ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องคนทรงครับ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 20 March 2008 - 01:40 PM

อยากทราบน่ะครับ หากผู้ที่ไม่ใช่คนทรงจริงๆแต่ทำตัวแกล้งเป็นคนทรง เพื่อหลอกให้ผู้อื่นทำความดี เช่นแนะนำให้รักษาศีล เข้าวัดปฏิบัติธรรม หรือทำทาน อะไรทำนองนี้น่ะครับ บุคคลจำพวกนี้จะถือว่าได้ก่อเหตุหรือสร้างผังเพาะเชื้อคนทรงหรือเปล่า แล้วชาติต่อไปจะกลายเป็นคนทรงจริงหรือไม่
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#2 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 March 2008 - 05:30 AM

มีวิบากติดไปแน่นอนครับ เป็นการเข้าข่ายหลอกลวงผู้อื่นให้หลงงมงาย ลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย จะทำให้ต้องไปตกอยู่ในวงจรของพวกที่ชอบสิง ๆ ทรง ๆ ต่อไปอีก ชาตินี้ไปหลอกเขา ต่อไปก็จะไปถูกเขาหลอกเอาบ้าง ตายไปมีสิทธิ์ไปอบาย หรือเบาลงมาก็ต้องไปเป็นลูกสมุนของพวกอาจารย์วิทยาธรในสายสิง ๆ ทรง ๆ ต่อไป ไม่คุ้มกันเลยครับ ดีที่สุดให้หักดิบตัดใจอย่าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้อีก แล้วตั้งใจทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ตลอดชีวิต หมั่นอธิษฐานจิตให้พ้นจากวิบากกรรมและให้หลุดพ้นจากวงจรเหล่านั้น พร้อมทั้งอุทิศส่วนบุญไปให้แก่ผู้ที่เราเคยไปหลอกลวงเบียดเบียนเขามา และให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัยให้เป็นทั้งที่พึ่งและที่ระลึกแต่เพียงอย่างเดียวครับ ความชั่วแม้เพียงนิดอย่าคิดทำ อันความดีทำไปเถิดประเสริฐนัก...สาธุครับ

#3 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 21 March 2008 - 01:37 PM

ไม่ได้เป็นคนทรง แต่ทำตัวให้คนเชื่อว่าเป็นคนทรง

ทำไมถึงอยากเป็นคนทรง
เพราะมีความหลง คิดต้องการอยากเป็นใหญ่มีความสามารถเหนือคนอื่นๆ ให้คนอื่นยอมรับ นบนอบกราบไหว้ หลงภาคภูมิใจในสิ่งที่คนอื่นหลงชื่นชม ใจก็ไม่บริสุทธิ์แล้ว

คนที่ไปหาคนทรงก็มักจะเป็นพวกที่เดือนร้อนในเรื่องทางโลก อยากรวยแต่ขอรวยแบบทางลัด ขอเลขเด็ดซะสองสามตัว ไม่ก็กลุ้มใจคู่ชีวิตไม่รักไม่หลง เกลียดคนนั้นชอบคนนี้ช่วยทำให้ทีเถอะ หรืออยากเป็นใหญ่เป็นโต สอบเข้านั่นเข้านี่ให้ได้ ท่านเจ้าขาช่วยหน่อยนะเจ้าค่ะ ที่หนักกว่านั้นก็ เจ็บไข้ได้ป่วยแทนที่จะไปหาหมอก็มาหาคนทรงดูว่าถูกของถูกคุณไสยหรือเปล่า
แล้วคนทรงก็แนะนำให้ไปทำบุญเพื่อการเหล่านั้น คิดว่าการทำบุญเพื่อให้ถูกหวย ให้คนรักคนหลง ให้สอบเข้าได้ น่ะ เป็นคำแนะนำที่ถูกต้องหรือเปล่าล่ะครับ

การทำบุญต้องเพื่อการหลุดพ้นหรือเป็นปัจจัยสนับสนุนการหลุดพ้นเท่านั้น ใครที่แนะนำให้ทำบุญด้วยความหลงผิด รวมทั้งคนที่เชื่อและทำตามความคิดที่หลงผิดอย่างนั้น ไม่ว่าจะอีกกี่ภพกี่ชาติ ก็ต้องวนเวียนหลงเชื่อในสิ่งเหล่านี้เรื่อยไป จนกว่าจะคิดได้ว่า ทำบุญเพื่อการหลุดพ้นนั่นแหละถึงจะเลิกวิบากกรรมนี้ได้

อย่าเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้เลยครับ เอาเวลามานั่งธรรมะกันดีกว่า ทำใจใสๆเดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง

อนุโมทนาบุญด้วยครับ
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#4 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 21 March 2008 - 02:26 PM

ผมแค่สงสัยน่ะครับ คือพวกที่เป็นคนทรงพวกนี้ส่วนมากจะเดินอยู่ในสายของพวกวิทยาธรณ์อยู่แล้วซึ่งหากไม่หักดิบก็จะวนเวียนอยู่ในสายนี้ตลอดไปทุกชาติถูกไหมครับ ทีนี้ผมเลยสงสัยว่า แล้วพวกที่ไม่ได้เป็นคนทรงแต่แกล้งทำตัวเป็นคนทรงพวกนี้หากเขาประกอบกรรมเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ชาติต่อๆไปคนพวกนี้จะกลายเป็นคนทรงหรือไปอยู่ในสายพวกวิทยาธรณ์หรือเปล่าน่ะครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#5 Tanay007

