พระโสดาบันคือตำแหน่งยังไง ไม่ต้องไปอบายใช่ไหม
และพระอนาคามีมรรค เขียนถูกมั้ง ผิดก็ขอโทษค่ะ
พรอนาคามีผล
อยากทราบตำแหน่งต่างๆ และที่ไม่ได้เอ่ยมีอะไรบ้าง ดีอย่างไร เป็นแล้วได้อะไร
คำถาม อยากถามผู้รู้
เริ่มโดย นักสร้างฝัน, Jan 16 2008 05:52 PM
มี 5 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 05:52 PM
#2
โพสต์เมื่อ 17 January 2008 - 09:48 AM
กายที่ซ้อนอยู่ในกายเรานั้นมีดังนี้ เริ่มจาก กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม ธรรมกาย เจริญอริยสัจ4กายทิพย์จะได้กายพระโสดาบัน เจริญอริยสัจ4กายพรหมจะได้กายพระสกิทาคามี เจริญอริยสัจ4กายอรูปพรหมจะได้กายอนาคามี เจริญอริยสัจสี่ธรรมกายจะได้กายพระอรหันต์
พระโสดาบัน คือผู้ที่เจริญอริยสัจสี่ของกายทิพย์จนได้เข้าถึงพระโสดาปฎิผลแล้วครับ
ตามตำรา ผู้ที่ได้พระโสดาบันขึ้นไปมีข้อดี คือ จะวนเวียนเกิดอยู่ในสุขติภูมิอีกเพียงไม่เกิน7ชาติ และภายใน7ชาติสุดท้ายนี้จะไม่ลงไปอบายเลย
พระโสดาบัน คือผู้ที่เจริญอริยสัจสี่ของกายทิพย์จนได้เข้าถึงพระโสดาปฎิผลแล้วครับ
ตามตำรา ผู้ที่ได้พระโสดาบันขึ้นไปมีข้อดี คือ จะวนเวียนเกิดอยู่ในสุขติภูมิอีกเพียงไม่เกิน7ชาติ และภายใน7ชาติสุดท้ายนี้จะไม่ลงไปอบายเลย
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 17 January 2008 - 10:15 AM
กิเลศมี3ตระกูลใหญ่ๆคือ โลภะ โทสะ โมหะ และก็ยังมีย่อยออกไปเป็น สัญโยชน์10ประการอีกดังนี้ครับ
สัญโยชน์ 10 ประกอบด้วย
1. สักกายทิฏฐิ : ความเห็นว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตนของเรา ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ผูกจิตไว้กับความเห็นแก่ตัวอย่างเหนียวแน่น
2. วิจิกิจฉา : ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ ไม่ปักใจเชื่อในสิ่งเหล่านี้คือ
สงสัยว่าพระพุทธเจ้าผู้รู้ทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง และปฏิบัติตามทางนั้นจนสำเร็จ ด้วยตัวพระองค์เองมาแล้ว มีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระพุทธเจ้า)
สงสัยว่าสภาวะที่พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง และทางปฏิบัติเพื่อเข้าสู่สภาวะนั้น มีจริงหรือไม่ และทางไหนกันแน่ที่ถูกต้องแท้จริง (สงสัยในพระธรรม)
สงสัยว่าผู้ปฏิบัติตามทางที่พระพุทธเจ้าแนะนำ จนพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงแล้ว มีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระสงฆ์)
ความไม่แน่ใจนี้ผูกจิตเอาไว้กับความไม่แน่วแน่ หรือความไม่จริงจังในการปฏิบัติในทางที่ถูก
3. สีลพตปรามาส : การถือศีลพรตด้วยจุดมุ่งหมายที่ผิดทาง ทำให้ไม่ได้ประโยชน์จากศีลหรือพรตนั้น อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจถึงขั้นได้รับโทษจากการถือศีลพรตนั้นเลยก็ได้ เช่น กิเลสหรือมานะ (ความถือตัว)งอกเงยขึ้น กลายเป็นคนหลงงมงาย หรือเป็นทุกข์ไปโดยเปล่าประโยชน์
สีลพตปรามาสนี้ผูกจิตไว้กับการปฏิบัติที่ผิดทาง หรือการปฏิบัติอย่างงมงาย
4. กามฉันทะ : ความยินดี เพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย หรือเพลิดเพลินในความคิด อันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายนั้น\
กามฉันทะนี้ผูกจิตไว้ให้ต้องตกเป็นทาสของรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย เหมือนปลาที่ติดเบ็ดเพราะหลงใหลในเหยื่อที่ล่อเอาไว้ และผูกจิตไว้กับกามภูมิ
