซึ่งท่านก็ปฏิบัติสามารถได้
อุปสมบท
คฤหัสถ์วีระเมื่อได้เห็นของจริงในพระพุทธศาสนาเช่นนี้แล้ว จึงได้ตัดสินใจสละเพศคฤหัสถ์เข้าครองผ้ากาสาวพัสตร์ เข้าบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ โดยมีพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งขณะนั้นมีสมณศักดิ์เป็นที่พระราชพรหมเถร เป็นองค์อุปัชฌาย์ และมีท่านพระครูปัญญาภิรัต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ กับท่านพระครูพิพัฒน์ธรรมคณี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า “คณุตฺตโม ภิกฺขุ”
เผยแผ่วิชชาธรรมกาย
เมื่อท่านได้บวชเรียนแล้ว ก็ได้ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานตามแนววิชชาธรรมกาย กับหลวงพ่อวัดปากน้ำมาโดยตลอด ได้เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พระศาสนาให้เจริญถาวรสืบไป ทั้งในและนอกประเทศ
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๘ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูภาวนาภิรม ท่านได้เป็น รองเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เลื่อนขึ้นเป็น พระภาวนาโกศลเถร
ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ และได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์ พ.ศ.๒๕๒๒
ในปี พ.ศ.๒๕๔๗ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เลื่อนขึ้นเป็น พระราชพรหมเถร
พระเดชพระคุณพระราชพรหมเถรองค์ปัจจุบัน เป็นผู้สืบทอดวิชชาธรรมกายโดยตรงจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านได้ทำหน้าที่เผยแพร่พระสัทธรรมวิชชาธรรมกายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ ทั้งในวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่หอสังเวชนียมงคลเทพนิรมิต ในโครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชน วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ซึ่งท่านเป็นพระอาจารย์ควบคุมการปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่ และดำเนินการอยู่อย่างเข้มแข็ง
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมเถร เป็นครูอาจารย์ผู้ประเสริฐของศิษยานุศิษย์ และท่านได้สอนอบรมตักเตือนศิษย์ทั้งหลายด้วยความเมตตาโดยตลอด ท่านสอนหลักธรรมให้ปฏิบัติเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทุกคน ทั้งในระหว่างการเรียนปฏิบัติพระกรรมฐานและในชีวิตประจำวัน
เผยแผ่พระศาสนาสู่ต่างประเทศ
โดยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมเถร มีความชำนาญในด้านภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส จึงทำให้งานเผยแพร่พระสัทธรรมวิชชาธรรมกายได้ดำเนินไปด้วยดี พร้อมกับมีการจัดพิมพ์การปฏิบัติสมถวิปัสสนากรรมฐานตามแนววิชชาธรรมกายเป็นภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน เผยแพร่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฮอลแลนด์ เยอรมันนี สวีเดน และญี่ปุ่น ซึ่งได้มีการดำเนินงานสอนพระสัทธรรมวิชชาธรรมกาย และจัดตั้งวัดไทยขึ้นเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาแพร่หลายสู่พลโลกอย่างกว้างขวาง.
#11
โพสต์เมื่อ 08 October 2007 - 12:03 AM
1.ถ้าขับรถมาเอง มาถึงวงเวียนใหญ่แล้ว อยู่ฝั่งธนบุรี ให้เข้าไปที่เส้นถนนเพชรเกษม จะเจอสามแยกตลาดพลู (จะเห็นสถานีดับเพลิงอยู่ตรงแยกพอดี) ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปถนนเทอดไท จะผ่านวัดเวฬุราชิน สำนักงานเขตธนบุรี อยู่ฝั่งขวามือ ไปเรื่อย ๆ จะเจอวัดนางชี และวัดนาคปรก อยู่ฝั่งซ้ายมือ ระยะทางประมาณ 2.5 - 3 กม เท่านั้น จากแยกตลาดพลู แล้วจะเจอสามแยกอีกครั้งหนึ่ง ให้เลี้ยวขวาไปตามทางจนสุดทาง จะเป็นที่จอดของอู่รถเมล์หลายสาย เช่น สาย 9 สาย 4 สาย 175 และรถสองแถว ให้เข้าไปตามทาง ซึ่งสองข้างทาง จะมีขายชุดสังฆทาน เมื่อสุดถนนแล้ว ให้ไปทางซ้ายมือ (one way)
2. นั่งรถเมล์สาย 4 สาย 9 สาย 175 มาลงสุดสาย แล้วเดินตามทางเข้าไปที่วัดประมาณ 200 เมตร
3. นั่งเรือจากปากคลองตลาด มาลงที่ท่าเรือภาษีเจริญ (วัดปากน้ำ)
4.ยังมีเส้นทางลัดอีกหลายเส้นทาง แต่ต้องเดินลัดเลาะตามซอยต่าง ๆ ถ้าไม่ใช่คนพื้นที่ อาจจะเดินไม่ถูก จึงไม่ขอแนะนำครับ
หากสนใจไปจริง ๆ ก็ติดต่อมาที่ผมก็ได้ครับ เพราะผมไปประจำอยู่แล้วครับ
สาธุครับ
สรุชัย (กัปตัน)
e-mail: [email protected]
#12
โพสต์เมื่อ 08 October 2007 - 05:53 PM
เคยพบท่าน ที่วัดปากน้ำครั้งหนึ่ง
ท่านจะรับแขกที่ห้องชั้นล่าง ใกล้หอที่ประดิษฐาน ร่างของหลวงปู่
ท่านจะใช้ที่พรมน้ำมนต์ ที่แห้งๆ (ไม่มีน้ำ) เคาะหัวให้ แล้วพูดยิ้มๆว่า "ดังไปถึงพระนิพพาน"
ดูท่านใจดี
แต่ส่วนใหญ่จะสะดวกมานั่งสมาธิที่วัดพระธรรมกาย วันอาทิตย์ มากกว่าค่ะ
"รักษา อารมณ์ดี + อารมณ์เดียว + อารมณ์สบาย ทั้งวัน "
#13
โพสต์เมื่อ 08 October 2007 - 06:22 PM