ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

เมื่อมีธรรมกายจึงสามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ 100%


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 13 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 อภินิหารธรรม

อภินิหารธรรม
  • Members
  • 170 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 02:15 PM

ต้องมีธรรมกายจึงสามารถประพถติพรมจรรย์ได้ชัวร์ หลวงพ่อทัตตชีโว เทศน์ในมงคลชีวิต 38 ว่าต้องได้ธรรมกายจึงสามารถรักษาพรมจรรย์ได้ 100% ถ้ายังไม่ได้ธรรมกายการประพฤติพรมจรรย์จะยากมาก

ทำไมล่ะค่ะ แล้วคนที่มีธรรมกายแล้วเขาจะอยู่กลับพรมจรรย์ตลอดไปหลังจากได้ธรรมกายแล้วใช้ไหมค่ะ

ถ้าคนเจ้าชู้ได้ธรรมกายแล้วจะยังเจ้าชู้ไหมค่ะ อยากรู้จังค่ะ ช่วยตอบนะค่ะ

ถ้าได้ธรรมกายแล้วธรรมกายจะหายไปไหมค่ะ เหมือนฌานนะค่ะ บางทีฤาษีหาะเหาะอยู่เห็นผู้หญิงโป๊ฌานเสื่อมเลย ตกพื้นทันที ธรรมกายก็คือฌานใช่ไหมค่ะ

#2 *YTTRA*

*YTTRA*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 02:23 PM

*-*

#3 เด็กผู้น้อย

เด็กผู้น้อย
  • Members
  • 436 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 02:29 PM

ต้องทำความเจ้าใจกันก่อนนะครับ
ผู้ได้ที่ธรรมกายคือผู้เข้าถึงธรรมกายโคตรภู (เป็นอย่างน้อย) ก็คือผู้ทรงฌาณเป็นปกติเท่านั้นเอง อยู่ที่ว่าจะนิ่งสนิทแนบแน่นตลอดเวลาเท่านั้นเอง (เฉกเช่นหลวงพ่อ) ฉะนั้นผู้ได้เข้าถึงพระธรรมกาย หากตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ก็สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยมและทำได้ตลอดเพราะมีจิตอยู่ในฌาณ (กิเลสถูกระงับไว้ตามที่ฌาณยังอยู่) แหละใช่ว่าผู้ได้ธรรมกายแล้วจะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ตลอดได้ (ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้นั้น) เฉกเช่น พระโสดาบันในสมัยพุทธกาลยังมีสามีและยังทำหน้าที่ภรรยา (สามีเป็นนายพราน) คอยส่งอาวุธฆ่าสัตว์ให้ แต่ทำเพราะทำตามหน้าที่ไม่ได้มีจิตคิดร้าย
และอีกอย่างที่ฤาษีเห็นผู้หญิงเปลือยกายแล้วฌาณเสื่อม ไม่ใช่ว่าท่านเห็นแล้วเสื่อม การเห็นไม่ทำให้ฌาณเสื่อม
แต่เห็นแล้วจิตเกิดอุปาทานคิดตามจนเกิดกามราคะในใจต่างหากที่ทำให้ฌาณเสื่อม

ผิดพลาดประการใดขออภัยและขอให้ผู้ผู้มาช่วยแก้ไขด้วยนะครับ

#4 อภินิหารธรรม

อภินิหารธรรม
  • Members
  • 170 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 03:11 PM

คุณอ่อนหัด ต้องได้ธรรมกายแล้วแน่แน่เลยค่ะตอบดีจริงจริงและเข้าใจขึ้นค่ะ สาธุ ค่ะ ผู้ให้ธรรมะ เป็นทานย่อมประเสริฐกว่าการให้ทั้งปวงค่ะ สาธุ

#5 crystalkids

crystalkids
  • Members
  • 110 โพสต์
  • Location:1341 ถนนสุขุมวิท แขวงพระโขนงเหนือ กรุงเทพฯ 10110

โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 06:36 PM

ผมก็ได้ธรรมกายแล้วนะครับ เพราะพระธรรมกายมีอยู่ในตัวของพวกเราทุกคน
ให้เธอเพียรทำใจนิ่งสงบ
ไม่คาดหวังได้พบอะไรใหม่
เป็นใจเพียงไม่อยากได้ต่อสิ่งใด
ก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ


#6 ถนัด@สืบสานพุทธ

ถนัด@สืบสานพุทธ
  • Members
  • 107 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 07:32 PM

ตีความหมายของคำว่า พรหมจรรย์ ให้ด้วยครับ ผมไม่แน่ใจในความหมาย ว่าในที่นี่คำว่า พรหรมจรรย์นั้น หมายถึง อยู่เป็นโสดอย่างเดียว แต่ยังละนิวรณ์ กามฉันทะ ไม่ได้ หรือ ละได้แล้ว

เพราะคำว่า พรหมจรรย์ ในตามที่ผมเข้าใจ มันคือ สถานโสด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเพศตรงข้าม ไม่มีคู่ครอง แต่ยังมีกามฉันทะ เป็นปกติ คือ มีความสุขทางเพศด้วยตัวเอง
และการยุ่งเกี่ยวกับเพศเดียวกัน ถือว่า พรหมจรรย์หรือไม่

วานผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วย
ด้วยความเคารพ

                                        หยุดสงสัย และ ตั้งใจปฏิบัติ                                           


#7 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 08:05 PM

ชาวสวนชาวไร่ หลังจากถางป่าเผาหญ้าแล้ว ต้องรีบปลูกพืชผักผลไม้ที่ต้องการลงไป ก่อนที่หญ้าจะกลับระบาดขึ้นใหม่ฉันใด คนเราเมื่อบำเพ็ญตบะทำความเพียรเผากิเลสจนเบาบางลงแล้ว ก็ต้องรีบปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ ลงในใจ ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อยกระดับจิตให้สูงขึ้น ก่อนที่กิเลสจะฟูกลับขึ้นใหม่อีกฉันนั้น"

ประพฤติพรหมจรรย์ คืออะไร ?
การประพฤติพรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติตัวเองอย่างพระพรหมหรือความประพฤติอันประเสริฐ หมายถึงการประพฤติตนตามคุณธรรมต่างๆ ทั้งหมดในศาสนาให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสฟูกลับขึ้นมาอีกจนกระทั่งหมดกิเลสซึ่งต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ตามภูมิชั้นของจิต
ภูมิชั้นของจิต

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า จิตของคนเราอาจแบ่งภูมิชั้นได้เป็น ๔ ระดับ ตามการฝึกฝนตนเอง คือ
๑.กามาวจรภูมิ เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในกามารมณ์ยังยุ่งเกี่ยวกับกามคุณอยู่ ได้แก่ ภูมิจิตของคนสามัญทั่วไป
๒.รูปาวจรภูมิ เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูปารมณ์มีความสุขความพอใจอยู่ในอารมณ์ของรูปฌาน ได้แก่ ภูมิจิตของผู้ที่ฝึกสมาธิมามากจนกระทั่งใช้รูปฌาน เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่สนใจกามารมณ์ อิ่มเอิบในพรหมวิหารธรรม ซึ่งเป็นสุขประณีตกว่า กามารมณ์ เป็นเหมือนพระพรหมบนดิน ละจากโลกนี้ไปก็จะไปเกิดเป็นรูปพรหม
๓.อรูปาวจรภูมิ เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในอรูปารมณ์มีความสุข อยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาน ได้แก่ ภูมิจิตของผู้ที่ทำสมาธิจนกระทั่งได้อรูปฌาน มีความสุขที่ประณีตกว่าอารมณ์ของรูปฌานอีก เมื่อละจากโลนี้ไปก็จะไปเกิดเป็นอรูปพรหม
๔.โลกุตตรภูมิ เป็นชั้นที่พ้นโลกแล้ว ได้แก่ ภูมิจิตของผู้หมดกิเลสแล้ว คือ พระอรหันต์ มีความสุขล้วนๆ ละเอียด ประณีต ลึกซึ้ง
ทั้ง ๔ ภูมินี้ รวมเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ
โลกียภูมิ ได้แก่ ๑.กามาวจรภูมิ
๒.รูปาวจรภูมิ
๓.อรูปาวจรภูมิ
โลกุตตรภูมิ ได้แก่ ๔.โลกุตตรภูมิ

