ศีลข้อที่5 (มีข้อสงสัยครับ)
#1
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 09:29 PM
หากผิดหรือแล้วจะมีกรรมใดที่ติดตัวไป - แล้วการดื่มเหล้าหรือไวท์(ที่ทำจากผลไม้)
จะมีกรรมไหมครับ ถ้าหากท่านผู้เปิดอ่านทราบหรือมีดวงตาเห็นธรรม
อยากไห้ช่วยตอบให้ทีครับ
#2
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 10:53 PM
#3
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 11:27 PM
จะได้ความรู้และคำตอบ ที่ต้องการได้พอสมควรครับ
ยกตัวอย่าง
สิกขาบทที่ ๕
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
แปลว่า ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
ความหมายของ "สุรา และ เมรัย"
น้ำเมาที่เป็นของหมักดอง เช่น กระแช่ น้ำตาลเมาต่าง ๆ ชื่อว่า"เมรัย",
เมรัยนั้นที่เขากลั่นอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้รสเข้มข้นขึ้น เช่น เหล้าชนิดต่าง ๆ ชื่อว่า "สุรา"
ในสิกขาบทนี้ คำว่า"สุราและเมรัย"
หมายเอา สุรา ๕ อย่าง และ เมรัย ๕ อย่าง
สุรา ๕ อย่าง ได้แก่
๑.ปิฏฐสุรา สุราทำด้วยแป้ง
๒.ปูวสุรา สุราทำด้วยขนม
๓.โอทนสุรา สุราทำด้วยข้าวสุก
๔.กิณณะปกะขิตตา สุราที่หมักเชื้อ
๕.สัมภาระสังยุตตา สุราที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ
เมรัย ๕ อย่าง ได้แก่
๑.ปุปผาสโว น้ำดองดอกไม้
๒.ผลาสโว น้ำดองผลไม้
๓.มธวาสโว น้ำดองน้ำผึ้งหรือน้ำดองน้ำหวาน
๔.คุฬาสโว น้ำดองน้ำอ้อย
๕.สัมภาระสังยุตโต น้ำดองที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ
สิกขาบทนี้ เป็นสาหัตถิกประโยคเพราะดื่มหรือเสพด้วยตนเองเท่านั้น ไม่เป็นอาณัติกประโยค
เพราะใช้ให้ผู้อื่นดื่มหรือเสพ
สิ่งมึนเมาที่อนุโลมเข้ากับสุราและเมรัย
การสูบ ฉีด หรือเสพ ยาเสพติดให้โทษ เช่น กัญชา เฮโรอีน มอร์ฟีน ฝิ่น ทินเนอร์ ฯลฯ
เข้าไปในร่างกาย ซึ่งไม่ใมช่การดื่มกินเข้าไปเหมือนสุราและเมรัย
ก็จัดว่าผิดศีลข้อที่ ๕ เหมือนกัน
เพราะสิ่งเสพติดเหล่านี้ แม้จะไม่ได้ดิ่มกินทางปากก็ตามที แต่ก็สำเร็จเป็นการทำให้มีนเมา ทำให้ไม่สามารถควบคุมสติและควบคุมตนเองได้ เช่นเดียวกับหารดิ่มกินสุราเมรัย
ซ้ำยังมีโทษร้ายแรงยิ่งกว่าสุราเมรัยเสียอีก
ยาเสพติด เช่น กัญชา เฮโรอีน มอร์ฟีน ฝิ่น ทินเนอร์ เป็นต้นนั้น
ถึงแม้ว่าไม่มีในครั้งพุทธกาล และพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้ามไว้ก็ตามที แต่ก็อนุโลมเข้ากันได้กับสุราเมรัยและของมึนเมาอย่างอื่นอีก
เพราะอาศัยหลักฐานคือ มหาปเทส ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เป็นหลัก เพราะฉะนั้นยาเสพติดทุกชนิดที่อนุโลมเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร
จึงทำให้ผู้ที่สูบ เสพ หรือ ฉีด สิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิดผิดศีลข้อที่ ๕ ด้วย
มหาปเทสนั้นมี ๔ ประการ ได้แก่.-
๑. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งไม่ควร(อกัปปิยะ) ขัดต่อสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร
๒. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร(กัปปิยะ) ขัดต่อสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร
๓. สิ่งใดที่ไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งที่ไม่ควร(อกัปปิยะ) ขัดต่อสิ่งที่ควร(กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร.
๔.สิ่งใดที่ไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากับสิ่งที่ควร(กัปิยะ)ขัดกันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) สิ่งนั้นควร
สุรา และ เมรัย และสิ่งเสพติดให้โทษทั้งหมดนั้น
ย่อมทำให้ผู้ที่ดื่มมึนเมาเสียสติ เป็นบ่อเกิดแห่งความประมาท เลินเล่อเผลอสติ ขาดความยั้งคิด ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำทุกอย่างได้ทั้งหมด ไม่มีความละอาย
และเป็นเหตุให้ทำความชั่วอย่างอื่นได้อีกมากมาย สร้างความปั่นป่วนให้สังคม
การดื่มสุราเมรัย และหรือเสพยาเสพติดให้โทษ เป็นอบายมุข เป็นหนทางแห่งหายนะ
ฉะนั้นน้ำเมาคือสุราเมรัยจึงได้ชื่อว่า "เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท"
ผู้ที่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่ ๕ สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานนา คือ
ผู้ดื่มสุราเมรัย ย่อมได้รับกรรมวิบาก ๕ สถาน ได้แก่.-
๑.ย่อมเกิดในนรก
๒.ย่อมเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน
๓. ย่อมเกิดในเปตวิสัย
๔.ย่อมเป็นผู้มีสติไม่สมประกอบ
๕.โทษเบาที่สุด หากเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นบ้า
อนึ่ง โทษแห่งการดื่มสุราเมรัยและเสพสิ่งเสพติดให้โทษ
ซึ่งผู้ประพฤติย่อมได้รับโทษในปัจจุบัน ๖ อย่าง คือ
๑.เสียทรัพย์
๒.ก่อการทะเลาะวิวาท
๓.เกิดโรค
๔.ถูกติเตียน
๕.เป็นผู้ไม่มียางอาย
๖.ทอนกำลังสติปัญญา
"มหานรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้เหลือประมาณ"
สัตว์ในขุมนี้ต้องเข้าไปยืนในดอกบัวเหล็ก ที่คมกริบ
มิหนำซ้ำยังร้อนแรงด้วยไฟนรกอีกด้วย เผาไหม้สัตว์ตั้งแต่เท้าจนถึงศีรษะ
เปลวไฟเข้าไปในทวารทั้ง ๙ จะตายก็ไม่ตาย
เกณฑ์เฉลี่ยอายุของสัตว์นรกในมหานรกขุมนี้ มีประมาณ ๘,ooo ปีนรก
1 วันนรก = 9,216 ล้านปีมนุษย์
เท่ากับว่าต้องไปอยู่ในนรกขุมนี้ 73,728,000 ล้านปีมนุษย์
ตัวอย่าง animation นรกขุมที่ ๕ มหาโรรุวนรก
เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบดื่มสุรา หรือเสพสิ่งมึนเมา ยาเสพติด
ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 5 ชื่อว่า มหาโรรุวนรก
http://www.dmc.tv/pa...de/page07.html#
ไฟล์แนบ
#4
โพสต์เมื่อ 12 January 2008 - 08:37 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#5
โพสต์เมื่อ 12 January 2008 - 10:19 AM
#6
โพสต์เมื่อ 12 January 2008 - 01:19 PM
ระบบการดูดซึมเรามี 3 ขั้น คือ ลิ้น กระเพาะ ลำไส้เล็ก
ดังนั้นการกลั้วในปาก ก็ถือว่า เป็นการดื่มเหล้าเข้าไปแล้วครับ
ลองสังเกตุเวลาที่ท่านเอานิ้วแช่น้ำนานๆสิครับ นิ้วท่านย่นใหม แสดงว่าแม้แต่ผิวหนังของเรายังมีการดูดซึมได้
ส่วนการคิดว่าจะดื่มเหล้า แต่ไม่ลงมือปฎิบัติ ถือว่าไม่เกิดบาปกรรม หรือผิดศีลข้อ5นะครับ
ลองเทียบกันดู ถ้าพระท่าน เกิดมีกิเลสนี้เข้ามาโจมตี ดังนั้นคือท่านได้คิดเรื่องกามรมณ์แล้ว แต่ท่านก็พิจารณาฆ่าทิ้งมันเสีย
ถามว่า ท่านคิดแต่ไม่ได้ทำออกมา ท่านอาบัติผิดศีลข้อ3 หรือไม่ คำตอบคือไม่ครับ .
