ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พระโมคคัลลานะเถระพบพระพุทธเจ้าในจักรวาลอื่น


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 08:50 AM

นี้เป็นเนื้อหาที่ผมได้อ่านจากเวปหนึ่ง อ่านแล้วได้ความรู้ดีมาก จึงอยากแบ่งปันให้พี่น้องเพื่อนกัลยาณมิตรได้อ่านด้วย
แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าเนื้อหายาวมั๊กๆ

หากท่านใดเห็นว่าอ่านลำบากเข้าไปอ่านได้ที่เวปข้างล่างนี้นะครับ

http://board.palungj...hread.php?t=600

ความเป็นมา
--------------
เหตุการณ์เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เมื่อพระมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระน้านางแห่งองค์สมเด็จศรีศากยะมุนึสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระทัย
ชื่นชมโสมนัสยินดี ได้จัดทำผ้าเนื้อละเอียดมีค่ามาก ด้วยวิริยะอุตสาหะอันยิ่งให_่ ด้วยน้ำพระทัยเจาะจงถวายแด่องค์สมเด็จพระศาสดา แต่เมื่อได้
นำผ้านั้นมาน้อมถวาย พระองค์ไม่ยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ผันผายหันไปจะถวายแด่องค์อรรคสาวกทั้งสอง แต่ก็ไม่รับเช่นกัน แล้วพระนางก็
น้อมถวายแด่พระเถรานุเถระพระสงฆ์องค์อรหันต์ทั้งหลาย แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดรับผ้านั้น จวบจนกระทั่งถึงภิกษุใหม่รูปหนึ่ง นามว่า " อชิตะ"
นั่งอยู่ข้างท้ายปลายแถว
ในที่สุด ท่านก็รับผ้านั้น สร้างความเสียพระทัยให้แก่พระนางเป็นอันมาก หากแม้ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงรับ แต่องค์อรรคสาวกทั้งสอง
ท่านใดท่านหนึ่งรับ ก็คงจะสมพระทัยอยู่ไม่น้อย แต่นี่กระไร พระภิกษุบวชใหม่ ไม่ได้สำเร็จมรรคผลใด ๆ เป็นผู้รับ
พระบรมศาสดา เพื่อจะเปลื้องความกังขาสงสัยในน้ำพระทัยของสมเด็จพระน้านางแห่งพระองค์ที่ได้เคยฟูมฟักรักษาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว๋วัย
จึงได้ทรงอธิษฐานบาตรของพระองค์ให้อัตรธานหายไป แล้วได้ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่าท่านผุ้ใดสามารถหาบาตรของตถาคตเจอบ้าง ก็เห็นแต่
พระมหาโมคคัลลานะเถระ องค์เดียวที่มีฤทธิ์มาก จึงห่มผ้าเฉลียงบ่าประคองอั_ชีทูลพระชินศรีบรมศาสตา เพื่อออกแสวงหาบาตรใบนั้น

การหาบาตรของพระมหาโมคคัลลานะเถระ
------------------------------------------------
การออกไปหาบาตรของพระเถระนั้น ได้ใช้มหาฤทธานุภาพเป็นอันมาก หลวงปู่ตื้อ อาจารธมฺโม ได้เล่าในการแสดงพระธรรมเทศนาที่
วัดอโศการามว่า พระมหาโมคคัลลานะเถระนั้น ต้องใช้ฤทธิ์ของท่านระเบิดวงล้อมแห่งจักรวาลออกไป อาจารย์ นายแพทย์ ตันม่อเซี้ยง ได้เล่าเรื่องนี้
ไว้ในการบรรยาย"วิชามหายาน" ของท่าน ในสมัยที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมศาสนศาสตร์ มหามกุฏราชวิทยาลัย ว่า
"พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกแก่พระมหาโมคคัลลานะเถระว่า เมื่อท่านออกห่างจากชมพูทวีปไป เมือหันมามองดูชมพูทวีปเห็นเท่าผืนนา
ของชาวมคธแล้วให้รีบกลับมา หรือไม่หากท่านไปไกลกว่านั้น จนกระทั่งที่สุดเห็นชมพูทวีปเป็นจุดเล็ก ๆ แล้วให้รีบกลับมา"
เมื่อได้กราลทูลลาพระพุทธองค์แล้ว พระเถระก็ออกเดินทางแสวงหาบาตรไปทั่วสากลภิภพ ไกลออกไปจนพ้นเขตจักรวาล