Tanay007
  • Members
  • 616 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 March 2008 - 06:13 PM

เอาที่แน่ๆ เลยก็คือ วิบากกรรมของมุสาวาท เบาะๆ เลยก็คือ ความจำเสื่อมง่าย สับสนในสถานภาพของตัวเอง ว่าเราเข้าทรงเอง หรือคิดไปหว่า


#6 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 March 2008 - 06:44 PM

ถ้าแกล้งเป็นร่างทรงวิทยาธรสายขาว เช่น แนะนำให้ทำสังฆทาน สร้างโรงเรียนโรงพยาบาล ปล่อยสัตว์ปล่อยปลาเพื่อต่ออายุและรักษาโรค สอบผ่านได้ เป็นต้น ก็จะได้บุญปนบาป

บาปคือมุสาว่าตนเป็นร่างทรงเมื่อบาปส่งผลก็จะตกนรกขุม๔

ส่วนบุญเมื่อส่งผล ก็จะถูกสอนให้ทำดีด้วยความเชื่อที่ผิด เช่นทำทานเพื่อเอาใจท่านจ้าวของเขา โดยไม่ได้รับความรู้ที่ถูกต้องเป็นจริงของพระพุทธศาสนา เช่นกฏแห่งกรรม ซึ่งคนส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบันนี้ก็เป็นอย่างนี้ เช่นพวกเทวะนิยม เป็นต้น

ดังนั้น พวกเราจึงต้องอดทนเพียรพยายามพูดเขียนเทศน์แสดงธรรมเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องเป็นจริงเป็นหลักใหญ่สำคัญที่สุด สำคัญกว่าได้เงินบริจาคเยอะๆจากเขา โดยที่เขาไม่ได้รับความรู้ที่ถูกต้องเป็นจริงของพระพุทธศาสนาเลย

เพราะมิฉะนั้น ชาติหน้าเขาก็จะรวยมากๆแต่มิจฉาทิฐิไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งกว่าสายบุญในพระพุทธศาสนาจะส่งผล ก็เวลาที่เขาแก่มากแล้ว หรือไม่ก็ไปรวมๆส่งผลเอาชาติสุดท้ายเลย ชาตินี้ตายไปก็ยังมิจฉาทิฐิต่อไปอีก แต่มีอานุภาพมาก เพราะทำทานมามากๆเช่นเป็นเทวดามาร

แต่ถ้าเขาได้ความรู้พระพุทธศาสนาก่อนทำทาน ผลบุญก็จะทวีคูณ ชาติต่อๆไปเขาก็รวยตั้งแต่เกิดตลอดชีวิตในพระพุทธศาสนา เราเหนื่อยครั้งแรกๆแต่เขาจะสัมมาทิฐิไปทุกภพทุกชาติ โดยมีมรรคผลนิพพานเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่ชอบใจสนุกสนานในการเวียนว่ายตายเกิดดังที่คนสมัยนี้ชอบพูดเล่นกัน

ยิ่งสมัยนี้ตัดคำว่ามรรคผลนิพพานออกไปจากคำถวายสังฆทาน จะทำให้ชาวพุทธในชาตินี้ไปเกิดเป็นคนรวยนอกพระพุทธศาสนาในชาติต่อไป เพราะขาดเป้าหมายเข็มทิศหางเสือ ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก และจะเป็นงานหนักของพวกเราในชาติต่อๆไปในการดึงเขากลับมาบ้าน ถ้าไม่อยากเหนื่อยมากนักในชาติต่อๆไป ก็ต้องเอาคำว่ามรรคผลนิพพาน ใส่กลับเข้าไปในคำถวายสังฆทาน

ดังนั้น สัมมาทิฐิและทิฏฐุชุกัมม์ คือการทำความเห็นให้ตรงถูกต้องตามความเป็นจริงในพระพุทธศาสนาจึงสำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แล้วเราจะได้ไม่ต้องสงสัยอีกว่า ทำไมชาวพุทธถึงรวยน้อยกว่าทั้งๆที่เป็นเนื้อนาบุญมากกว่า ก็เพราะชาติก่อนๆเราชาวพุทธชวนเขาทำทานในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยมที่สุด แต่ไม่ได้ให้สัมมาทิฐิแก่เขา ชาติต่อๆไปเขาก็ไปเกิดและรวยนอกพระพุทธศาสนา และรวยมากกว่าคนชวนเพราะเขาทำทานมากกว่าคนชวน

ส่วนชาวพุทธที่บุญมากๆสุดๆ กล่าวคือทำทานมากสุดๆด้วยและมีความรู้มากสุดๆในพระพุทธศาสนาด้วย ก็บรรลุนิพพานไปหมดแล้ว หรือไม่ก็อยู่บนสวรรค์ รูปพรหมและอรูปพรหม ซึ่งเป็นชาวพุทธเป็นส่วนใหญ่และมักอยู่ตรงกลางของภพและมักเป็นผู้ปกครองภพและมีจำนวนมากกว่าคนบนโลกนี้อีก(ในยุคที่พระพุทธศาสนายังเจริญอยู่)