.. เพราะท่านยังไม่ใช่อรหันต์ จิตกิเลสพวกนี้มันเข้ามาให้พิจารณาอยู่เสมอ ...คิดได้แต่อย่าทำ ไม่บาปครับ
#7
โพสต์เมื่อ 12 January 2008 - 02:01 PM
#8
โพสต์เมื่อ 12 January 2008 - 02:52 PM
#9
โพสต์เมื่อ 12 January 2008 - 07:07 PM
ถ้ามือจับ เพื่อไปเททิ้งล่ะก็ ศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ครับ
แตถ้ามือจับ เพื่อคิดจะกิน แต่ลองหลังเปลี่ยนไป เอามือออกโดยไม่กินล่ะก็ ศีลด่างพร้อย ครับ ยังไม่ขาด
#10
โพสต์เมื่อ 12 January 2008 - 08:18 PM
1.มีจิตคิดจะดื่มเหล้า 2. รู้ว่าเป็นเหล้า - ไม้รู้ไม่ขาดแต่ว่าหมอง 3. ลงมือดื่มเหล้าหรือคนอื่นยกให้ดื่ม 4. เหล้าได้ไหลล่วงพ้นลำคอไปแล้ว
#11
โพสต์เมื่อ 14 January 2008 - 08:30 AM
#12
โพสต์เมื่อ 14 January 2008 - 02:14 PM
ปิดสวรรค์ เปิดนรก -*-
#13
โพสต์เมื่อ 14 January 2008 - 10:10 PM
ขอบคุณครับ
#14
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 12:22 PM
ตอบ ถ้าก่อนตายใจไม่ได้เศร้าหมองเพราะนึกถึงการดื่มนี้ ก็ไม่ต้องลงนรกครับ แต่ถ้าก่อนตายใจเศร้าหมอง เพราะนึกถึงบาปนี้ ก็ต้องไปอบายครับ
ในอดีต มีพระภิกษุรูปหนึ่งตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม แต่มีครั้งหนึ่ง ท่านนั่งเรือ แล้วเผลอเอามือไปวักสาหร่ายขึ้นมา ซึ่งตอนนั้น มีพระวินัยข้อหนึ่งที่ว่า ห้ามพระภิกษุทำลายต้นไม้ของชาวบ้าน ซึ่งสิ่งที่พระท่านทำนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย เพราะสาหร่ายแท้จริงแล้วก็เกิดตามธรรมชาติ ไม่ใช่ของใคร และถ้าเทียบการวักสาหร่ายขึ้นมา กับการไปทำลายต้นไม้นั้น การวักสาหร่ายช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน
แต่ปรากฏว่า พระรูปนั้น ไม่สบายใจ ว่าท่านศีลไม่บริสุทธิ์ นึกเช่นนี้บ่อยๆ กระทั่งละโลก ก็ได้ไปเกิดเป็นพญานาคครับ แทนที่จะได้ไปสวรรค์ที่สูงไปกว่านี้ เพราะความไม่สบายใจของท่านนั่นแหละครับ
คนที่ถูกฉีดมอร์ฟีนเข้าไป เขาไม่ได้เต็มใจที่จะฉีดมอร์ฟัน ดังนั้น ไม่ถือว่าผิดศีลครับ เพราะไม่ครบองค์ประกอบของการผิดศีล คือ มีเจตนาจะเสพสิ่งเสพติด
#15
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 02:01 PM
ถามว่า
1. หากมีคนหนึ่งชอบการเล่นแบบนี้บ่อยๆ คือเข้าไปเสพสุขไฮโดรเจนซึ่งเป็นสารประกอบที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดเลย จะผิดศีลข้อ 5 มั้ย
2. หากก่อนตายคนๆ นี้ที่ชอบเสพไฮโดรเจนบ่อยๆ ไม่มีจิตใจหม่นหมองเลย แต่คิดและยิ้มและระลึกก่อนสิ้นใจภายในใจว่า "ถ้าได้เสพอีกสักครั้งคงเป็นความสุขที่เปี่ยมล้นเป็นแน่" และก็มีความสุขและหมดลมหายใจ แบบนี้ไปอบายมั้ยครับ
ขอบคุณครับ
#16
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 06:13 PM
ความจริงอย่าว่าแต่ ชอบเสพสุขกับไฮโดรเจน ในยุคใหม่นี่เลยครับ แม้แต่การติดการพนัน(ซึ่งก็ไม่ใช่สารเสพติด) ติดการเที่ยวกลางคืน(ซึ่งก็ไม่ใช่สารเสพติด) หรือ ติดการเที่ยวดูการละเล่น(ซึ่งก็ไม่ใช่สารเสพติดอีกเช่นกัน) ยังไปอบายได้เลยครับ เพราะสิ่งเหล่านี้ ท่านเรียกว่า อบายมุข หรือ ปากทางสู่อบาย นั่นเองครับ
ทีนี้มาว่ากันถึงคำถามดีกว่า องค์ประกอบของการผิดศีลนั้น ต้องครบ 4 ข้อครับ คือ
1. สิ่งนี้เป็นสิ่งเสพติด
2. มีจิตคิดจะเสพ
3. ลงมือเสพ
4. เสพได้สำเร็จ
จากข้อนี้จะเห็นว่า องค์ประกอบข้อ 2,3,4 ของเขาครบแล้ว เหลือแต่ข้อ 1 เท่านั้น ว่าสารประกอบไฮโดรเจนใช่สารเสพติดหรือไม่ ก็ต้องย้อนถามไปแหละครับว่า แล้ว กัญญา เฮโรฮีน มอร์ฟีน ซึ่งในสมัยพุทธกาลยังไม่มีนั้น คุณนับสารเหล่านี้เป็นสารเสพติดเหมือนสุราหรือไม่ ทำไมจึงนับ เพราะเสพแล้วติดใช่หรือไม่ ดังนั้น ในสมัยพุทธกาล มนุษย์รู้จักแค่สุรา(แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้รู้จักแค่สุรานะครับ) มนุษย์ก็นับสิ่งเสพติดแค่สุรา แต่กาลเวลาต่อมา มนุษย์รู้จัก กัญญา เฮโรอีน มนุษย์ก็เพิ่ม list รายการเข้าไป ในอนาคต หากมีสารอื่นๆ ขึ้นมาอีก ก็มิใช่เรื่องแปลก ที่จะนับมันเป็นสารเสพติด หากเสพแล้วติด ใช่มั้ยครับ
ต่อมา คำถามที่สอง เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นที่ไป เมื่อจิตผ่องใส สุคติเป็นที่ไป คำว่าผ่องใส กับสุขจากการหลงใหลนี้คนละแบบกันนะครับ จิตผ่องใส เกิดจากจิตที่ระลึกถึงคุณความดีที่ตนได้กระทำมา ไม่ใช่เกิดจากการหลงไหลในสิ่งต่างๆ อยากจะได้รับสิ่งนั้นอีกครั้ง อย่างนั้น ไม่อาจเรียกได้ว่า สุข ครับ แต่มันคล้ายๆ ราคะ หรือ โลภะ (อยากได้ในสิ่งที่ยังไม่ได้ หรือ ได้แล้วแต่อยากได้ขึ้นไปอีก) มากกว่า
เอาล่ะ ไม่ต้องพูดถึงจิตเป็นโลภะ อย่างนั้นไปอบายแน่ เราตัดไป ผมเปลี่ยนโจทย์ใหม่ให้ เป็นว่า ถึงแม้ดื่มเหล้ามาชั่วชีวิต แต่ก่อนตายระลึกนึกถึงคุณความดี ที่เคยถวายทานแด่พระภิกษุผู้มีศีลได้ ก็ไปสวรรค์ได้ครับ
คุณอาจจะถามต่อว่า อย่างนี้ไม่ยุติธรรมสิ อะไรทำชั่วมาตลอด ก่อนตายนึกถึงบุญได้ กลับไปสวรรค์ ก็ขอตอบให้ไม่ต้องกังวลไปครับ กรรมก่อนตายท่านเปรียบเป็น ม้าแก่หน้าปากคอก ทันทีที่เปิดคอก ม้าแก่ที่อยู่หน้าคอก จะวิ่งออกไปได้ก่อน เหมือนกรรมก่อนตาย(ดีหรือชั่วก็ตาม) จะให้ผลก่อน แต่หลังจากนั้น ม้าหนุ่มที่อยู่ข้างหลัง ก็จะวิ่งแซงหน้าม้าแก่ขึ้นไป เปรียบเสมือน กรรมที่ทำเป็นอาจิณ ซึ่งมีกำลังแรงก็จะให้ผลในตอนต่อมา คราวนี้แหละ แม้กำลังเพลิดเพลินบนสวรรค์ ก็หล่นพลันลงอบายได้ทำกรรมตามทัน เข้าใจมั้ยครับ
#17
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 06:58 PM
ถามว่า
1. การได้ไปเกิดในสุคติเป็นเทพ เทวา ก็ไม่ได้เป็นหนทางไปสู่การนิพพานใช่หรือไม่
2. ถ้าข้อ 1 ใช่ แล้วต้องไปเกิดเป็นอะไรถึงจะได้พบทางไปนิพพาน
3. ถ้าข้อ 1 ไม่ใช่ แสดงว่าเดรัชฉานหรือสัตว์นรกมีสิทธิ์ได้ไปนิพพานหากทนความเจ็บปวดที่โดนกระทำได้และตั้งจิตระลึกถึงบุญได้ใช่หรือไม่
4. หากจิตเราได้ไปพบกับนิพพานจริงๆ ซึ่งเป็นความว่างเปล่าไม่มีเกิดดับแล้ว นั่นหมายถึงจะไม่มีเวลา (Timer) แล้ว จะไม่เกิดการมองเห็น ไม่มีรสชาด ไม่มีกลิ่น ไม่ได้ยินเสียง สัมผัสไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป เป็นเพียงความว่างเปล่าที่ไม่มีทุกข์และสุขใดๆ ใช่หรือไม่ครับ
#18
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 09:38 AM
1. ทำดีมากกว่าทำชั่ว ดังนั้น โอกาสที่จะนึกถึงบุญตอนใกล้ตาย ก็มีโอกาสสูงกว่าพวกอื่นๆ อีกทั้งหากได้ไปสวรรค์ก็จะอยู่นาน เพราะกำลังแห่งความดีที่เขาทำไว้ มีมากกว่า กำลังแห่งความชั่ว หากเขาหมั่นกระทำแต่ความดีให้มากกว่าชั่วไปทุกชาติ โอกาสที่บาปจะตามไม่ทันก็มีสูงครับ เหมือน เราขี่มอเตอร์ไซด์วิ่งหนีสุนัขป่า หากเราหมั่นเติมน้ำมัน(สร้างบุญ) อยู่เสมอ สุนัขป่า(บาป) ก็ไม่มีทางวิ่งกัดเราทัน
ฮีกทั้งหากบุญบารมีแก่รอบ ได้บรรลุธรรม พ้นจากภพสาม บาปก็หมดโอกาสส่งผลอีกตลอดไป เปรียบเสมือน เราขี่มอเตอร์ไซด์ หนีสุนัขป่า จนไปถึงฐานที่มั่นของจรวด แล้วเราก็นั่งจรวดพุ่งออกนอกโลกไป สุนัขป่าก็หมดโอกาสกัดเราตลอดไปเช่นกัน
2. ทำชั่วมากกว่าทำดี แน่นอนว่า บาปก็ย่อมให้ผลมากกว่าบุญ และถ้าขึ้นสวรรค์อาจไม่ได้อยู่นาน แต่มนุษย์กลุ่มนี้ไม่ใช่มนุษย์กลุ่มใหญ่ของทั้งโลก