แดนสุขาวดีพุทธเกษตร
--------------------------
การหาบาตรดำเนินไปทั่วสากลจักรวาล ลุถึงแดนหนึ่งที่เรียกว่า " สุขาวดีพุทธเกษตร" เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข ในดินแดน
แห่งนี้มีแต่การศึกษาธรรมะ แม้แต่เสียงนกที่ร้องออกมาก็เป็นธรรมะ ณ ดินแดนแห่งนี้เอง มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งดำรงอยู่ ทรงพระนาามว่า
" อมิตาภะพุทธเจ้า" ขณะนั้น พระพุทธองค์กำลังประทับอยู่ท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก พระวรกายให_่โตมาก พระโมคคัลลานะเถระ
ได้เหาะเข้ามาในที่ประชุมสงฆ์มีพระรพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้เข้าไปยืนอยู่บนขอบบาตรของพระพุทธเจ้า ( แสดงว่าบาตรให_่โตมาก สามารถขึ้น
ในยืนอยู่บนขอบบาตรนั้นได้) พร้อมประคองอั_ชุลีถวายความเคารพ เมื่อพระภิกษุทั้งหลายเห็นเช่นนั้น ก็ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
"นี่คืออะไรหนอ ? รูปร่างเล็ก ๆ "
พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่ไม่ใช่อื่นไกลเลย เธอทั้งหลายอย่าได้ประมาท ภิกษุรูปนี้ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งพระสมณ
โคดมพุทธเจ้าแห่งชมพูทวีป ผู้มีฤทธิ์มาก กำลังแสวงหาบาตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นอยู่ แล้วก็หลงเข้าสู่แดนของเรา
จากนั้น พระมหาโมคคัลลานะเถระได้ทูลถามทางที่จะกลับสู่ชมพูทวีป พระอภิตาภาะพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรโมคคัลลานะ เธอจงไปตาม
พุทธรัสมีแห่งเรา เมื่อพ้นขอบจักรวาลแห่งนั้น เธอก็จะเห็นพุทธรัสมีแห่งพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้เธอตามพระพุทธรัสมีนั้นไป เธอก็จะ
สามาถเข้าสู่ชมพูทวีปได้ เหตุการณ์ตอนนี้เองที่คนทั้งหลายกล่าวกันว่า " โมคคัลลาหลงทีป" คือหลงแดน(หาทางกลับไม่ได้)นั่นเอง
เมื่อได้ฟังพุทธดำรัสแห่งองค์อภิตาภะพุทธเจ้าเช่นนั้นแล้ว พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก็ได้กราบทูลลาออกจากแดนสุขาวดีพุทธเกษตร
ตามพระพุทธรัสมีแห่งพระองค์ เมื่อพ้นจากแดนสุขาวดี ก็เห็นพระพุทธรัสมีแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลาย เข้าสู่ชมพูทวีปแล้ว
เข้าถวายอภิวาทพระบรมศาสดาทูลว่า
ข้าพระองค์ได้ออกแสวงหาบาตรไปทั่วแดนจักรวาลไม่พบเห็นเลยพระเจ้าข้า เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามพระภิกษุรูปอื่น ๆ ก็ไม่มีผู้ใด
สามารถหาบาตรพบได้ จนถึงภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่งชื่ออชิตะ ยังไม่ได้บรรลุฌานอภิ__าเหาะเหินเดินอากาศก็ไม่ได้ จึงได้ออกไปยืนพร้อมอธิษฐาน
ว่าขอให้บาตรของพระพุทธองค์จงปรากฏบนมือของข้าพเจ้าบัดนี้เถิด พลันบาตรของพระพุทธองค์ก็ปรากฏบนมือของท่าน แล้วนำไปถวาย
พระพุทธองค์ตรัสว่า อชิตะภิกษุรูปนี้ ไม่ใช่พระธรรมดา แต่เป็นหน่อเนื้อพุทธรางกูรบำเพ็_บารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน
อนาคตพระนามว่า " พระศรีอาริยเมตไตรย" แล้วตรัสปลอบใจแด่สมเด็จพระน้านางประชาบดีโคตมีว่า พระองค์นั้นได้ลาภอันประเสริฐแล้วที่
ได้ถวายผ้าแด่พระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทำให้พระนางมีพระทัยแช่มชื่นเบิกบาน

เหตุการณ์ก่อนพระศรีอาริยเมตไตรยอุบัติ
----------------------------------------------
ในคัมภีร์อนาคตวงศ์ อันเป็นคัมภีร์เก่าแก่มีมาก่อนสมัยกรุงสุโขทัย ได้กล่าวว่า วันหนึ่งพระธรรมเสนาบดี ทูลถามพระบรมศาสดา
ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริ_ ในภัทรกัป พระอชิตะเถระ จะได้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้าองค์ประเสริฐหรือ? "
พระบรมศาสดา ตรัสตอบว่าเมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทำบาปแล้ว จุติจากความเป็นมนุษย์ บังเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ จุติจากอัตภาพนั้น
แล้วท่องเที่ยวไปมาบำเพ็_บารมี ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ย่อมได้นิพพาน
สัตว์ทั้งหลายอีกพวกหนึ่งทำบุ_แล้วบังเกิดในกามภพทั้ง ๖ พรหมโลก จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปมา บำเพ็_บารมีมีพระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า และเป็นพระอรหันต์ จักถึงพระนิพพาน
จากนั้นพระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เจริ_ พระพุทธเจ้าในอดีต มีมาแล้วหาทึ่สุดมิได้ เราไม่
อาจกำหนดคำนวณพระพุทธเจ้าได้ ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เจริ_ ในอนาคต พระพุทธเจ้า ๑๐ พระองค์ จักเสด็จอุบัติ"

ความเสื่อมแห่งโลก
--------------------
เมื่อพระสารีบุตรทูลอาราธนาเพื่อให้แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ จึงตรัสว่า
ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เจริ_ ขอเธอจงสดับเถิด เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ศาสนาของเราจีงคงอยู่ อธิคม ๕ ยังมีอยู่
เมื่ออธิคม ๕ ล่วงไปแล้ว คนทั้งหลายมีอายุเสื่อมถอยลงจนถึงอายุ ๑๐ ปี เมื่อใดเด็กชายอายุ ๕ ขวบ กับเด็กห_ิงอายุ ๕ ขวบ จ้กแต่งงานกัน
เมื่อนั้นสัตถันตรกัป จักเกิดมี คนทั้งหลายฆ่าฟันกันถึงแต่ความตาย

ความเจริ_แห่งโลก
---------------------
ต่อมา ในบรรดาคนทั้งหล่านั้น พวกที่เป็นบัณทิต แรกทีเดียวได้ฟังข่าวถึงความพินาศนั้น จึงพากันเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในซอกเขา
เป็นต้น ฯ นอกจากบัณฑิตเหล่านั้น คนที่เหลือจักฆ่ากันและพินาศไป ฯ
ครั้นล่วง ๗ วันไปแล้ว คนที่เป็นบัณฑิตก็พากันออกมาจากที่หลบซ่อนของตน ๆ ในวันที่ ๗ สวดกอดกันและกันแล้ว ได้พร้อมเพรียง
กันรักษาศีล เจริ_กรรมฐาน
ถามว่า " เจริ_กรรมฐาน คืออย่างไร?"
ตอบว่า " เจริ_กรรมฐาน คือ การพิจารณาว่า" อัตภาพนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่งาม ไม่สะอาด"
เมื่อคนทั้งหลายกันรักษาศีลเป็นนัตย์ ย่อมเจริ_ด้วยอายุ คนอายุ ๑๐ ขวบ บตรของคนอายุ ๑๐ ขวบ จักมีอายุ ๒๐ ปี บุตรของ
คนมีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุ ๓๐ ปี บุตรของคนอายุ ๓๐ ปีจักมีอายุ ๔๐ ปี บตรของคนมีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุ ๕๐ ปี ๆ จักมีอายุ ๑๐๐ ปี บุตรของ
คนมีอายุ ๑๐๐ ปีจักมีอายุ ๑,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ ๑,๐๐๐ ปีจักมีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
(เพิ่มขึ้นในลักษณะนี้) จนถึงคนเจริ_อายุเป็น ๑ อสงไขย

อธรรมเพิ่มอายุลด
--------------------
ในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่แก่ไม่ตายเลย คนทั้งหลายประมาทแล้ว ย่อมมีอายุเสือมถอยลง คนทั้งหลายมีอายุเสือมถอยจาก
๑ อสงไขยลงมาจนถึงมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปีฯ เด็กชายมีอายุ ๕๐๐ ปี เด็กห_ิงอายุ ๕๐๐ ปี จักแต่งงานกันณ ในกาบนั้น ฝนจะตกทุก ๑๐ วัน ๑๕ วันฯ
แผ่นดินเจริ_ พื้นแผ่นดินในชมพูทวีปราบเรียบเสมอกันดั่งหน้ากลอง พวกผู้ชายในสากลชมพูทวีป มีรูปร่างสวยงามทรงอาภรณ์ ประหนึ่งเทวบุตร
พวกผู้ห_ิงมีรูปสวยงามประหนึ่งนางเทพอัปสร ชมพูทวีปมั่งคั่งสมบูรณ์

กำเนิดพระเจ้าจักรพรรดิ์
--------------------------
พระองค์ตรัสต่อไปว่า เมืองพาราณสีกลายเป็นนครชื่อเกุมดี ยาว ๑๖ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ที่ประตูเมือง ๔ แห่ง มีต้นกัลปพฤกษ์เกิด
๔ ต้น พระนครนั้นมีกำแพง ๗ ชั้น (สร้าง)แล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ
ครั้งนั้น นฬการเทพบุตร เสวยสิริสมบัติในเทวดา ไป ๆ มา ๆ ในสวรรค์กามาพจร ๖ ชั้น จุติจากสวรรค์นั้นแล้ว อุบัติเป็นพระเจ้าสังขะ
จักรพรรดิราช ครองสมบัติในกรุงเกตุมดีนครนั้น

สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ
-------------------------
พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิว่า ด้วยราชานุภาพ ปราสาททองแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการที่พระเจ้ามหานาทะประทับ
ผุดขึ้นจากแม่น้ำคงคา ลอยมาทางอากาศ จักประดิษฐาน ณ ท่ามกลางเกตุมดีนคร มีหมู่นางสนมเกิด ณ ปราสาท ๘๔,๐๐๐ นาง พระราชาทรงมี
พระโอรส ๑,๐๐๐ พระองค์ พระโอรสองค์ให_่ ทรงพระนามว่า อชิตกุมาร ทรงได้เป็นขุนพลแก้ว พระราชาทรงได้แก้ว ๗ ประการคือ จักรแก้ว
นางแก้ว แก้วมณี ช้างแก้ว ม้าแก้ว และขุนพลแก้ว
สระแก้ว เกิดขึ้นที่ใกล้ปราสาท กำแพงแก้วสำเร็จแล้วด้วยทอง ด้วยแก้วไพฑูรย์ ด้วยเงิน น้ำมีกลิ่นหอม เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ ดาดาษ
ไปด้วยดอกปทุม ๕ ชนิด (คือ ขัวเขียว บัวขาว บัวแดง บัวปทุม บัวปุณฑริก) และถึงพร้อมด้วยดอกโกมุท ๒ ชนิด ณ ที่ใกล้(สระ)ได้มีธงชัยและเศวต
ฉัตร (สำเร็จ)แล้วด้วยแก้ว
ในสากลชมพูทวีปจะมีมหานครเกิดขึ้น ๘๔,๐๐๐ เมือง ในมหานครเหล่านั้น จะมีกษัติรย์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ พระราชาอันมี
พระราชาทั้งปวงแวดล้อมแล้ว เสวยจักรพรรดิสมบัติ ในสกชมพูทวีป ประนึ่งว่าเสวยทิพสมบัติ

ความอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
---------------------------------
ปุโรหิตของพระเจ้าจักรพรรดิ ชื่อ สุพรหมพราห์ม เป็นผู้มียศให_่ ไม่มีผู้เสมอเหมือน ภรรยาของปุโรหิตนั้น ชื่อว่า พรหมวดี
ครั้งนั้น พระเมตไครยโพธิสัตว์อันเหล่าเทวดาอาราธนาแล้ว จุติลงจากดุสิตบุรี ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางพรหมวดีนั้น ท้าวจาตุมหาราช
คอยรักษาครรภ์ พอครบถ้วนทสมาส พระโพธิสัตว์ ก็ประสูติจากพระครรภ์มารดา
ในครั้งนั้น สากลชมพูทวีป จะปรากฏนิมิตให_่น้อย ๓๒ ประการ ในจักรวาลทั้งสิ้นมีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไป เพื่อเป็นที่ประทับของ
พระโพธิสัตว์ มีปราสาทอุบุติ ๓ หลัง คือปราสาทหลังหนึ่งชื่อ สิริวัฒน์ หลังหนึ่งชื่อ สิทธัตถะ อีกหลังหนึ่งชื่อ จันทกะ พระโพธิสัตว์นั้นจะมี
นางสนม ๑๐๐,๐๐๐ นางคอยบำเรอ พระอัตรมเหสี ประมุขของนางสนมเหล่านั้น จะทรงพระนามว่า จันทมุขี บุตรของพระโพธิสัตว์ จะมีนามว่า
พรหมวัฒนะกุมาร พระโพธิสัตว์ ทรงมีพระชนมายุ ๘,๐๐๐ ปี