ในชั้นโลกียภูมินั้น ก็มีสุขมีทุกข์คละเคล้ากันไป และมีการยักย้ายถ่ายเทขึ้นลงได้ ผู้ที่อยู่ในอรูปาวจรภูมิถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม ประมาท อาจตกลงมาอยู่ชั้นกามาวจรภูมิก็ได้ ผู้อยู่ชั้นกามาวจรภูมิ ถ้าตั้งใจทำสมาธิอาจเลื่อนไปอยู่รูปาวจรภูมิหรืออรูปาวจรภูมิได้ เลื่อนไปเลื่อนมาได้ไม่แน่นอน
และในชั้นโลกียภูมินี้ ถึงจะมีความสุขก็สุขอย่างโลกีย์ก็ยังมีทุกข์ระคนอยู่ เหมือนอย่างที่เราเจอกัน มีลูกมีครอบครัวก็คิดว่าจะสุข พอมีจริงก็มีเรื่องกลุ้มใจให้ทุกข์จนได้ สุขเหมือนนึกระหว่างหน้าร้อน ก็คิดว่าหน้าฝนจะสุข พอถึงหน้าฝนก็หวังว่าหน้าหนาวจะสบาย เลยไม่ทราบว่าสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน พระท่านเปรียบความสุขทางโลกียภูมินี้ว่าเหมือนพยับแดด เราคงเคยเจอกัน ในหน้าร้อนมองไปบนถนนไกลๆ จพเห็นพยับแดดระยิบระยับ อยู่ในอากาศเต็มไปหมดหรือเห็นเหมือนมีน้ำอยู่บนผิวถนน แต่พอเข้าใกล้ไปดูกลับไม่เห็นมีอะไร สุขทางโลกีย์ก็เหมือนกันหวังไว้แต่ว่าจะเจอสุขแต่พอเจอเข้าจริงกลับกลายเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
ด้วยเหตุนี้จิตของคนที่ตกอยู่ในโลกียภูมิ ทางศาสนาท่านจึงใช้คำว่า “สังสารจิต” แปลว่า จิตวิ่งวุ่น วิ่งสับสนวนไปเวียนมาจะวิ่งไปไหนล่ะ? ก็วิ่งตะครุบสุขนะสิ แต่สุขโลกีย์มันเป็นสุขกลับกลอกหลอกหลอน จิตก็เลยกลับกลอกไปด้วย ประการสำคัญคือ สุขโลกีย์มันหนีได้ พอเราจะทันมันก็หนี เมื่อมันหนี เราก็ตาม แล้วก็ตามไม่ทันสักที
ขอให้ลองสังเกตดูเถอะสุขโลกีย์ที่เป็นยอดสุขนั้นไม่มี เป็นร้อยตรีก็คิดว่าเป็นร้อยโทคงจะสุข พอเป็นร้อยโทก็คิดว่าเป็นร้อยเอกคงสุขไล่ตามขึ้นไปร้อยเอกก็ว่าพันตรี พันตรีก็ว่าพันโท จนเป็นนายพลก็ยังคิดว่ามีสุขข้างหน้าที่ดีกว่าของตน
เชิญวิ่งตามตะครุบสุขไปเถอะ จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติ วิ่งตามตะครุบไปได้สุขโลกีย์มานิดหน่อย แต่คว้าติดทุกข์มาทุกที บวกลบกลบหนี้ดูแล้วทุกข์มากกว่าสุขและที่สำคัญจิตที่วิ่งวุ่นสับสน มีโอกาสพลาดพลั้งได้ง่ายเหมือนคนวิ่งวุ่นสับสนนั้นแหละมีหวังหกล้มตกหลุมตกบ่อเข้าจนได้ จิตก็เหมือนกันวิ่งไล่จับความสุขหัวซุกหัวซุน คนที่ระวังไม่ดีหกล้มเข้าคุกเข้าตะรางก็เยอะ ถลำลงนรกอเวจีก็มาก

อุปมาความสุขในโลกียภูมิทั้ง ๓ ขั้นได้ดังนี้
กามาวจรภูมิ เป็นสุขขั้นต่ำ ยังยุ่งเกี่ยวกับกาม สุขเหมือนเด็กเล่นขี้เล่นดิน
รูปาวจรภูมิ เป็นสุขที่สูงขึ้นมาหน่อย สุขเหมือนคนมีงานมีการที่ถูกใจทำ เพลิดเพลินไป
อรูปาวจรภูมิ เป็นสุขที่สูงขึ้นมาอีก สุขเหมือนพ่อ แม่ ครู อาจารย์ ที่เห็นลูกซึ่งตนเลี้ยงดู อบรมมา มีความเจริญก้าวหน้า หรือเห็นงานการที่ตนทำสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ชื่นชมผลงานของตน
ในศาสนาอื่นๆ นอกเหนือจากพระพุทธศานา อย่างสูงที่สุดก็สอนให้คนเราพัฒนาจิตได้ถึงขั้นอรูปารมณ์เท่านั้น เช่น ศาสนาพราหมณ์ ก็สอนให้คนมุ่งเป็นพระพรหม ยังวนเวียนอยู่ในโลกียภูมิขึ้นๆ ลงๆ
แต่พุทธศาสนาเรา สอนให้คนมุ่งหน้าสู่โลกุตตรภูมิ เข้าพระนิพพาน

ความมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์
ความมุ่งหมายสุดยอดของการประพฤติพรหมจรรย์ในพุทธศาสนา คือ ให้ตัดโลกียวิสัย ตัดเยื่อใยทุกๆ อย่าง เพื่อมุ่งหน้าสู่โลกุตตรภูมิและอย่างแรกที่ต้องทำก่อน คือ ตัดกามารมณ์ แล้วจึงตัดรูปารมณ์ อรูปารมณ์ไปตามลำดับ
สำหรับพวกเราปุถุชนทั่วๆ ไป สิ่งสำคัญที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ไม่ให้ก้าวหน้าในการพัฒนาจิต และทำให้กิเลสฟูกลับขึ้นได้ง่ายที่สุดก็คือกามารมณ์ ถ้าใครตัดกามารมณ์ได้ก็มีโอกาสก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้อย่างรวดเร็ว การประพฤติพรหมจรรย์ในมงคลข้อนี้ จึงมุ่งเน้นการตัดกามารมณ์เป็นหลัก
เราลองมาดูถึงอุปมาโทษของกามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้

อุปมาโทษของกาม
๑.กามเปรียบเหมือนสุนัขหิวแทะท่อนกระดูกเปื้อนเลือด ยิ่งแทะยิ่งเหนื่อย ยิ่งหิว อร่อยก็ไม่เต็มอยาก ไม่เต็มอิ่มพลาดท่าแทะพลาดไปถึงฟันหักได้ พวกเราก็เหมือนกกันที่หลงว่ามีคู่รักแล้ว แต่งงานแล้วจะมีสุข พอมีเข้าจริงไม่เห็นจะสุขจริงสักราย ต้องมีเรื่องขัดใจให้ตะบึงตะบอนกัน ให้กลุ้มใจให้ห่วงกังวล ทั้งห่วง ทั้งหวง ทั้งหึง ไม่เว้นแต่ละวันที่หนักข้อถึงกับไปกระโดดน้ำตาย หรือผูกคอตายเสียก็มากต่อมาก พอจะมีสุขบ้างก็ประเดี๋ยวประด๋าว พอให้มันๆ เค็มๆ เหมือนสุนัขแทะกระดูก
๒.กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา แร้ง กา หรือเหยี่ยวตัวอื่นก็จะเข้ารุมจิกแย่งเอา คือไม่เป็นของสิทธิ์ขาดแต่ตัว ผู้อื่นแย่งชิงได้ คนทั้งหลายต่างก็ต้องการหมายปองเอา จึงอาจต้องเข่นฆ่ากันเป็นทุกข์แสนสาหัส เราลองสังเกตดูก็แล้วกัน ที่มีข่าวกันอยู่บ่อยๆ ทั้งฆ่ากัน ชิงรักหักสวาทน่ะ หรือรอบๆ ตัวมีบ้างไหม ที่กว่าจะได้แต่งงานกันก็ฝ่าดงมือฝ่าดงเท้าเสียแทบตาย ถูกตีหัวเสียก็หลายที พอแต่งแล้วก็ยังไม่แน่เดี๋ยวใครมาแย่งไปอีกแล้ว ยิ่งสวยเท่าไรยิ่งหล่อเท่าไร ยิ่งอันตราย
๓.กามเปรียบเหมือนคนถือคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าลุกโพลงเดินทวนลมไป ไม่ช้าก็ต้องทิ้ง มิฉะนั้นก็โดนไหม้มือระหว่างเดินก็ถูกควันไฟรมหน้าต้องทนทุกข์ทรมานย่ำแย่คนเราที่ตกอยู่ในกามก็เหมือนกันต้องทนรับทุกข์จากกามทำงานงกๆ หาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ต้องกลุ้มอกกลุ้มใจลูกจะเรียนที่ไหนดี จะเกเรหรือเปล่า เมียจะนอกใจไหมเดี๋ยวก็มีเรื่องขัดใจกัน เสร็จแล้วก็ไม่ใช่จะได้อยู่ด้วยกันได้ตลอด เดี๋ยวอ้าว! รถชนตายเสียแล้ว อ้าวเป็นมะเร็งตายเสียแล้ว หรือเผลอประเดี๋ยวเดียวก็ต้องแก่ตายกันเสียแล้วไม่ได้อยู่กันไปได้ตลอดหรอก เหมือนคบเพลิงหญ้าถือได้ไม่นานก็ต้องทิ้ง
๔.กามเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันร้อนแรง ผู้ที่รักชีวิตทั้งๆ ที่รู้ว่าหากตกลงไปแล้ว ถึงไม่ตายก็สาหัสแต่ก็แปลกเหมือนมีอะไรมาพรางตาไว้ เหมือนมีแรงลึกลับมาคอยฉุดให้ลงหลุมอยู่ร่ำไป พระท่านสอนที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ก็เชื่อท่านหรอก แต่พอออกนอกวัดเจอสาวๆ สวยๆ หนุ่มรูปหล่อเข้า ลืมเสียแล้ว เวลาจะแต่งงานก็คิดถึงแต่ความสวยความหล่อ ความถูกใจหาได้มองเห็นไปถึงความทุกข์อันจะเกิดจากกามเกิดจากชีวิตการครองเรือนไม่
๕.กามเปรียบเหมือนความฝัน เห็นทุกอย่างเฉิดฉายอำไพ แต่ไม่นานก็ผ่านไป พอตื่นขึ้นก็ไม่เห็นมีอะไร เหลือไว้แต่ความเสียดาย คนเราที่จมอยู่ในกามก็เหมือนกัน แรกๆ ก็คุยกันกะหนุงกะหนิง น้องจ๊ะน้องจ๋าอยู่กันไม่นานพูดคำด่าคำเสียแล้ว งานก็มากขึ้นเป็น ๒-๓ เท่าไม่เห็นสุขเหมือนที่คิดฝันไว้ กามเหมือนความฝัน พวกเราจะเป็นคนเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ หรือจะเป็นคนยืนอยู่บนความจริง ตั้งใจฝึกฝนตนเองปฏิบัติธรรมกันล่ะ
๖.กามเปรียบเหมือนสมบัติที่ยืมเขามา เอาออกแสดงก็ดูโก้เก๋ดี ใครเห็นก็ชม แต่ก็ครอบครองไว้อย่างไม่มั่นใจ ได้เพียงชั่วคราวไม่เป็นสิทธิ์เด็ดขาด เจ้าของตามมาพบเมื่อไรก็เอาคืนเมื่อนั้น ตัวเองก็ได้แต่ละห้อยหา พวกเราก็เหมือนกันไปได้แฟนสวยแฟนหล่อมาก็ภูมิใจไปไหนๆ ใครๆ ก็ทักว่าคู่นี้สมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก ยืดเสียอกตั้งทีเดียว เผลอประเดี๋ยวเดียว อ้าวผู้หญิงกลายเป็นยายแร้งทึ้งไปเสียแล้ว ผู้ชายไหงหัวล้านพุงพลุ้ยเสียแล้ว นี่ความหล่อความสวยมันถูกธรรมชาติถูกเวลาทวงกลับเสียแล้ว พวกเราจะไปหลงโง่งมงายอยู่กับของขอยืมของชั่วคราวแบบนี้หรือเปล่า
๗.กามเปรียบเหมือนต้นไม้มีผลดกอยู่ในป่า ใครผ่านมาเมื่อเขาอยากได้ผล จะด้วยวิธีไหนเอาทั้งนั้น ปีนได้ก็ปีน ปีนไม่ได้ก็สอย บางคนก็โค่นเลย ใครอยู่บนต้นลงไม่ทันก็ถูกทับตาย เบาะๆ ก็แข้งขาหัก พวกเราก็เหมือนกันบางคนคงเคยเจอมาแล้ว เที่ยวไปจีบคนโน้นคนนี้ ยังไม่ทันได้มาเลยถูกเตะต่อยมาบ้าง ถูกตีหัวมาบ้าง ได้แต่บ่นรู้อย่างนี้ นอนอยู่บ้านดีกว่า นี่เหมือนผลไม้ในป่า ยิ่งดกยิ่งสวย แล้วก็ระวังเถอะจะเจ็บตัว
๘.กามเปรียบเหมือนเขียงสับเนื้อ ใครไปยุ่งเกี่ยวก็เหมือนกับเอาชีวิตให้ถูกสับ เพราะกามเป็นที่รองรับทุกข์ทั้งหลาย ทั้งกายและใจ เหมือนเขียงเป็นที่รองรับคมมีดที่สับเนื้อจนเป็นรอยแผลนับไม่ถ้วน
๙.กามเปรียบเหมือนหอกและหลาว ทำให้เกิดทุกข์ทิ่มแทงหัวใจเกิดความเจ็บปวดรวดร้าวมาก ใครไปพัวพันในกามแล้ว ที่จะไม่เกิดความเจ็บช้ำน้ำใจนั้นเป็นไม่มีเหมือนหอกหลาวที่เสียดแทงร่างกายให้เกิดทุกขเวทนาอย่างนั้น
๑๐.กามเปรียบเหมือนหัวงูพิษ เพราะกามประกอบด้วยภัยมากต้องมีความหวาดระแวงต่อกันอยู่เนืองๆ ไม่อาจปลงใจได้สนิท วางจิตให้โปร่งไม่ได้ เป็นที่หวาดเสียวมาก อาจฉกให้ถึงตายได้ทุกเมื่อเหมือนหัวงูพิษ
ทั้งหมดนี้ คือ อุปมาโทษของกามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ความจริงแล้วยังมีอีกมาก นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น เมื่อเราเห็นกันแล้วว่ากามมีโทษมากมายถึงปานนี้ เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่มีแฟน ยังไม่ได้แต่งงานรีบฝึกสมาธิเข้ามากๆ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เมื่อไรใจเราสงบ ความสว่างภายในบังเกิดขึ้น เราก็มีสุขที่เหนือกว่ากามสุขอยู่แล้ว ความคิดที่จะมีคู่ก็หมดไปเอง ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็ไม่ถึงกับต้องหย่ากันหรอกนะเอาเพียงแค่ อย่าไปมีเมียน้อย อย่าไปมีใหม่ อย่าไปหาอะไหล่มาเสริมก็แล้วกัน แล้วก็หาเวลารักษาศีล๘เสียบ้างด้วย เราลองมาดูวิธีประพฤติพรหมจรรย์กัน

วิธีประพฤติพรหมจรรย์
พรหมจรรย์ชั้นต้น สำหรับผู้ครองเรือน ก็ให้พอใจเฉพาะคู่ครองของตนเท่านั้น รักษาศีล ๕ ไม่นอกใจภรรยา-สามี
พรหมจรรย์ชั้นกลาง สำหรับผู้ครองเรือน คือนอกจากรักษาศีล ๕ แล้ว ก็ให้รักษาศีล ๘ เป็นคราวๆ ไปและฝึกให้มีพรหมวิหาร ๔
พรหมจรรย์ชั้นสูง สำหรับผู้ไม่ครองเรือน ถ้าเป็นฆราวาสก็รักษาศีลอย่างน้อย ศีล ๘ ตลอดชีวิต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศเลย หรือถ้าเป็นชายก็ออกบวชเป็นพระภิกษุ และปฏิบัติธรรมทุกข้อในศาสนาให้เต็มที่
พรหมจรรย์ทุกขั้นจะตั้งมั่นอยู่ได้ ต้องอาศัยการฝึกสมาธิเป็นหลัก

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการบวช
เราชาวพุทธนิยมบรรพชาอุปสมบทกันเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี จัดเป็นการฝึกประพฤติพรหมจรรย์ที่ได้ผลดียิ่งวิธีหนึ่ง จึงควรที่พวกเราจะได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับการบวชไว้บ้าง ดังนี้
๑.อายุขณะบวช พวกเราถ้ามีเวลาควรหาโอกาสบรรพชาเป็นสามเณรกันสักช่วงหนึ่งระหว่างอายุ ๑๕-๒๐ ปี เพราะช่วงนี้ภาระยังน้อย ยังไม่ค่อยมีกังวลจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเร็วหรือไม่เช่นนั้นก็ควรหาเวลาที่เหมาะสมในการบวชพระเมื่อายุ ๒๐-๒๕ ปี หรือเวลาอื่นที่สะดวก แต่ไม่ควรรอจนอายุมากเกินไป เพราะสังขารจะไม่อำนวย จะลุกจะนั่งจะฝึกสมาธิก็ไม่สะดวก ยิ่งกว่านั้นเมื่อมีอายุมากแล้วมักจะมีทิฐิว่ายากสอนยาก เหมือนไม้แก่ดัดยาก
๒.ระยะเวลาที่บวช อาจบวชในช่วงเข้าพรรษา ๓ เดือน หรือบวชภาคฤดูร้อน ๑-๒ เดือน บวชในเวลาที่สะดวกลางานได้หรือบวชตลอดชีวิตก็ได้ แต่ควรบวชนานกว่า ๑ เดือนจะได้มีเวลาศึกษาธรรมวินัยพอสมควร