5. ปฏิฆะ : ความกระทบกระทั่งภายในใจ ความขัดเคืองใจ ความโกรธ ความไม่สบายใจ ความเศร้าโศกเสียใจ
ปฏิฆะนี้ผูกจิตไว้กับความทุกข์ทางใจต่างๆ นานา
6. รูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นรูปสมาบัติ หรือรูปฌาน คือสมาธิที่ใช้รูปธรรมเป็นเครื่องยึด เพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างรูปธรรมเช่น ดิน น้ำ ไฟ อาการเคลื่อนไหว(ลม) ร่างกาย อวัยวะต่างๆ แสงสว่าง สีต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่เห็นในนิมิต (ภาพที่เกิดขึ้นขณะหลับตาทำสมาธิ)
รูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับรูปภูมิ คือภูมิที่ผู้ได้สมาธิขั้นรูปฌานจะไปเกิดเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ในภูมินี้จะมีความสุขจากสมาธิเป็นหลัก ไม่สนใจในกามคุณทั้งหลาย
7. อรูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นอรูปสมาบัติ หรืออรูปฌาน อันพ้นจากความยินดีพอใจในรูปทั้งปวง คือสมาธิที่ใช้อรูป คือสิ่งที่ไม่ใช่รูปเป็นเครื่องยึด เพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างของอรูปเช่น ช่องว่าง(อากาศ) สิ่งที่รับรู้ความรู้สึก(วิญญาณ) ความไม่มีอะไรเลย(อากิญจัญญายตนสมาบัติ) ความรู้สึกที่เหลืออยู่น้อยมาก จนแทบไม่มีความรู้สึกตัวเลย(เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ) คนที่ได้อรูปฌานนั้น จะไม่ยินดีในรูปใดๆ เลย จะยินดีพอใจในการไม่มีรูปเท่านั้น ไม่ยินดีแม้กระทั่งการมีร่างกาย เพราะมองเห็นแต่ทุกข์ และโทษที่เกิดจากการมีร่างกาย เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดในภูมิที่ไม่มีร่างกาย คือมีเฉพาะจิตเพลิดเพลินอารมณ์อันเกิดจากสมาธิอยู่ ที่เรียกว่าอรูปภูมิ
อรูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับอรูปภูมิ
8. มานะ : ความถือตัว ความรู้สึกว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นเรา ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ว่าเราเหนือกว่าเขา เราเสมอกับเขา หรือเราด้อยกว่าเขา
มานะนี้ผูกจิตไว้กับการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ความชิงดีชิงเด่น ความถือตัว
9. อุทธัจจะ : ความฟุ้งซ่านของจิต เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นของจิตคิดว่าสิ่งต่างๆ มีสาระ จิตจึงซัดส่ายไปหาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นอยู่เนืองๆ ไม่อาจตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแนบแน่น เป็นเวลานานๆ ได้
อุทธัจจะนี้ผูกจิตไว้กับความซัดส่ายรับอารมณ์ไม่มั่น
10. อวิชชา : ความไม่รู้สภาวะที่แท้จริงของสรรพสิ่ง คือ ไม่รู้ในทุกข์ เหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) สภาวะที่พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง(นิโรธ-นิพพาน) ทางปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง(มรรค) ไม่รู้ในกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ไม่รู้ในหลักปฏิจจสมุปบาท (การที่สิ่งต่างๆ อิงอาศัยสิ่งอื่นๆ จึงเกิดขึ้นได้) ไม่รู้เรื่องเหตุปัจจัย ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงล้วนไม่ควรค่าแก่การยึดมั่นถือมั่น