เสด็จออกบรรพชา
-------------------
เสด็จขึ้นรถประหนึ่งวิมาน ไปสู่อุทยาน ทอดพระเนตรเห็นนิมิตรทั้ง ๔ ประการ ทรงบังเกิดพระ_าณมีความสังเวชเป็นอารมณ์
ทรงพอพระทัยในความเป็นบรรพชิต เสด็จกลับมา ขึ้นสู่ปราสาท ทีงน้อมพระทัยในความเป็นบรรพชิตแล้ว ขณะนั้น ปราสาทแก้วของพระโพธิสัตว์
ก็ลอยจากปฐพีขึ้นสู่อากาศ ครุวนาดั่งพระยาหงส์ทอง ได้พาพระโพธิสัตว์พร้อมบริวาร ลอยขึ้นสู่อากาศ
ในกาลครั้งนั้น เหล่าเทวดาในหมื่นจักรวาล ต่างก็พากันเอาดอกไม้มาบูชา พระราชา ๘๔,๐๐๐ พระองค์ ชาวนิคมและชาวชนบท
ต่างพากันถือเอาของหอมหรือดอกไม้มาบูชา พระยาอสูรราชาคอบรักษาปราสาท พระยานาคราช ก็ถือเอาแก้วมณี พระยาครุ? ก็ถือเอาแก้วประดับคอ
พระยาคนธรรพ์ ก็เล่นดนตรีและฟ้อนรำบูชาพระโพธิสัตว์
พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมพระสนทและบริวาร ได้ประทับยืนในสำนักพระโพธิสัตว์ ด้วยพระบรมราชานุภาพและอานุภาพพระมหาสัตว์
มหาชนทุกหมู่เหล่าปรารถนาความเป็นบรรพชิต เหาะขึ้นไปในอากาศพร้อมกับพระโพธิสัตว์ ในกาลนั้น ท้าวมหาพรหมถือเอาฉัตร ๖๐ โยขน์
มากางกั้นพระโพธิสัตว์นั้น
ท้าวสักกะเทวราช ทรงเป่าวิชัยยุตรสังข์ ท้าวสุยาม ทรงถือพัดวาลวิชนีบูชา ท้าวสันดุสิต ทรงถือตาลปัตรแก้วมณีถวาย ปั_จสิขะเทพคนธรรพ์
ยืนดีดพิณสีเหลืองแก้วไพฑูรย์ ท้าวมหาพรหมทั้ง ๔ มีมือถือพระขรรค์ประทับยืนห้อมล้อมในทิศทั้ง ๔ เหล่าเทวดา มนุษย์ คนธรรพ์ ยักษ์ นาค
และครุฑ ทั้งมวล ล้วนห้อมล้อมทั้งสองข้าง คือข้างหน้าและข้างหลัง พระโพธิสัตว์ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริโสภาคเห็นปานนั้นแวดล้อม เหาะไปทาง
อากาศ ก้าวลงสู่ที่ใกล้โพธิมณทล ขณะนั้น ท้าวมหาพรหม ได้อั_เชิ_บริขาร ๘ (คือ ใตรจีวร บาตร มีดโกน เข็ม รัดประตค และผ้ากรองน้ำ)
ที่สำเร็จด้วยฤทธิ์น้อมเข้าถวายพระโพธิสัตว์นั้น

พระโพธิสัตว์บรรลุพระสัพพั__ุต_าณ
-------------------------------------------
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ใช้พระขรรค์แก้วตัดพระเมาลี ซัดทิ้งไปในอากาศ ทรงรับบริขาร ๘ จากหัตถ์ของพรหม ผนวช ทรงลำเพ็_
เพียรยิ่งให_่ตลอด ๗ วัน บุรุษทั้งมวลล้วนบวชตามพระมหาสัตว์เป็นอันมาก มีต้นกากะทิงเป็นไม้ตรัสรู้ มีต้นสูง ๑๒๐ ศอก มี ๔ กิ่ง
แต่ละกิ่งยาว ๑๒๐ ศอก จากโคนถึงปลายกิ่ง ๒๔๐ ศอก ทางด้ายขวางและรอบ ๆ มีใบเขียวชอุ่มตลอดกาลเป็นนัตย์
เวลาเย็น พระโพธิสัตว์เสด็จไปสู่โพธิมณฑล ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ ในปฐมยาม ทรงระลึกถึงบุพเพนิวาส_าณ
ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุ_าณ ในปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการ ๑๒ ประการ กลับไปกลับมา ทรงบรรลุพระสัพพั__ุต_าน
ในเวลารุ่งอรุณนั่นเอง ทรงเป็นพระพุทธเจ้า ทรงยังมนุษย์แสนโกฏิให้ดื่มน้ำอมฤต แทวดานับจำนวนไม่ได้จักตรัสรู้ธรรม

พระวรกาย
------------
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก กว้าง ๒๕ ศอก ทางขวางตั้งแต่ฝ่าพระบาทที่ประดิษฐานจนถึงพระชานุ
๒๒ ศอก แต่แต่พระชานุมณฑล จนถึงพระนาภี ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระนาภีจนถึงพระรากขวั_ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวั_จนถึงพระอุณหิสะ ๒๒ ศอก
พระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้าง ข้างละ ๔๐ ศอก ช่วงพระพาหาทั้ง ๒ ข้าง ข้างละ ๒๕ ศอก พระรากขวั_ข้างหนึ่ง ๆ ข้างละ ๕ ศอก พระองคุลีองค์หนึ่ง ๆ
องค์ละ ๔ ศอก ฝ่าพระหัตถ์ ๕ ศอก ลำพระศอ ๕ ศอก พระโอษฐ์ด้ายบน ๑๕ ศอก พระโอษฐ์ด้านล้าง ๑๕ ศอก พระชิวหายาว ๑๐ ศอก
พระนาสิกโด่ง ๗ ศอก พระเนตรทั้ง ๒ ข้าง กว้างข้างละ ๗ ศอก วงพระเนตรทั้ง ๒ ข้าง ๆ ละ ๕ ศอก พระโขนงทั้ง ๒ ข้าง ๆ ละ ๕ ศอก ระหว่างพระโขนง
ทั้งสอง ๔ ศอกพระกรรณทั้งสองข้าง ๆ ละ ๗ ศอก ส่วนยาว ๕ ศอก เวียนรอบพระอุณหิสะ ๒๕ ศอก พระพุทธองค์ทรงมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
ประกอบด้วยอนุพยั_ชนะ ๘๐ ประการ

