เรื่องที่ทำให้ฟุ้งซ่าน : ขอคำแนะนำหน่อยนะคะ
#1
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 08:09 PM
เรื่องที่ว่านี่คือเรื่อง ความรัก น่ะค่ะ อายจังเลยค่ะ ไม่อยากพูดถึงเลย แต่มันไม่รุจะทำยังไงแล้วอ่าค่ะ อยากขอคำแนะนำจากพี่ๆหน่อยน่ะค่ะ
เรื่องคือ น้องเกิดไปรักคนคนนึงเข้า เรื่องมันก็ สามปีมาแล้วค่ะ รักเขามาตลอด จนเมื่อปีที่แล้วก็ได้พูดคุยกัน แล้วก็มีใจให้กัน แต่ด้วยความเจ้าชู้ของเขา น้องก็คิดว่าตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่า ก็เลิกติดต่อกันไป
เลิกติดต่อกันไปแล้ว แต่ใจน้องก็ยังวนเวียนอยู่ที่เขา คอยเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นยังไง ฯลฯ เคยลองนั่งธรรมะสงบจิตใจดูแล้ว ก็ยังฟุ้งซ่านเรื่องเดิมอยู่ดีค่ะ
พักหลังเขาติดต่อมาอีกแล้ว น้องก็ยิ่งฟุ้งซ่านกว่าเดิม ฝันเห็นเขาแทบทุกคืน
แต่น้องไม่คิดจะกลับไปยุ่งกับเขาหรอกนะคะ เพราะรู้ดีกว่าเขาไม่ได้รักน้อง ที่ติดต่อมาก็แค่เขาไม่มีใครเท่านั้น
น้องไม่อยากคิดเรื่องเขาอีกแล้วอะค่ะ กลัวว่ามันจะฝังใจ ตามติดไปถึงชาติหน้า (หรือเป็นมาหลายชาติแล้วก็ไม่รู้)
ทุกวันนี้เวลาทำบุญก็พยายามจะไม่คิดถึงเขา แต่บางทีมันก็แว๊บๆมาว่า ขอให้ชาติหน้าได้สมหวัง
ไม่อยากเป็นอย่างนี้เลยค่ะ อายด้วยไม่กล้าบอกใคร (เล่าให้เพื่อนฟังเขาก็ว่าน้องเจ็บไม่รู้จักจำ)
หรือว่าน้องกับเขาทำกรรมกันมาคะ?
วอนพี่ๆผู้รู้ช่วยแนะนำน้องด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 09:51 PM
#3
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 10:01 PM
- อธิษฐานจิตตั้งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยว มุ่งตรงสู่หนทางแห่งพระนิพพาน
- พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯท่านแนะไว้ว่า"เลิกอยาก ลาหยอก รีบออกจากาม เดินตามขันธ์สามเร็วไว"
- ยุคนี้พบครูบาอาจารย์ดี อย่าพลาดโอกาสเลย
- จะเลือกทางใดสุดแต่ใจของเรานะ
#4
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 10:10 PM
เราทำได้แค่เพียง ปล่อยให้มันเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วมันจะหายไปเอง
เพราะมันเป็นของชั่วคราว เราทำได้เพียงรู้แค่ว่า มันเกิดขึ้นอีกแล้ว
และเมื่อไร มีสิ่งอื่นมากระทบให้เราไปสนใจ เราก็จะลืมมันไปชั่วคราว
แล้วก็จะกลับมานึกถึงมันใหม่อีกครั้ง เพราะว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นของชั่วคราว
มันจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แหละ ลองสังเกตุดู แล้วมันจะค่อยๆ จางหายไปเอง
ไฟล์แนบ
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#5
โพสต์เมื่อ 15 January 2008 - 11:56 PM
ในโลกนี้ไม่มีใครจะปฏิเสธความรักได้
แม้เราจะไม่เคยรักใคร แต่วันหนึ่ง
ก็ต้องมีใครมาแอบรักเรา ความรัก
มักทำให้เราหวั่นไหว บ่อยครั้งทำให้
ขาดเหตุผล และแน่นอนที่สุดมักจะปล่อย
ไปตามอารมณ์ เรื่องราวของความรัก
จากที่เคยเริ่มต้นสวยงาม ก็มักจบลงด้วยความเศร้า
การที่จะรักษาความรักให้ยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และที่สำคัญที่สุด
อย่าให้ความรัก มีอำนาจเหนือเรา
จากหนังสือLOVELY LOVE โดยตะวันธรรม
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#6
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 05:57 AM
#7
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 08:37 AM
พระสุตตันตปิฎก
อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต
__________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. รูปาทิวรรค
หมวดว่าด้วยรูปเป็นต้นที่ครอบงำจิตบุรุษและสตรี
[๑] ข้าพเจ้า ได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนี่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตะวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้เหมือนรูปสตรีนี้ ภิกษุทั้งหลาย รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้ (๑)
[๒] เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้เหมือนเสียงสตรีนี้ เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้ (๒)
[๓] เราไม่เห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้เหมือนกลิ่นสตรีนี้ กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้ (๓)
[๔] เราไม่เห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้เหมือนรสสตรีนี้ รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้ (๔)
[๕] เราไม่เห็นโผฏฐัพพะ(การสัมผัสทางกาย)อื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้เหมือนโผฎฐัพพะสตรีนี้ โผฏฐัพพะสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้ (๕)
[๖] เราไม่เห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้เหมือนรูปบุรุษนี้ รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้ (๖)
[๗] เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้เหมือนเสียงบุรุษนี้ เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้ (๗)
[๘] เราไม่เห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้เหมือนกลิ่นบุรุษนี้ กลิ่นบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้ (๘)
[๙] เราไม่เห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้เหมือนรสบุรุษนี้ รสบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้ (๙)
[๑๐] เราไม่เห็นโผฏฐัพพะ(การสัมผัสทางกาย)อื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้เหมือนโผฏฐัพพะบุรุษนี้ โผฏฐัพพะบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีอยู่ได้ (๑๐)
รูปาทิวรรคที่ ๑ จบ
#8
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 09:05 AM
วิธีของพี่เป็นวิธีแบบหนามหยอกก็ต้องเอาหนามบ่งจ๊ะ คือ หากน้องยังคิดถึงเขาอยู่ก็คิดไปไม่เป็นไร แต่คิดไปในอีกแบบหนึ่ง อยากจะขอแนะนำวิธีแก้ดังนี้นะจ๊ะ
1. ให้คิดทบทวนถึงสิ่งไม่ดีในตัวเขาบ่อยๆ แล้วยําคิดเสมอว่าหากเราพลาดท่าให้เขา ก็จะกลายเป็นแค่ของเล่นให้เขา
2. ให้คิดถึงเรื่องที่เขาทำให้น้องเสียใจที่สุดและยําคิดเสมอว่า เราจะไม่กลับไปเป็นเช่นนั้นอีก
3. ให้คิดทบทวนโทษของความรักอยู่ตลอด ให้ยําคิดเสมอว่าหากรักก็เกิดทุกข์
4. เจริญอสุภะโดยการคิดเสมอว่า ร่างกายหรือแม้แต่ใจ(ความเจ้าชู้)ของเขาเป็นของสกปรก แล้วให้ยําคิดเสมอว่า เราไม่เอาของสกปรกนั้นมาเป็นเจ้าของ
5. หากใจฟุ้งซ่านมาก ก็ให้สวดมนต์และนั่งสมาธิฝึกใจให้แกร่งจ๊ะ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#9
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 09:07 AM
#10
*YTTRA*
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 11:30 AM
เขาใจนะเวลา ความรักมันบังตาเนี่ย...โอโฮ มัดมืดมัวมองไรไม่เห็นจิงๆเลยยยยย...
ต่อให้เอาพระอรหันต์มาเทศนาก้อมองตามธรรมะไม่ได้ หรือคนโน้นให้ข้อคิดยังงั้นอยังงี้ก้อไม่เห็น
คือมันวนเวียอยุ่แต่....เขาๆๆๆๆหรือเธอๆๆๆๆๆ
หายใจเข้าก้อเฮ้อ...เธอ....หายใจออกก้อเฮ้อ...เธอ...ตื่นมาก้อนึกถึงแต่เธอ....