อวิชชานี้ผูกจิตไว้กับวัฏสงสาร ภพภูมิทั้งปวง ความทุกข์ทั้งปวง และผูกจิตไว้กับสัญโยชน์ทั้งปวง
พระโสดาบันอ่านรายละเอียดที่นี่ http://www.banfun.co...dha/arom02.html
พระสกิทาคามี อ่านที่นี่ http://www.banfun.co...dha/arom03.html
พระอนาคามี อ่านที่นี่ http://www.banfun.co...dha/arom04.html
พระอรหันต์ อ่านที่นี่ http://www.banfun.co...dha/arom05.html
ขอขอบคุณ http://www.banfun.com
สัญโยชน์ 10 ประกอบด้วย
1. สักกายทิฏฐิ : ความเห็นว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตนของเรา ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ผูกจิตไว้กับความเห็นแก่ตัวอย่างเหนียวแน่น
2. วิจิกิจฉา : ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ ไม่ปักใจเชื่อในสิ่งเหล่านี้คือ
สงสัยว่าพระพุทธเจ้าผู้รู้ทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง และปฏิบัติตามทางนั้นจนสำเร็จ ด้วยตัวพระองค์เองมาแล้ว มีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระพุทธเจ้า)
สงสัยว่าสภาวะที่พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง และทางปฏิบัติเพื่อเข้าสู่สภาวะนั้น มีจริงหรือไม่ และทางไหนกันแน่ที่ถูกต้องแท้จริง (สงสัยในพระธรรม)
สงสัยว่าผู้ปฏิบัติตามทางที่พระพุทธเจ้าแนะนำ จนพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงแล้ว มีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระสงฆ์)
ความไม่แน่ใจนี้ผูกจิตเอาไว้กับความไม่แน่วแน่ หรือความไม่จริงจังในการปฏิบัติในทางที่ถูก
3. สีลพตปรามาส : การถือศีลพรตด้วยจุดมุ่งหมายที่ผิดทาง ทำให้ไม่ได้ประโยชน์จากศีลหรือพรตนั้น อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจถึงขั้นได้รับโทษจากการถือศีลพรตนั้นเลยก็ได้ เช่น กิเลสหรือมานะ (ความถือตัว)งอกเงยขึ้น กลายเป็นคนหลงงมงาย หรือเป็นทุกข์ไปโดยเปล่าประโยชน์
สีลพตปรามาสนี้ผูกจิตไว้กับการปฏิบัติที่ผิดทาง หรือการปฏิบัติอย่างงมงาย
4. กามฉันทะ : ความยินดี เพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย หรือเพลิดเพลินในความคิด อันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายนั้น\
กามฉันทะนี้ผูกจิตไว้ให้ต้องตกเป็นทาสของรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย เหมือนปลาที่ติดเบ็ดเพราะหลงใหลในเหยื่อที่ล่อเอาไว้ และผูกจิตไว้กับกามภูมิ
5. ปฏิฆะ : ความกระทบกระทั่งภายในใจ ความขัดเคืองใจ ความโกรธ ความไม่สบายใจ ความเศร้าโศกเสียใจ
ปฏิฆะนี้ผูกจิตไว้กับความทุกข์ทางใจต่างๆ นานา
6. รูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นรูปสมาบัติ หรือรูปฌาน คือสมาธิที่ใช้รูปธรรมเป็นเครื่องยึด เพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างรูปธรรมเช่น ดิน น้ำ ไฟ อาการเคลื่อนไหว(ลม) ร่างกาย อวัยวะต่างๆ แสงสว่าง สีต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่เห็นในนิมิต (ภาพที่เกิดขึ้นขณะหลับตาทำสมาธิ)
รูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับรูปภูมิ คือภูมิที่ผู้ได้สมาธิขั้นรูปฌานจะไปเกิดเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ในภูมินี้จะมีความสุขจากสมาธิเป็นหลัก ไม่สนใจในกามคุณทั้งหลาย
7. อรูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นอรูปสมาบัติ หรืออรูปฌาน อันพ้นจากความยินดีพอใจในรูปทั้งปวง คือสมาธิที่ใช้อรูป คือสิ่งที่ไม่ใช่รูปเป็นเครื่องยึด เพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างของอรูปเช่น ช่องว่าง(อากาศ) สิ่งที่รับรู้ความรู้สึก(วิญญาณ) ความไม่มีอะไรเลย(อากิญจัญญายตนสมาบัติ) ความรู้สึกที่เหลืออยู่น้อยมาก จนแทบไม่มีความรู้สึกตัวเลย(เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ) คนที่ได้อรูปฌานนั้น จะไม่ยินดีในรูปใดๆ เลย จะยินดีพอใจในการไม่มีรูปเท่านั้น ไม่ยินดีแม้กระทั่งการมีร่างกาย เพราะมองเห็นแต่ทุกข์ และโทษที่เกิดจากการมีร่างกาย เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดในภูมิที่ไม่มีร่างกาย คือมีเฉพาะจิตเพลิดเพลินอารมณ์อันเกิดจากสมาธิอยู่ ที่เรียกว่าอรูปภูมิ
อรูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับอรูปภูมิ
8. มานะ : ความถือตัว ความรู้สึกว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นเรา ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ว่าเราเหนือกว่าเขา เราเสมอกับเขา หรือเราด้อยกว่าเขา
มานะนี้ผูกจิตไว้กับการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ความชิงดีชิงเด่น ความถือตัว
9. อุทธัจจะ : ความฟุ้งซ่านของจิต เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นของจิตคิดว่าสิ่งต่างๆ มีสาระ จิตจึงซัดส่ายไปหาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นอยู่เนืองๆ ไม่อาจตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแนบแน่น เป็นเวลานานๆ ได้
อุทธัจจะนี้ผูกจิตไว้กับความซัดส่ายรับอารมณ์ไม่มั่น
10. อวิชชา : ความไม่รู้สภาวะที่แท้จริงของสรรพสิ่ง คือ ไม่รู้ในทุกข์ เหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) สภาวะที่พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง(นิโรธ-นิพพาน) ทางปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง(มรรค) ไม่รู้ในกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ไม่รู้ในหลักปฏิจจสมุปบาท (การที่สิ่งต่างๆ อิงอาศัยสิ่งอื่นๆ จึงเกิดขึ้นได้) ไม่รู้เรื่องเหตุปัจจัย ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงล้วนไม่ควรค่าแก่การยึดมั่นถือมั่น
อวิชชานี้ผูกจิตไว้กับวัฏสงสาร ภพภูมิทั้งปวง ความทุกข์ทั้งปวง และผูกจิตไว้กับสัญโยชน์ทั้งปวง
พระโสดาบันอ่านรายละเอียดที่นี่ http://www.banfun.co...dha/arom02.html
พระสกิทาคามี อ่านที่นี่ http://www.banfun.co...dha/arom03.html
พระอนาคามี อ่านที่นี่ http://www.banfun.co...dha/arom04.html
พระอรหันต์ อ่านที่นี่ http://www.banfun.co...dha/arom05.html
ขอขอบคุณ http://www.banfun.com
#4
โพสต์เมื่อ 17 January 2008 - 01:56 PM
สาธุค่ะ
#5
โพสต์เมื่อ 17 January 2008 - 04:59 PM
ความจริงพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ไม่ใช่ตำแหน่ง แต่เป็นคุณภาพใจที่สมบูรณ์ขึ้นขจัดกิเลสต่างๆ ลงได้อย่างเด็ดขาด โดยพระโสดาบันขจัดกิเลสบางส่วนได้อย่างเด็ดขาด พระสกิทาคามี ขจัดได้อย่างเด็ดขาดเพิ่มขึ้นมา พระอนาคามีก็เพิ่มขึ้นมา และพระอรหันต์ขจัดกิเลสอย่างเด็ดขาดได้ครบทั้งหมด ดังที่น้องสิริปโภ Post มานั่นแหละครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#6
โพสต์เมื่อ 19 January 2008 - 03:52 AM
Sadhu ka _/l\_