พระฉัพพัณณรังสี
-------------------
พระฉัพพันณรังสี ( คือรัสมีมี ๖ สีคือ สีเขียว เหลือง แดง ขาว สีดอกหงอนไก่ สีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก) ได้พวยพุ่งออกพระวรกายของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ประหนึ่งว่าสายน้ำไหลออกจากหม้อทองคำ ข่งแสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ แผ่ไปในหมื่นจักรวาล
ส่องสว่างไสวตลอดกาลเป็นนิตย์
คนทั้งหลาย จักไม่อาจกำหนดกลางวันและกลางคืนได้ พระพุทธรัสมีจักดำรงอยู่ในโลกชั่วนิรันตรกาล คนทั้งปวงรู้ว่า นี้เป็นยามเย็น
เป็นเวลาอาทิศอัสดงค์ด้วยเสียงนกร้องในเวลามาสู่รังนอน และด้วยปลายกลีบดอกปทุมและปลายกลีบดอกไม้หุบ
คนทั้งหลายรู้ว่า นี้เป็นเวลาเช้า เป็นเวลาที่ตะวันทอแสง ด้วยเสียงนกร้องบินไปหากิน และด้วยปลายกลีบดอกปทุมและปลายดอกไม้แย้มบาน
ลำดับนั้เน ปทุมดอกให_่ ๆ มีกลีบนอก ๓๐ ศอก กลีบใน ๒๕ ศอก เกสร ๒๐ ศอก มีฝักดอก ๑๖ ศอก ละอองเกษรฟุ้งขจรไปในอากาศ
ชำแรกปฐพีผุดขึ้นรองรับฝ่าพระบาทที่ทรงก้าวย่างไปแล้ว ทุก ๆก้าวแห่งพระบาทของพระองค์
คนทั้งปวง ไม่ต้องทำไร่ไถนา ไม่ต้องทำมาค้าขาย ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน สมบูรณ์พูนสุข มีพุทธานุสติ(ประจำใจ) บริโภคข้าวสาลีเป็น
โภชนาหารที่เกิดด้วยพุทธานุภาพ นุ่งห่มเสื้อผ้าอาภรณ์ ดำรงชีพอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมจักรอยู่ เทวดาและมนุษย์ประมาณ
๓๐ โกฏิ ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว

สรุปพระบารมีทรงบำเพ็_และผลที่ได้รับ
--------------------------------------------
พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อริยะเมตไตรย เพราะผลแห่งการถวายศรีษะให้เป็นทาง ทรงมี
พระวรกายสูง ๘๘ ศอก เพราะผลแห่งการที่พระโลหิตไหลออกจากพระบาทและพระชานุ จึงทรงมีแสงสว่างตลอดคืนและวัน เพราะโลหิตที่ไหล
ออกจากพระเศียร พระพุทธรัสมีได้มีแล้วตั้งแต่อเวจีนรก จนถึงภวัคคพรหม เพราะผลแห่งหยาดพระโลหิตบนพระเศียร ได้มีแสงสว่างจากพระอุณาโลม
ไม่มีกำหนด เพราะผลที่เสด็จดำเนิน ๑ สัปดาห์ จึงเกิดต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งแล้ว
จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า ดูก่อนธรรมเสนาบดีสารับุตร ผู้เจริ_ ชนทั้งหมด ไม่ได้พบเห็นรูปายของเรา ถ้าเขาได้พบพระศาสนา
ของเขาแล้ว ให้ทาน รักษาศีล เจริ_ภาวนาแล้วไซร้ ผลแห่งกรรมน้น เขาจักอุบัติในสำนักพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า " อริยเมตไตรย" แล
เรื่องราวของ " พระศรีอริยเมตไตรย " นี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น ในพระไตรปิฏก พระธรรมบท ขุทกนิกาย อันว่าด้วยเรือง
"อชิตภิกขุ "ตอนพระนางมหาปชาบดีโคตมีถวายผ้า ในภัมภีร์อนาคตวงศ์ ส่วนในมหายาน เกี่ยวกับเรืองพระมหาโมคคัลลานะเถระเหาะหาบาตร
ไปถึงแดนสุขาวดี พุทธเกษตรแห่งพระอมิตาภะพุทธเจ้า เป็นต้น
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#2 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 08:54 AM

ขอบคุณครับ กำลังอยากอ่านเรื่องนี้อยู่พอดี




#3 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 09:41 AM

อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุ

#4 ว่างว่าง

ว่างว่าง
  • Members
  • 200 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 10:03 AM

อนุโมทนาบุญ สาธุhappy.gif

#5 Trai072

Trai072
  • Members
  • 225 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 11:47 AM

^^~*

ขอกราบอนุโมทนาบุญ ครับ สาธุ ...

อ่านแล้วใจพองโต เลยทีเดียวนะครับ ...




เ มื่ อ เ ร า ส ว่ า ง * * * โ ล ก * * * ก็ ส ว่ า ง ด้ ว ย ^^~*

ส า ธุ . . . ค รั บ ^^~*





#6 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 12:02 PM

ครับ คงมีสักวัน ที่จะมีผู้มารวบรวม คำสอนต่างๆ ของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ที่กระจายในที่ต่างๆ สืบค้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า คำสอนไหนของจริง คำสอนไหนชนรุ่นหลังเพิ่มเติมเข้ามา และในคำสอนของชนรุ่นหลังที่เพิ่มเติมเข้ามานั้น คำสอนไหนถูกต้องจริง คำสอนไหนคลาดเคลื่อนจากคำของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์

รวบรวมคำสอนที่กระจัดกระจายนั้นเข้าด้วยกัน เป็นคำสอนที่เที่ยงแท้ฉบับสมบูรณ์ เมื่อนั้นคงจะดีไม่น้อยทีเดียว
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#7 แสวงหาบุญ

แสวงหาบุญ
  • Members
  • 8 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 12:49 PM