๓.การเลือกสำนักบวช ข้อนี้สำคัญมาก การบวชจะได้ผลแค่ไหนขึ้นอยู่กับสำนักบวชนี่เอง การเลือกจงเลือกสำนักที่มีการกวดขันการประพฤติธรรมและกวดขันพระวินัย สำนักที่ดี พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะมีการอบรมสั่งสอนพระใหม่อย่างใกล้ชิด มีการให้โอวาทเคี่ยวเข็ญให้ปฏิบัติธรรมจนน่ารำคาญ อย่างนี้ดี ส่วนสำนักไหนปล่อยปละละเลย บวชแล้วไม่มีใครสนใจปล่อยให้อยู่ตามสบาย บางทีตั้งแต่บวชจนสึกพระใหม่ไม่ได้สนทนาธรรมกับพระอุปัชฌาย์อาจารย์เลย อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ป่วยการบวช ที่เราบวชก็มุ่งจะฝากตัวให้ท่านอบรม ให้ท่านไม่เอาใจใส่เราจะบวชทำไม กุศลไม่ใช่อยู่ที่ผ้าเหลืองเท่านั้น
๔.การรักษาวินัย ต้องคิดไว้เสมอว่า เราจะเป็นพระได้เพราะวินัยถ้าถอดวินัยออกจากตัวเสียแล้วแม้จะโกนผมนุ่งผ้าเหลืองก็ไม่ใช่พระนอกจากจะไม่ใช่พระแล้วชาวพุทธยังถือว่าผู้นั้นเป็นโจรปล้นศาสนาอีกด้วย เพราะฉะนั้นต้องศึกษาพระวินัยและรักษาโดยเคร่งครัด ไม่อย่างนั้น สึกออกมาแล้วจะมาเสียใจจนตายว่าบวชเสียผ้าเหลืองเปล่าๆ
๕.การปฏิบัติธรรม ควรใช้เวลาทั้งหมดในการศึกษาธรรมวินัยและทำสมาธิ ศึกษาธรรมะ งดคุยเฮฮาไร้สาระ
๖.การสงเคราะห์สังคม พระบวช ๓ เดือน ควรถือประโยชน์ตนเป็นใหญ่ การช่วยเหลืองานหมู่คณะให้ทำแต่พอควร เรามีเวลาน้อยต้องรีบศึกษาและปฏิบัติธรรมการช่วยเหลือส่วนรวมไว้สึกแล้วมาช่วยก็ยังได้ ถ้าจะสงเคราะห์ญาติโยม ยังไม่ต้องไปเทศน์โปรดเพราะความรู้ธรรมะก็ยังไม่มากพอ เอาเพียงแต่ตั้งใจปฏิบัติตัวให้ดี บิณฑบาตก็ให้เป็นระเบียบ จะเดินจะเหิน มีกิริยาสำรวมเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา ให้ญาติโยมเขาได้เห็นเป็นตัวอย่างในการมีวินัย และความสำรวมตนก็พอ

อานิสงส์การประพฤติพรหมจรรย์
๑.ทำให้ปลอดโปร่งใจ ไม่ต้องกังวลหรือระแวง
๒.ทำให้เป็นอิสระ เหมือนนกน้อยในอากาศ
๓.ทำให้มีเวลามากในการทำความดี
๔.ทำให้เป็นที่สรรเสริญของบัณฑิตทั้งหลาย
๕.ทำให้ ศีล สมาธิ ปัญญา เจริญรุดหน้าไม่ถอยกลับ
๖.ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่าย “

กามทั้งหลายมีโทษมาก มีทุกข์มาก มีความพอใจน้อย เป็นบ่อเกิดแห่งความทะเลาะวิวาทกัน ความชั่วเป็นอันมากเกิดขึ้นเพราะกามเป็นเหตุ.