3. ทำดีทำชั่วพอๆ กัน มนุษย์จำพวกนี้ มีจำนวนมากที่สุด เป็นมนุษย์กลุ่มใหญ่ของโลก ซึ่งโอกาสไปสวรรค์หรือไปอบายมีพอๆ กันเลยทีเดียวครับ และถ้าขึ้นไปบนสวรรค์ก็มีสิทธิ์จะอยู่นาน เพราะบุญบาปมีกำลังพอๆ กัน
ต่อมาที่ถามว่า ถ้าถามต่อจะโกรธมั้ย
ไม่โกรธหรอกครับ ถามมาได้เรื่อยๆ เพราะการที่คุณถาม แล้วผมนำความรู้ของครูบาอาจารย์มาตอบคุณ ก็เป็นการสร้างบุญอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน เอาไว้คำถามไหน ถ้าผมตอบไม่ได้ ก็จะบอกนะครับ อ้อ อธิบายเพิ่มอีกนิดนึง ไม่ใช่เฉพาะบาปที่ส่งผลหรอกนะครับ บุญก็เช่นกัน หากมีกำลังบุญมากพอ ก็เปลี่ยนภพภูมิได้ครับ เป็นสัตว์นรกอยู่ดีๆ นี่แหละ หากนึกถึงบุญออก หรือ บุญได้ช่องมีกำลังแรงพอขึ้นมา ก็เปลี่ยนภพภูมิขึ้นสวรรค์มีให้เห็นเหมือนกันครับ
ทีนี้มาถึง คำถาม
1. การได้ไปเกิดในสุคติ เป็นเทพเทวา ก็ไม่ได้เป็นหนทางไปสู่การนิพพานใช่หรือไม่
ไม่อาจจะตอบได้อย่างนั้นครับ จริงอยู่เทวดายังไม่บรรลุนิพพาน แต่จะมีโอกาสไปนิพพานได้สูงมาก โดยเฉพาะในยุคที่พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นเช่นยุคนี้ เพราะไม่เฉพาะแต่มนุษย์เราเท่านั้น ที่มีการปฏิบัติธรรม ฟังธรรม แม้บนสวรรค์ขณะนี้ก็มีการปฏิบัติธรรม ฟังธรรม คุณอาจจะถามว่า ทำได้ยังไง ใครเป็นผู้สอน อ๋อ คนสอนก็คือ เทวดาที่ท่านได้บรรลุธรรมแล้ว เป็นพระโสดาบันขึ้นไปไงล่ะครับ ซึ่งพระโสดาบันจะต้องเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ ถึงจะเข้านิพพาน ระหว่างนี้ท่านก็ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ของพระพุทธเจ้าให้กับบรรดาเทวดาทั้งหลายที่ไม่ประมาท มาประชุมกันที่เทวสภาทุกๆ วันพระเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเทวดาพระโพธิสัตว์ คือ เทวดาที่สมัยเป็นมนุษย์ ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ท่านก็คอยมาถ่ายทอดธรรมะให้เทวดาอื่นๆ ด้วยเช่นกันครับ
ดังนั้น เทวดาที่มาฟังธรรม แล้วนำไปปฏิบัติธรรม โอกาสที่จะบรรลุธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป ก็มีอยู่ครับ
2. เมื่อข้อ 1 ไม่ใช่ ดังนั้น จะต้องไปเกิดเป็นอะไรถึงจะบรรลุนิพพาน