ยาว กี่โยชน์เนี่ย glare.gif
จงถือพระรัตนตรัย เป็นที่ตั้ง

#8 ใสๆ

ใสๆ
  • Members
  • 95 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 03:23 PM

จากรายละเอียดของเนื้อหาที่เล่ามานี้ เป็นลักษณะการนำเนื้อหาจากหลายแหล่งมาผสมกัน ซึ่งมีทั้งเนื้อหาที่ถูกต้องและเนื้อหาที่เสริมเติมแต่งเข้ามา

เช่นเรื่องสุขาวดี เรื่องพระอามิตาพุทธเจ้า หรือแดนสุขาวดี เรื่องเหล่านี้หากอ้างอิงในเชิงวิชาการด้านประวัติศาตร์พุทธศาสนาแล้ว จัดว่าเป็นเนื้อหาที่เขียนเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลังช่วงหลายร้อยปีหลังพุทธกาล ไม่มีจารึกในพระไตรปิฏกยุคต้นเลย ไม่จัดว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนแต่อย่างใด จึงเข้าลักษณะว่าเป็นตำนานซะมากกว่า ต้องระวังให้ดีอย่าเพิ่งไปเชื่อถือ เพราะไม่อย่างนั้นจะสับสน ปนเปกันไปหมด

นอกจากนี้เรื่องสุขาวดีนั้น จากการศึกษาฝันในฝัน ก็เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้เช่นกัน ซึ่งสรุปได้ว่าเป้นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองในภายหลัง ไม่มีจริง

ส่วนเรื่องที่พระโมคคัลลานะไปจักรวาลอื่นในพระไตรปิฏกเถรวาทก้มีกล่าวไว้ แตเนื้อหาไม่ได้กล่าวถึง พระโมคคัลลานะไปเจอสุขาวดีอะไรเลย










สรุปว่าอยากให้ระมัดระวังการโพสเนื้อหาในเวปนี้ด้วยนะครับ เพราะถ้าเอาเนื้อหาที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้ถูกต้อง จะส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความสับสนได้


กราบบอนุโมทนาบุญครับ


....อนุบาลฝันในฝันวิทยา แหล่งความรู้ที่ล้ำหน้ากว่าฮาร์วาร์ด....

#9 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 05:13 PM

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ...สาธุ

#10 ผู้สนใจในธรรม

ผู้สนใจในธรรม
  • Members
  • 37 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 October 2007 - 08:29 PM

ขอบคุณมากๆครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ

#11 Dhamma Bot

Dhamma Bot
  • Members
  • 477 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 28 October 2007 - 08:31 AM

นี่เป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งนะครับ ลองอ่านดูไว้ประดับเป็นความรู้นะครับ

พระอชิตะอธิษฐานบาตร


สมัยหนึ่ง พระบรมครูเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นวาระที่ ๒ พระนางมหาปชาบดีโคตมีพระน้านางทรงจินตนาว่า จำเดิมแต่พระลูกเจ้ามาสู่พระนครนี้ เรามิได้ถวายสิ่งใดเลย ฉะนั้น เราจะถวายจีวรสาฎกเถิด แล้วจึงทรงทำผ้าสาฏก ซึ่งพระนางได้ทรงกระทำด้วยหัตถ์ของพระนางเองทั้งหมดโดยเริ่มจากเก็บฝ้ายนั้นด้วยพระหัตถ์ใส่ลงในผอบทองแล้วก็ทรงเลือก ทรงหีบ ทรงดีด ทรงปั่น ด้วยพระหัตถ์มิให้ผู้อื่นกระทำ ปรากฏว่าเส้นด้ายนั้นละเอียดปราณีตยิ่งนัก และมีสีเหลืองอร่ามดุจสีทองคำธรรมชาติ


แล้วจึงรับสั่งให้หาช่างหูกฝีมือเอกมาให้บริโภคซึ่งปราณีตโภชนาหารอันระคนด้วยจตุมธุรส และให้ตกแต่งกายนุ่งห่มด้วยวัตถาภรณ์เป็นอันดี ที่โรงหูกนั้นก็ให้ดาดเพดานในเบื้องบนห้องพวงดอกไม่มีพรรณต่าง ๆ ให้น่ารื่นรมณ์แห่งใจ แล้วเสด็จลงไปสู่โรงหูกกับนางในข้าราชบริพารทั้งหลาย ทอดพระเนตรการทอผ้าวิเศษนั้นทุกวันมิได้ขาด จนการทอผ้าสำเร็จได้ผ้าสาฏก ๒ ผืน ยาว ๑๔ ศอก กว้าง ๗ ศอกเสมอกัน มีพรรณงามรุ่งเรืองสุกพรรณนา เนื้อผ้าก็ละเอียดมีมุทุสัมผัสเป็นอันดี และภูษาทั้งคู่นี้เป็นพัสตราภรณ์อันหาค่ามิได้ สมควรแก่ที่สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถจะทรง

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ ดูกรพระมาตุจฉาซึ่งมีคุณแก่เราตถาคต ! วัตถยุคคลอันประเสริฐนี้ขอให้พระมาตุจฉาจงถวายแก่สงฆ์เถิด จะเกิดมีผลานิสงส์มากยิ่งกว่าถวายอุทิศแก่เราตถาคต ด้วยว่าเมื่อได้ถวายภูษาทั้งคู่แก่สงฆ์แล้ว ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการบูชาเราตถาคตและสงฆ์ทั้งปวง”

พระนางก็อ้อนวอนถึงสามครั้งสามคราพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงตรัสเช่นเดิม พระนางจึงทรงถือเอาภูษาทั้งคู่เข้าไปสู่ที่ใกล้องค์พระสารีบุตรธรรมเสนาบดี ซึ่งสถิตอยู่ ณ เบื้องขวาสมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ประณตน้อมเข้าถวายด้วยจิตศรัทธา แต่แล้วก็กลับถูกองค์พระธรรมเสนาบดีซึ่งทราบถึงพระพุทโธบายปฏิเสธเสียด้วยคำว่า