แหะๆๆๆ ที่บอกนี่อ่ะครับ...เคยเป็นๆ
แต่ก้อนะ...ผมก้อไม่ใช่คนที่มีธรรมะละเอียดอะไรนะครับ แต่ก้อผ่านเรื่องพวกนี้มาบ้างแล้ว
ถ้าเราคิดถึงเขาเจอเขาแล้วอดใจไม่ได้...หรือยังงัยละก้อ ควรใช้ปัญญานำหน้านะครับ หัดวางอุเบกขาบ้าง
อย่าไปทึกทักเอาว่าเป็นกรรมเก่ากรรมใหม่อาราย...
ผมจะคิดอย่างนี้นะ
"ถ้าผมคิดถึงเธอแล้วทุกข์ละก้อ ผมจะเปลี่ยนความคิดทันทีเลย ว่าผมคิดถึงเธอแล้วพยายามให้เธอมีความสุข
ไม่ว่าเธอจะทำอะไร เป็นอาราย คิดอย่างไรกับเรา เราก้อรับได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะทำให้เธอก้อคือ ผมจะปรารถนาดีและ ทำสิ่งดีให้เธอ โดยไม่สนว่าเธอจะให้อะไรตอบแทนกลับมาให้ผมหรือเปล่า
ผมคิดแค่นี้ครับ...แล้ววางใจเป็นกลาง(ในกลาง) แล้วผมก้อจะมีความสุข แม้เราจะไม่เจอกัน แต่ผมก้อจะหวังดีกับเธอตลอดไป"
ผมคิดอย่างนี้น่ะครับ...น้ำเน่าโคตรๆอ่ะ... แต่มันก้อทำให้เราสบายใจ ดีกว่าไปตกอยู่ในวังวนของความรักควมเร่าร้อน...
และที่สำคัญอย่าลืมนั่งธรรมะบ่อยๆๆๆๆๆเด้อ......
#11
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 11:33 AM
แล้วเดินตามทางที่หลวงพ่อแนะ ฟังซำๆ บ่อยๆ เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายๆปี
แล้วแต่ระดับธรรมในตัวเรา สุดท้ายต้องหักดิบนึกถึงองค์พระให้ได้ทุกนาที
#12
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 12:39 PM
#13
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 02:32 PM
หมั่นสังเกตใจตัวเอง เวลาเกิดอารมณ์แบบฟุ้งซ่าน คิดถึงแต่เขา วนๆ เวียนๆ ให้หยุดคิดซักแป้บนึง แบบว่า ถอยออกมาดูสิว่า ตัวเองเป็นไรอ่ะ แล้วพิจารณาดูสภาพจิตของเราตอนนั้นว่า ใจเราเป็นทุกข์อยู่ใช่มั้ย
ถ้าใช่ ก็ให้คิดต่อไปว่า ก็ถ้ามันคิดแล้วใจเป็นทุกข์ ก็จะไปคิดทำไมละ ทำร้ายตัวเองเปล่าๆ ถอนใจออกมาก่อน ถอยมาตั้งหลัก โดยการไปนั่งหลับตา สงบจิตสงบใจ ถ้าทำไม่ได้ ให้นึกถึงองค์พระเข้าช่วย เปลี่ยนจากภาพเขา เป็นองค์พระแทน ไ้ว้ในกลางกายนั่นแหล่ะ แรกๆ อาจจะยากหน่อย แต่ต้องมีสติ พึงสังเกตใจตัวเองให้ได้ตลอดเวลา ตอนไหนเผลอสติปั้บ ก็ให้รีบคว้าองค์พระมาตั้งไว้ที่กลางตัวปุ๊บ วิธีนี้ช่วยได้ค่ะ จิงๆ ค่ะ เพราะเมื่อเราทำบ่อยเข้าๆ เดี๋ยวใจเราจะเริ่มนิ่งขึ้นๆ เอง จากใจที่ทุกข์ๆ ความสุขจะค่อยๆ เข้ามาแทนที่ ทีละนิดๆ จนกระทั่งความทุกข์หายไป ใจกลายเป็นกลางๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย กับอะไร ที่สำคัญคือต้องหมั่นตรึกระลึกถึงองค์พระ เพราะใจเรา ณ ขณะเวลาหนึ่งๆ คิดได้แค่สิ่งเดียว อย่างเดียวค่ะ
ถ้าไม่ใช่ ก็ให้คิดต่อไปว่า ถ้าเรานึกถึงเขาแล้วมีความสุข ก็เก็บเกี่ยวความสุขนั้นไว้ ให้อยู่กับเราไปนานๆ โดยทำบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนา ทำแล้ว ใจสบายแล้วส่งไปให้เขา ใจก็จะเบาๆ ไม่เครียด ไม่ทุกข์ มีแต่ความสุข อธิษฐานจิตให้ทั้งเราและเขาพ้นทุกข์ เราก็จะไม่ได้หวัง ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนกลับมา นั่นคือการเป็นผู้ให้ที่ถูกต้อง คือให้ในสิ่งที่บริสุทธิ์ แล้วใจเราจะบริสุทธิ์ตาม แต่ถ้าเราคิดว่า การให้คือการให้ในสิ่งหยาบๆ เช่น วัตถุสิ่งของ หรือสมบัติที่เรามีติดตัวมาแต่เกิด หรืออะไรก็แล้วแต่ นั่นเป็นการให้แบบหยาบๆ เรามักจะอยากได้ของหยาบๆ กลับมา ซึ่งนั่นแหล่ะ เราเกิดความต้องการสิ่งตอบแทนแล้ว ใจเราก็จะเป็นทุกข์
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ให้หมั่นคิดอยู่เสมอว่า เราเกิดมาคนเดียว เราต้องตายคนเดียว ไม่มีใครหนีพ้นความตายไปได้ เราไม่ตายก่อนเขา เขาก็ตายก่อนเรา เราไม่ตายวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ก็ต้องปีหน้า สิบปีข้างหน้า ไม่เราก็เขา ยังไงก็ต้องตายจากกันอยู่ดี
คนที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์ คือตัวของเราเอง ใจของเราเอง
คนที่ทำให้ใจเราเป็นสุข ก็คือตัวของเราเอง ใจของเราเอง อีกนั่นแล
หวังว่าจะหลุดจากห้วงแห่งความรักแบบทุกข์ๆ ไปได้เร็วๆ นะคะ ฟ้าร้าง เอาใจช่วยค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#14
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 05:07 PM
#15
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 09:02 PM
![rolleyes.gif](style_emoticons/default/rolleyes.gif)
#16
โพสต์เมื่อ 17 January 2008 - 12:20 PM
เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา คือ ความทะยานอยาก มันเกิดขึ้นมาจาก ความคิด
หยุดอยาก หยุดคิด หยุดทุกข์
สู้ๆค่ะ เอาใจช่วย ขอให้น้องพ้นทุกข์ได้ ไวๆ
#17
โพสต์เมื่อ 17 January 2008 - 03:59 PM
"ร่างกายหรือแม้แต่ใจ(ความเจ้าชู้)ของเขาเป็นของสกปรก แล้วให้ยําคิดเสมอว่า เราไม่เอาของสกปรกนั้นมาเป็นเจ้าของ"
ตอนนี้คิดแล้วก็ ยิ้ เลยค่ะ กายก็สกปรก ใจก็สกปรก คิดถึงทีไรยี้ทุกที
เริ่มจะเปลี่ยนจาก รัก เป็น เวทนา (ไม่รุมะไหร่เขาจะหลุดจากวงจรคนเจ้าชู้หนอ)
ส่วนน้องเองกะลังทวนกระแสความหลงงมงายอยู่ค่ะ ^^ คิดว่า คงพ้นเร็วๆนี้
ขอบคุณพี่ๆทุกท่านมากๆเลยนะค๊าที่ทำให้น้องหายฟุ้งซ่าน(เป็นพักๆ)
#18
โพสต์เมื่อ 17 January 2008 - 05:03 PM
เอาใจช่วยนะคะ