ขอเชิญออกเดทกันครับ
#1
โพสต์เมื่อ 03 April 2008 - 05:03 PM
>
> หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปี
> ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
>
> เพราะวันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง
> มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ
>
> ' ฉันรู้ว่าคุณรัก เธอ ' ภรรยาผมว่า
>
> ' แต่ผมรักคุณนี่ ' ผมเถียง
>
> ' ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน '
>
> ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ แม่ของผมเอง ซึ่งเป็นหม้ายมา 19ปีแล้ว
>
> เนื่องจากงานที่รัดตัวและต้องดูแลลูก ๆ
> ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น
>
> วันที่ผมโทรไปหาแม่เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนัง
>
> แม่ถามว่า ' มีอะไรหรือ ? ลูกสบายดีรึเปล่า ? '
>
> แม่ผมเป็นผู้หญิงประเภทที่คิดว่าการที่คนโทรมาหากลางดึก หรือเชิญอย่างกระทันหัน
>
> หมายความว่ามีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น ผ มตอบแม่ว่า
> 'ผมว่าดีออกถ้าเราได้ใช้เวลากันตามลำพังสองคน
> แม่ลูกบ้าง '
>
> แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า ' แม่ยินดีมากเลยจ้ะ '
>
> เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน
> ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
> เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่า
> แม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน
> แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว
>
> แม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย
> พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์
>
> ' แม่บอกเพื่อนๆว่าแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกชายพวกเขาประทับใจกันใหญ่ '
> แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ
>
> ' พวกเขารอฟังแทบไม่ไหวเลย '
>
> เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยมและบรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ
>
> แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลข หนึ่ง
>
> หลังจากที่เรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่าย อ่านเมนูอาหาร เพราะสายตาของแม ่อ่าน
> ได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่า นั้น
> เมื่อผมอ่านเมนูอองเทรไปได้เพียงครึ่ง
>
> ผมเงยขึ้นมองเห็นแม่กำลังมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง
>
> 'ตอนที่ลูกยังเล็กนั้น แม่ต้องเป็นคนอ่านเมนูให้ลูกฟัง' แม่ว่า
>
> ' งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบาย ๆ บ้าง ' ผมตอบ
>
> ในระหว่างมื้ออาหารนั้น
>
> เราคุยกันอย่างถูกคอ - ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร -
> เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเรา
>
> เป็นยังไงทำอะไรที่ไหนมาบ้าง เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน
>
> เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า ' แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ
>
> แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ '
>
> ผมตอบตกลง
>
> ' ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง ?' ภรรยาถามเมื่อผมกลับถึงบ้าน
>
> ' ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย ' ผมตอบ
>
> ไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบ พลัน
>
> มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย
>
> หลายวันต่อมา ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัต ตาคารที่ผมกับแม่เคยไป
>
> มีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า
>
> 'แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปไม่ได้
> แต่อย่างไรก็ตาม แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือลูกกับภรรยา
> ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มาก แค่ไหน , รักลูกจ้ะ'
>
> วินาทีนั้น ผมเข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า ' รัก '
> ต่อคนที่เรารักในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน
>
> ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ
> จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ
>
> เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้
>
> บางคนบอกว่า หลังจากที่คุณคลอดบุตรแล้วต้องใช้เวลาราว 6 สัปดาห์จึงจะคืนสู่สภาพเดิม
>
> คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่าคนเดิมอีกต่อไป
>
> บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ
>
> คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เก็ต
>
> บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ
>
> คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับหลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาดๆ
>
> บางคน บอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง
>
> คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้และใบรับประกัน
>
> บางคนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก
>
> คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมาทันได้เห็นลูกหวดลูกกอล์ฟเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้าน
> พอดิบพอดี
>
> บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ ได้
>
> คนนั้นไม่เคยช่วยลูกประสมสี่ทำการบ้านเลย
>
> บางคนบอกว่า แม่รักลูกคนที่ห้าไม่เท่าลูกคนแรก
>
> คนนั้นไม่เคยมีลูกห้าคน
>
> บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่คือตอนเลี้ยงและตอนคลอด
>
> คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนอนุบาลวัน แรก หรือขึ้นเครื่องบินไปบู๊ทแคมป์ของทหาร
>
> บางคนบอกว่า งานของแม่นั้นหมู ๆ ปิดตาสองข้าง หรือมัดมือไว้ข้างหนึ่งก็ยังได้
>
> คนนั้นไม่เคยสอนการออกเดินขายคุ๊กกี้ให้กับเหล่า ยุวนารี 7 คนที่กระจุ๊กกระจิ๊กคิกคักกันอยู่ตลอด
> เวลา
>
> บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป
>
> คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือการนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่
>
> บางคนบอกว่างานของ แม่สิ้นสุดลงเมื่อลูกคนสุดท้ายออกจากบ้านไป
>
> คนนั้นไม่เคยมีหลานยาย หรือหลานย่า
>
> บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้
>
> คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน
>
>
> โปรดส่งต่อถึงทุกคนที่เป็น ' แม่ ' และทุกคนที่มี ' แม่'
#2
โพสต์เมื่อ 03 April 2008 - 06:39 PM
ขอนำไปแบ่งปันเพื่อน ๆ ต่อ นะครับ
#3
โพสต์เมื่อ 03 April 2008 - 08:00 PM
#4
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 07:24 AM
#5
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 08:16 AM
หากใครมีโอกาส ก็อย่าปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปนะ
สาธุ..
#6
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 08:20 AM
#7
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 08:58 AM
ขออนุโมทนากับบทความดีๆเช่นนี้ด้วยนะครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#8
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 09:38 AM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#9
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 09:42 AM
ขอบคุณครับ
#10
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 10:07 AM
ขอบคุณค๊ะคุณสิริปโภ นำเรื่องดีๆ มาเล่าสู่กันฟัง
อนุโมทนาบุญกับสิ่งดี ๆ ที่คุณปฎิบัติกับคุณแม่ด้วยค๊ะ สาธุ
ว่าแล้วขอแนะนำหนังสือดี ๆ ที่ทุกคนควรอ่านเกี่ยวกับ"แม่" คือหนังสือ "หยุดความเลวที่..ไล่ล่าคุณ"
โดย พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน และ สมคิด ลวางกูร ใครอ่านเป็นร้องไห้ทุกคน ถ้าใจแข็งหน่อยก็น้ำตาคลอเลยหละ ส่วนเราอ่านแล้วน้ำตาไหลหลาก ๆ เลยหละ มีเรื่องเกี่ยวกับความรักของพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จย่าด้วย เป็นหนังสือที่ดีมากๆเลยหละ รองไปหาอ่านดูน๊ะค๊ะ
100กะรัต
#11
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 11:20 AM
#12
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 04:09 PM
๑.กุศลธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีขาวใส กายในกายขาวใสทั้งหมด เรียกว่าภาคพระ ภาคขาว ภาคบุญ
๒.อกุศลาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีดำ กายในกายดำทั้งหมด เรียกว่า ภาคมาร ภาคดำ ภาคบาป
๓.อัพยากตาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอัพยากตา เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีตะกั่วตัด กายในกายสีตะกั่วตัดทั้งหมด เรียกว่า ภาคกลาง ภาคไม่บูญไม่บาป
ทั้ง ๓ ธาตุธรรมนี้ ย่อมมีต้นธาตุ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมตลอดสาย
ต้นธาตุถือเป็นผู้บัญชาการในธาตุธรรมนั้นๆ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมในนิพพาน
#13
โพสต์เมื่อ 04 April 2008 - 08:00 PM
รักแม่นะ ( ซ้อมไว้ๆ จะได้คล่องปาก เวลาบอกต่อหน้า )
#14
โพสต์เมื่อ 05 April 2008 - 07:31 PM
#15
โพสต์เมื่อ 05 April 2008 - 10:51 PM
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..