“ ดูกรพระพุทธมาตุจฉามหาปชาบดี ! การที่พระองค์จะถวายแก่อาตมาภาพนี้ อาตมารับมิได้เพราะการมิสมควร ขอพระองค์จงทรงถวายภิกษุรูปอื่นต่อไปเถิด”

เมื่อได้รับการปฏิเสธฉะนี้ พระนางจึงทรงเลื่อนที่เข้าไปถวายแด่พระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ ณ เบื้องซ้ายแห่งองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถ แต่พระผู้เป็นเจ้าก็มิได้รับกลับปฏิเสธเสียด้วยถ้อยคำเหมือนองค์พระธรรมเสนาบดี พระนางจึงเลื่อนที่ถวายพระอรหันตอสีติมหาสาวกทั้งหลายต่อ ๆ ลงไปโดยลำดับ ก็มิได้มีพระผู้เป็นจ้ารูปใดรับแต่สักองค์หนึ่ง จนตราบเท่าถึงพระภิกษุหนุ่มนามว่า พระอชิตะ ซึ่งเป็นพระสังฆนวกะนั่งอยู่ในที่สุดท้ายสงฆ์ทั้งปวง เมื่อน้อมเข้าไปถวาย พระอชิตะหนุ่มก็รับภูษาวิเศษทั้งคู่นั้นทันที

พระอชิตราชกุมารผู้มีวาสนาใหญ่ก็ได้มาเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยและนั่งเป็นพระสังฆนวกะอยู่ ณ ที่ประชุมนั้น เมื่อทัศนาการเห็นพระนางมหาปชสบดียื่นภูษาเข้ามาถวายตรงหน้า ท่านก็กรุณารับเอาโดยประสงค์ที่จะรักษาศรัทธาของพระนางไว้ จนเป็นเหตุให้พระนางเจ้าทรงเกิดความน้อยใจไปใหญ่โต

สมเด็จพระบรมศาสดาผู้ทรงคุณใหญ่ เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระมาตุจฉาเสียพระทัยทรงพระโทมนัสในการบำเพ็ญทานพิเศษครั้งนี้จึงทรงมีพระดำริว่า ในกาลบัดนี้ สมควรที่เราตถาคตจะกระทำให้สมเด็จพระมาตุจฉาทรงคลายจากโทมนัสเสียใจ จะให้มีแต่ความชื่นใจยินดี ในวัตถุทานพิเศษนี้โดยยิ่ง แล้วจึงมีพระพุทธฏีกาตรัสเรียกใช้พระอานนท์ว่าเธอจงไปเอาบาตรของเราตถาคตมา พระอานนท์ก็รีบไปนำเอาบาตรทรงนั้นมาถวายพระองค์ทรงรับเอาบาตรแล้วทรงกระทำพุทธาธิษฐานว่า

“ พระสาวกทั้งปวง แม้จะทรงฤทธิ์ปานใดจงอย่าถือเอาบาตรนี้ได้เลย ให้พระอชิตะภิกษุหนุ่มผู้มีวาสนา จงถือเอาบาตรนี้ได้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

ทรงกระทำพระพุทธาธิษฐานฉะนี้ ก็ทรงเหยียดยื่นพระหัตถ์ข้างที่ถือบาตร ทันใดบาตรนั้นก็ลอยขึ้นไปในกลีบเมฆแล้วอันตรธานไปมิได้ปรากฏจึงทรงโปรดให้ภิกษุทั้งหลายไปนำเอาบาตรนั้นมา จะมีภิกษุสาวกรูปใดสามารถหรือไม่ ในลำดับนั้น พระธรรมเสนาสารีบุตรองค์อัครสาวกเบื้องขวากระทำอัญชลีแล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์ของพระบรมพุทธานุญาตนำเอาบาตรทรงนั้นมาถวาย แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เหาะขึ้นไปในอากาศเที่ยวแสวงหาซึ่งบาตรด้วยอิทธิ์ฤทธิ์ก็มิได้พบ จึงกลับลงมากราบทูลให้ทรงทราบซึ่งอาการที่ไม่พบนั้น บรรดาพระอสีติมหาสาวกทั้งหลายที่เหลือ

มีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นอาทิ ต่างองค์ก็ขอพระบรมพุทธานุญาตเพื่อรับอาสาแล้วก็เหาะขึ้นไปแสสวงหาบาตรบนอากาศ แต่ก็ไม่มีองค์ที่สามารถนำเอาบาตรทรงมาถวายสมเด็จพระพุทธองค์ด้วยอานุภาพแห่งตนนั้น ในที่สุดสมเด็จพระจอมโลกนาถจึงมีพระพุทธฏีกาตรัสสั่งพระอชิตสังฆนวกภิกษุว่า

“ ดูก่อนอชิตะ ! ในกาลบัดนี้ ขอเธอจงแสดงความสามารถไปนำเอาบาตรของตถาคตมา”

อชิตะภิกษุหนุ่มราชบุตรพระเจ้าอชาตสัตตุราช ซึ่งจะได้ตรัสเป็นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตภายหน้า ได้สดับพระพุทฏีกาตรัสสั่งดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ให้เป็นสิ่งอัศจรรย์น่าแปลกใจดำริว่า ไฉนพระอสีติมหาสาวกทั้งหลาย แต่ล้วนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ปราศจากราคาทิกิเลส มีฤทธานุภาพมาก ทั้งชำนาญยิ่งในฌานอภิญญา จึงมิอาจแสวงหาซึ่งบาตรทรงขององค์พระสัพพัญญูเจ้าได้ ก็แลอาตมาผู้มีนามว่าอชิตะนี้ไซร้ เป็นสังฆนวกภิกษุใหม่ในสงฆ์ ยังมิได้บรรลุคุณวิเศษในพุทธศาสนาแม้แต่เพียงพระโสดาปัตติมรรคญาณขั้นต่ำ