ตอบว่า ก็ต้องเป็นผู้บันเทิงในโลกทั้งสองไงล่ะครับ คือ โลกมนุษย์กับโลกทิพย์ ได้เกิดเป็นมนุษย์กับเทวดาสลับกันไปเรื่อยๆ จนกว่าบารมีจะเต็มเปี่ยมได้บรรลุนิพพาน ไม่พลัดไปอบายเลย นั่นแหละครับ ดีที่สุด
3. นิพพานไม่ใช่ภาวะแค่นั้นครับ ภาวะเช่นนั้น ท่านเรียกว่า อากาศธาตุ หรือ ความว่างเปล่า ซึ่งก็เป็นสภาวะที่ยังอยู่ในโลกนี้ครับ แต่นิพพานเป็นสภาวะพ้นโลก พ้นภพสาม ซึ่งได้แก่ กามภพ(มนุษย์เทวดาสัตว์นรก) รูปภพ(ที่อยู่ของรูปพรหม) และอรูปภพ(ที่อยู่ของพวกไม่ใช่รูปพรหม)
พระท่านแบ่งโลกนี้เป็นธาตุใหญ่ๆ ได้ 6 แบบ คือ 1.ธาตุดิน สิ่งที่แข็ง 2.ธาตุน้ำ สิ่งที่เหลว 3.ธาตุไฟ สิ่งที่ร้อนเย็น 4. ธาตุลม ลมต่างๆ 5. วิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้ที่ทำให้บางธาตุมีชีวิต เช่น คน สัตว์ และ 6. อากาศธาตุ คือ ความว่างเปล่า ที่ว่างที่ไม่มีธาตุอะไรเลยในโลก
ฤษีบางตนในอดีต บำเพ็ญเพียร ด้วยจิตแบบนี้ คือ มีแต่ความว่างเปล่า สุดท้ายได้ไปเกิดเป็นอรูปพรหมครับ แต่ก็ยังอยู่ในภพสาม ยังไม่อาจพ้นไปได้ ส่วนนิพพานเป็นสภาวะพ้นโลกไปแล้ว จึงไม่ใช่ธาตุทั้ง 6 ที่เป็นของยังอยู่ในโลก แน่นอนครับ
แล้วทำไมเขาไปสอนกันแบบนี้ว่า นิพพาน คือ ความว่างเปล่า อ๋อ เพราะเขาตีความจากตำราน่ะครับว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง แต่ที่นี้ท่านหมายถึง ว่าง จากกิเลสครับ ไม่ใช่ ว่างแบบไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น นั่นคือ อากาศธาตุครับ
เพราะความจริงพระพุทธองค์ยังสอนอีกว่า นิพพานัง ปรมัง สุขขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ครับ
แล้วนิพพานเป็นอะไรกันแน่ ตอบว่า นั่นแหละครับ ที่ผมก็ตอบคุณไม่ได้ ต้องให้คุณได้ลองลงมือปฏิบัติธรรม ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อให้รู้ด้วยตัวเองไงล่ะครับ ว่านิพพาน เป็นอย่างไรกัน
#19
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 12:00 PM
#20
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 01:21 PM
สำหรับ ความคิดเห็นคุณ usr20323 ข้างบน นี้
ผมคิดว่า
ผู้ที่เห็นมากกว่า 3 มิติ คือ เห็นแจ้งสรรพสิ่ง และธรรม ธาตุ ที่มีอยู่ ตามความเป็นจริง (โดยปรมัตถ์)
คือ พระสัพพัญญูพุทธเจ้า
ถ้าเป็นในโลกภาพยนต์ ก็คงเป็น NEO ใน The Metrix กระมังครับ
ลองศึกษา ธรรมนิยามสูตร สิครับ ลึกซึ้ง น่าทึ่งในความรู้ที่มีในพระพุทธศาสนา จริง ๆ