จุดมุ่งหมายของพรหมจรรย์

ปัญหา จุดมุ่งหมายสำคัญในการประพฤติพรหมจรรย์คืออะไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกปริพพาชกอัญญเดียรถีย์ พึงถามพวกเธออย่างนี้ว่า พวกท่านอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อประสงค์อะไร.... พวกเธอพึงตอบพวกเขาอย่างนี้ว่า พากเราอยู่เพื่อประพฤติพรหมจรรย์กำหนดรู้ทุกข์ ถ้าพวกเขาถามอย่างนี้ว่า ทุกข์ที่ท่านทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกำหนดรู้นั้นคืออะไร.... พวกเธอพึงตอบพวกเขาอย่างนี้ว่า
ทุกข์ คือ ตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ...
ทุกข์ คือ ดีใจ รูป... เสียง... กลิ่น... รส... โผฏฐัพพะ... ธรรมารมณ์....
ทุกข์ คือ จักขุวิญญาณ... โสตวิญญาณ... ฆานวิญญาณ.... ชิวหาวิญญาณ... กายวิญญาณ... มโนวิญญาณ...
ทุกข์ คือ จักขุสัมผัส... โสตสัมผัส...ฆานสัมผัส... ชิวหาสัมผัส... กายสัมผัส... มโนสัมผัส...
ทุกข์ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะผัสสะเหล่านี้เป็นปัจจัย”

ติตถิยสูตร สฬา. สํ. (๒๓๘)
ตบ. ๑๘ : ๑๗๒-๑๗๓ ตท. ๑๘ : ๑๕๕
ตอ. K.S. ๔ : ๗๘

ไฟล์แนบ


พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#8 tor

tor
  • Members
  • 356 โพสต์
  • Location:BKK
  • Interests:meditation

โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 08:26 PM

ผมว่าต้องแบ่งเป็นเรื่องๆ
เรามีธรรมกายอยู่ภายในแล้วทุกๆ คนไม่ว่าคนดี โจร คนพิการ คนบ้า ฯลฯ
เรื่องที่ว่า น่าจะหมายถึงการเป็น...ธรรมกายมากกว่า เพราะการเป็นติดนิ่งสนิทย่อมเป็นผลจากเหตุ เหตุที่ใจนิ่งสนิท ได้เป็นผลที่เป็นธรรมกาย เมื่อใจนิ่งสนิทก็น่าจะรักษาพรหมจรรย์ได้ ไม่ว่าจะครองเรือนหรือเป็นโสดอยู่ก็สามารถรักษาพรหมจรรย์ได้ครับ มหาอุบาสิกาวิสาขาก็เป็นธรรมกายโสดาบัน ลูกเต็มบ้านหลายเต็มเมือง ท่านรักษาพรหมจรรย์ได้ คือ มีผัวเดียวเมียเดียว

อัตตาหิ อัตตโนนาโถ = กายเป็นที่พึ่งแห่งกาย

#9 ถนัด@สืบสานพุทธ

ถนัด@สืบสานพุทธ
  • Members
  • 107 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 10:04 PM

ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อสงสัย

                                        หยุดสงสัย และ ตั้งใจปฏิบัติ                                           


#10 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 January 2008 - 07:04 AM

Sa Thu

#11 อภินิหารธรรม

อภินิหารธรรม
  • Members
  • 170 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 January 2008 - 11:24 AM

คุณวัดในดวงใจต้องเป็นพระแน่เลยค่ะ เทศน์เก่งจังดีด้วย สาธุค่ะ

#12 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 January 2008 - 10:55 AM

ผัวเดียวเมียเดียว = ศีล๕
พรหมจรรย์ = ศีล๘

#13 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 January 2008 - 08:45 PM

คุณวัดในดวงใจ
ตอบได้สุดยอดจริงๆ
ได้ความรู้เยอะเลย
ขอบคุณมากค่ะ.. สาธุ
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#14 ตะกร้าอีกใบ

ตะกร้าอีกใบ
  • Members
  • 1297 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 September 2009 - 01:49 AM

สาธุครับ
อย่าขาดการปฏิบัติธรรมแม้แต่เพียงวันเดียว
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง

7 ส.ค. 48