ซ้ำปราศจากฤทธิ์อันเกิดจากอภิญญาฌานสามาบัติแล้วสามารถนำมาเอาบาตรทรงมาถวายสมเด็จพระพุทธองค์ได้อย่างไร การที่สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถทรงมีพระมหากรุณาดำรัสสั่งให้อาตมาไปนำเอาบาตรมาครั้งนี้ น่าที่จะมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคงอย่ากระนั้นเลย จำอาตมาจะกระทำตามพระพุทธดำรัสสั่งไปตามกำลังสติปัญญา จิตนาฉะนี้แล้ว พระผู้เป็นเจ้าอชิตะจึงน้อมกายถวายนมัสการสมเด็จพระบรมครู ซึ่งสถิตอยู่บนบวรพุทธอาสน์ แล้วค่อยดำเนินไปยืนในที่สุดบริษัท ทัศนาซึ่งนภากาศแล้ว ตั้งจิตกระทำสัตยาธิษฐานว่า

“ อาตมาผู้มีนามว่าอชิตะนี้ จะได้เข้ามาบรรพชาในพระบวรพุทธศาสนาด้วยเหตุที่มีความปรารถนาในจตุปัจจัยลาภ หรือด้วยเหตุที่มิสามารถจะเลี้ยงชีพในฆราวาสวิสัยก็หามิได้ โดยที่แท้อาตมาเข้ามาบรรพชาด้วยตั้งใจจะประพฤติพรหมจรรย์ หมายมั่นจะได้ตรัสรู้ซึ่งสรรพธรรมเป็นพระสัพพัญญูในอนาคตกาล เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ออกไปให้พ้นจากจตุรโอฆสงสาร เสมือนเช่นสมเด็จพระพิชิตมารเจ้าของบาตรบรมครูแห่งอาตมาขณะนี้

“ อนึ่ง ตั้งแต่กาลบรรพชามา อาตมาก็พยายามรักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์มิให้ด่างพร้อยขาดทำลาย ตั้งใจประพฤติให้บริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี ด้วยเดชะแห่งสัจจะความจริงนี้ ขอให้บาตรทรงแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์เจ้าจงลงมาประดิษฐานอยู่ในหัตถ์ของอาตมา ซึ่งจะเหยียดออกไปโดยพลันในกาลบัดนี้ ”

เมื่อเสร็จจากการตังจิตเป็นสัตยาธิษฐานตามประสาปุถุชนผู้ไร้ฤทธิ์อิทธิปาฏิหาริย์ อชิตะภิกษุหนุ่มผู้ปราศจากอภิญญาฌานสมาบัติ ก็เหยียดหัตถ์ออกไปเบื้องหน้าโดยพลัน บัดนี้ ก็ควรจะเห็นเป็นอัศจรรย์ด้วยว่า บาตรทรงขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ซึ่งเป็นสิ่งปราศจากจิตวิญญาณ ก็มีอาการดุจจะแสดงซึ่งพระสัพพัญญฌาณนิมิต แด่พระอชิตราชบุตรสังฆนวกผู้ซึ่งจะได้ตรัสเป็นพระสัพพญญูเจ้าในอนาคตกาลโดยบันดาลตกลงมาเองคัคนาลัย ประดิษฐานอยู่ในหัตถ์พระอชิตภิกษุเป็นที่ประจักษ์แก่นัยนา มีอาการดุจจะออกวาจาเป็นภาษามนุษย์ให้พระสังฆนวกชินบุตรทราบว่า

“ การที่ข้านี้หลบลี้ซ่อนเร้น ไม่ยอมเข้าไปอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งพระมหาสาวกทั้งหลาย แม่จะทรงคุณยิ่งใหญ่ เช่น พระธรรมเสนาสารีบุตรเป็นต้นนั้น ก็เพราะเหตุว่าข้านี้มิได้เป็นบริขารสาวก ข้านี้เป็นบาตรทรงสำหรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค่าเป็นพุทธบริขารโดยแท้ แต่พระผู้เป็นเจ้านี้สร้างพระบารมีมา มิใช่ว่าเพื่อจะเป็นพระสาวก หรือเพื่อจะเป็นพระปัจเจกโพธิ แท้จริงสร้างพระบารมีมาเพื่อจะได้เป็นสมเด็จพระสัญญูพุทธเจ้าในอนาคตกาลดังนั้น ข้านี้จึงยอมเข้ามาอยู่ในอุ้งหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ ”

ภิกษุใหม่นามว่าอชิตราชบุตรผู้จะได้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรย เมื่อได้รับบาตรสมความปรารถนาแล้วก็มีจิตผ่องแผ้วปีติโสมนัสค่อยประคองบาตรทรงตรงเข้าไปถวายสมเด็จพระจอมไตรโลกนาถเจ้า ยังความมหัศจรรย์ในให้เกิดแก่หมู่ชนในที่เฝ้านั้นเป็นมันมาก ฝ่ายสมเด็จพระมหาปชาบดีได้เห็นเหตุมหัศจรรย์ดังนั้น ก็พลันหมดสิ้นซึ่งความน้อยเนื้อต่ำใจในดวงหฤทัยมีแต่ปีติปราโมทย์

บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและภิกษุหนุ่มสังฆนวกนาวว่าอชิตะเป็นกำลังพลางดำริว่า “ พระสงฆ์สาวกในพระพุทธศาสนานี้ มีพระคุณยิ่งเป็นมหัตจรรย์นักดูเอาเถิด แต่เพียงพระสังฆนวกก็ยังกอบด้วยคุณวิเศษเห็นปานดั่งนี้ ท่านเป็นพระอรหันตมหาเถระที่ทรงอภิญญาวิธีจะมีคุณานุภาพและทรงคุณวิเศษเป็นดังฤๅ”

ยิ่งทรงจิตนาไปพระนางเจ้าก็ยิ่งเกิดพลวศรัทธาอันยิ่งใหญ่จนพระอสุชนัยน์ไหลตกจากพระเนตรอยู่พราก ๆ เมื่อเห็นสมควรที่จะเสด็จออกไปจากที่นั้น จึงยกขึ้นซึ่งพระหัตถ์ประณตนมัสการสมเด็จพระสัพพัญญูแลพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย แล้วพาบริวารเสด็จกลับคืนไปยังพระราชนิเวศน์สถาน



#12 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 October 2007 - 10:00 PM

สาธุ

พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์