#7 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 21 March 2008 - 08:42 PM

QUOTE
บุคคลจำพวกนี้จะถือว่าได้ก่อเหตุหรือสร้างผังเพาะเชื้อคนทรงหรือเปล่า


เห็นด้วยและอนุโมทนา กับความคิดเห็นของนรอ. suppy001 / ทัพพีในหม้อ / Tanay007 / DJ96.25PM2-3
ด้วยนะครับ สาธุ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่นักเรียนอนุบาล DJ96.25PM2-3 กล่าวไว้ดีแล้วว่า

QUOTE
ดังนั้นสัมมาทิฐิและทิฏฐุชุกัมม์คือการทำความเห็นให้ตรงถูกต้องตามความเป็นจริงจึงสำคัญมาก


คุณประโยชน์ที่ตรงเป้าหมายใจดำ มากที่สุด
ของการสดับธรรมของสัตบุรุษ ของการสนทนาธรรม ของการคบบัณฑิตและกัลยาณมิตร
ไปกระทั่งถึงคุณประโยชน์ของการบังเกิดขึ้นของพระสัพพัญญูพุทธะ

คือ สัมมาทิฐิและทิฏฐุชุกัมม์

ซึ่งก็มีความลุ่มลึก / ละเอียดหลายระดับ

ตั้งแต่ สัมมาทิฐิและทิฏฐุชุกัมมของกัลยาณปุถุชน ในเสขะบุคคลไปถึงอเสขะบุคคล

ส่วนการละชั่ว + ทำดี เช่น กุศลกรรมบทและบุญกิริยาวัตถุ ได้บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา นั้น
แม้เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ก็จริง
แต่หากว่า ทำไปโดยขาดสัมมาทิฐิและทิฏฐุชุกัมม์

ก็อาจกลายเป็นว่า สร้างกุศลปนโลภะ สร้างกุศลปนโทสะ สร้างกุสศลปนโมหะ ได้ครับ

เช่น
ทำทาน รักษาศีล เพราะอยากรวย หรือปรารถนาโลกียะสุข ในมนุษย์สมบัติ และทิพยสมบัติ

หรือ สร้างทานบารมี เพราะอยากได้พระของขวัญรุ่นนั้น รุ่นนี้ อย่างแรง
หรือทำบุญเพราะอยากได้หน้า ได้การยอมรับจากคนอื่น ฯล

แบบนี้พอเรียกได้ว่า สร้างทานกุศล ปนโลภะ

หรือ ตั้งใจนั่งสมาธิ เจริญภาวนา ฌาน สมาบัติ
ทำเพื่อมุ่งฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ คงกระพันชาตรี หรือแบบฤษี วิทยาธร

หรือมุ่งความหลุดพ้น แต่เนื่องจากวางใจไม่ถูกมัชฌิมา ไม่ตรงเอกายนมรรค
จึงไปติดอยู่ที่อรูปฌาน อรูปภพ เป็นต้น

แบบนี้พอเรียกได้ว่า สร้างกุศล ด้วยกุศลจิต จริงแต่ปนอวิชชา ปนโมหะ

กลับมาที่

QUOTE
แล้วชาติต่อไปจะกลายเป็นคนทรงจริงหรือไม่

เข้าใจว่า
หากประกอบเหตุไว้แล้ว เมื่อวิบากกกรมส่งผล
ย่อมวนเวียนอยู่ในวงจรของพวกที่ชอบสิง ๆ ทรง ๆ
ตั้งแต่ เป็นคนทรง ซะเอง หรือนับถือเรื่องเหล่านี้

แม้ไม่นับถือ ก็ต้องมีเหตุ ให้ทุกข์ร้อนใจให้เสียทรัพย์ เสียศีล ถูกเบียดเบียนจากวงจรเหล่านี้ครับ

#8 ศิษย์หลวงปู่ หลวงพ่อ และคุณยาย

ศิษย์หลวงปู่ หลวงพ่อ และคุณยาย
  • Members
  • 17 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 March 2008 - 07:40 AM

สาธุ ครับ... ธรรมะของแต่ละท่านช่างละเอียดกันจริงๆ เลย

#9 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 March 2008 - 12:32 AM

ขอขอบคุณ คุณDd2683 ครับ
เพิ่งย้อนกลับมาอ่าน
อธิบายได้งดงาม
เหมือนภาพวาดวิจิตร
หวังว่าอนาคตคงได้สนทนาธรรมกัน
กับพระหัดฝันและพระหยุดอะตอมใจ

#10 *สันติภาพ*

*สันติภาพ*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 26 November 2010 - 10:31 PM

ครอบครัวแตกแยกเป็นบากทางใจ

#11 *สันติภาพ*

*สันติภาพ*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 26 November 2010 - 10:34 PM

คนมีปัญญาย่อมหลีกเลี่ยงสิ่งนี้