![รูปภาพ](http://www.gravatar.com/avatar/4b28c93a8df8f08b408c1fb8f3057ac5?s=100&d=https%3A%2F%2Fwww.dmc.tv%2Fforum%2Fpublic%2Fstyle_images%2Fmaster%2Fprofile%2Fdefault_large.png)
สงสัยเล็กน้อย
#1
โพสต์เมื่อ 28 April 2008 - 09:12 AM
๑.กุศลธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีขาวใส กายในกายขาวใสทั้งหมด เรียกว่าภาคพระ ภาคขาว ภาคบุญ
๒.อกุศลาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีดำ กายในกายดำทั้งหมด เรียกว่า ภาคมาร ภาคดำ ภาคบาป
๓.อัพยากตาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอัพยากตา เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีตะกั่วตัด กายในกายสีตะกั่วตัดทั้งหมด เรียกว่า ภาคกลาง ภาคไม่บูญไม่บาป
ทั้ง ๓ ธาตุธรรมนี้ ย่อมมีต้นธาตุ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมตลอดสาย
ต้นธาตุถือเป็นผู้บัญชาการในธาตุธรรมนั้นๆ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมในนิพพาน
#2
โพสต์เมื่อ 28 April 2008 - 09:31 AM
มิใช่ห้ามแค่แตะตัวเท่านั้นนะครับ แม้แต่จะอยู่ด้วยกัน2ต่อ2ทั้งในที่ลับหรือในที่แจ้งก็ดี จะพูดคุยกันแบบ2ต่อ2ทั้งในที่ลับหรือที่แจ้งก็ดี เดินด้วยกัน2ต่อ2ทั้งในที่ลับหรือที่แจ้งก็ดี ผิดวินัยสงฆ์ทั้งสิ้น
ยิ่งในปัจจุบันนี้ยิ่งอันตรายครับ เพราะสมัยนี้ผู้หญิงบางท่านไม่ว่าจะวัยรุ่น กลางคน หลายท่านชอบนุ่งน้อยห่มน้อยเข้าวัด บางท่านแม้ไม่นุ่งน้อยห่มน้อยแต่ใส่ชุดรัดรูป ทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ยิ่งไม่เหมาะที่จะเข้าหาและใกล้ชิดพระภิกษุสงฆ์เด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้กามกำเริบแล้ว ตนเองจะบาปหนาด้วยครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 28 April 2008 - 09:34 AM
และทำไม พระพุทธเจ้าบัญญัติกฎว่า ห้ามอยู่กับมาตุคาม 2 ต่อ 2 ด้วยครับ
๑.กุศลธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีขาวใส กายในกายขาวใสทั้งหมด เรียกว่าภาคพระ ภาคขาว ภาคบุญ
๒.อกุศลาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีดำ กายในกายดำทั้งหมด เรียกว่า ภาคมาร ภาคดำ ภาคบาป
๓.อัพยากตาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอัพยากตา เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีตะกั่วตัด กายในกายสีตะกั่วตัดทั้งหมด เรียกว่า ภาคกลาง ภาคไม่บูญไม่บาป
ทั้ง ๓ ธาตุธรรมนี้ ย่อมมีต้นธาตุ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมตลอดสาย
ต้นธาตุถือเป็นผู้บัญชาการในธาตุธรรมนั้นๆ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมในนิพพาน
#4
โพสต์เมื่อ 28 April 2008 - 09:49 AM
#5
โพสต์เมื่อ 28 April 2008 - 10:13 AM
#6
โพสต์เมื่อ 28 April 2008 - 11:27 AM
สาเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติเพราะพระองค์ทรงเล็งเห็นโทษภัยที่จะก่อให้เกิดข้าศึกแห่งพรหมจรรย์ อีกทั้งในสมัยพุทธการณ์เคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์และตำหนิติเตียนทั้งหมู่มนุษย์และเทวา และเพื่อป้องกันเหตุที่จะเกิดในภายหน้าพระองค์จึงทรงบัญญัติสิขาบทเอาไว้ ซึ่งเกือบครึ่งของสิกขาบทเกี่ยวกับมาตุคามทั้งสิ้น มีทั้งในเพศภิกษุณี และคฤหัตน์ ผมขอยกตัวอย่างเฉพาะสิกขาบทที่เกี่ยวกับมาตุคามให้ศึกษากันนะครับ ไม่รวมภิกษุณี เพราะถ้ารวมล่ะก็ เยอะทีเดียวครับ
ปาราชิก มี 4 ข้อ
1. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
สังฆาทิเสส มี 13 ข้อ
2.เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
3.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
4.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน
5.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
อนิยตกัณฑ์ มี 2 ข้อ่
1. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
2. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
ปาจิตตีย์ มี 92 ข้อ
6.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
7.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
44.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
45.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
67.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#7
โพสต์เมื่อ 28 April 2008 - 03:47 PM
น. ผู้หญิง, เพศหญิง, (เป็นคำที่พระใช้เรียกผู้หญิง). (ป.).
อิตถี
[อิดถี] น. หญิง. (ป.; ส. สฺตฺรี).
อิตถีภาวะ
ความเป็นหญิง , สภาวะที่ทำให้ปรากฏลักษณะอาการต่างๆ อันแสดงถึงความเป็นเพศหญิง เป็นภาวรูป
หามาให้ศึกษาเพิ่มเติมกันครับ จากพจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน
สาธุ
#8
โพสต์เมื่อ 29 April 2008 - 05:37 PM
สาธุ....^/\^
อยากรู้จักศีลทั้ง 227 ข้อจังค่ะ^^
#9
โพสต์เมื่อ 29 April 2008 - 05:45 PM
คาม แปลว่า เรือน
ตรงตัวก็เป็น แม่บ้าน แม่เรือน หมายถึง สตรีครับ (สตรี คือศัตรูของผู้ประพฤติพรหมจรรย์) รูปใดในโลกไม่น่าใคร่เท่ารูปสตรี เสียงใดในโลกไม่น่าใคร่เท่าเสียงสตรี กลิ่นใดในโลกไม่น่าใคร่เท่ากลิ่นสตรี รสใดในโลกไม่น่าใคร่เท่ารส(กาม)สตรี สัมผัสใดในโลกไม่น่าใคร่เท่า สัมผัสในสตรี
สตรี คือ ศัตรูของผู้ออกจากเรือน
โออีกแล้วครับท่าน
#10
โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 08:18 AM
http://th.wikipedia....rg/wiki/ศีล_227
แปลไทยทั้งหมดจ้า
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย