ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

โลกร้อนเเก้ได้ด้วยสมาธิเป็นอย่างไร


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ตะกร้าอีกใบ

ตะกร้าอีกใบ
  • Members
  • 1297 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2008 - 06:27 PM

โลกร้อนเเก้ได้ด้วยสมาธิเป็นอย่างไร
สมาธิช่วยหยุดโลกร้อนได้จริงหรือ

ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยครับ คือจะทำภาพประกวดโครงการลดโลกร้อน เลยคุ้นว่าสมาธิช่วยได้แต่ไม่เข้าใจครับ
ขอบคุณครับ
อย่าขาดการปฏิบัติธรรมแม้แต่เพียงวันเดียว
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง

7 ส.ค. 48



#2 eq072

eq072
  • Members
  • 504 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2008 - 07:07 PM

จำคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะ เรื่อง ศีล
ว่าโลกร้อนขึ้นเพราะคนเราไม่รักษาศีล

ถ้าเรารักษาศีล เหมือนเอาท่อนฟืนร้อน ๆ ออกจากโลกคนละท่อน
โลกก็จะร่มเย็นสงบสุข ไม่มีสงคราม ประมาณนี้นะครับ

#3 Jeabka

Jeabka
  • Members
  • 248 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2008 - 07:26 PM

มันน่ามาจากผลของการศึกษาธรรมะและการนำไปปฎิบัติอย่างถูกต้อง แบบไม่ใช่ดีแต่ปากน่ะคะ สมาธิก็ส่วนหนึ่งอ่ะคะ ผลจากสมาธิที่ดีๆ ตัวเราจะได้รับความสุขจากสมาธิแล้ว เราย่อมนึกถึงคนอื่น อย่างน้อยๆ คนที่เรารัก คนใกล้ตัวเรา ให้เค้ารับความสุขเหมือนเรา เมื่อคนเราถึงจุด ๆ หนึ่ง พบความสุขแท้ๆ ความสุขจากสมาธิ มันแผ่ขยายไปจากคน1ไป10 จาก 10 เป็น 100 เป็นปฎิกิริยาลูกโซ่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ต่างมอบความรักให้แก่กัน เมื่อคนเรารักกัน ย่อมมอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับคนรักใช่เปล่าคะ เพราะผลจากสมาธิ จากศีล มันจะลดการเห็นแก่ตัวลงไปเยอะ,เห็นกับประโยชน์โดยรวมมากขึ้น,การเอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น,ไม่ตัวใครตัวมันจนเกินไป อะไรดี ๆ สิ่งที่ดี ๆ ก็น่าเกิดขึ้น

#4 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2008 - 08:20 PM

สมาธิให้ความสุขภายในใจเต็มๆ

จึงไม่ต้องหาความสุขภายนอก(เช่นวัตถุ)อย่างผิดๆ

อาชญากรรม,สงครามแย่งชิงทรัพยากร,ก็จะหมดไป

เมื่อโรงงานผลิตวัตถุน้อยลง โลกก็มลภาวะลดลง

(นั่งสมาธิแล้วจะไม่บ้าshoppingซื้อของรกบ้าน)

#5 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 29 April 2008 - 09:47 PM

ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ ตัวอย่างง่ายๆเราลองเข้าไปไกล้ๆคนที่กินเหล้าเมายาพฤติกรรมหยาบโลนสุดๆ รับรองว่า ทนนั่งอยู่ไกล้ๆได้ไม่นานหรอกครับ เต็มที่ให้10นาที เดี๋ยวคุณก็ต้องลุกหนีแน่นอน

ตรงกันข้าม ถ้าคุณลองมานั่งไกล้ๆคนที่มีศีลมีธรรมสุภาพเรียบร้อยพูดจาภาษษดอกไม้ คุณก็จะเพลิดเพลินชุ่มชื้นใจอยากจะอยู่ไกล้ อยากจะพูดคุยสนทนาไปตลอด บางทีเผลอแปบเดียวเป็นชั่วโมงเข้าไปแล้ว โดยที่เราไม่รู้สึกเบื่อเลย

เพะราะฉนั้นนี่เป็นข้อแตกต่างระหว่างคน2คนที่มีศีลกับไม่มีศีล มันแตกต่างทั้งในตัวบุคคลและบรรยากาศรอบๆตัวคนนั้นจริงๆ ลองนึกภาพดูถ้ามีคนทุศีลกักขฬะแบบที่ว่ารวมๆกันสัก200-300คน บรรยากาศแถวนั้นจะเป็นยังไงครับคงจะดูไม่จืดเลย น้องๆนรกดีดีนี่เอง แต่ถ้าลองมาดูคนมีศีลธรรมสุภาพเรียบร้อย มารวมกันเป็นหมื่นๆ ถึงอากาศจะร้อนแค่ไหนแต่บรรยากาศก็ยังงดงามเย็นตาเย็นใจอยู่ดี ดังเช่นวันที่22เมษาที่ผ่านมาเป็นต้น

ศีลธรรมค้ำจุนโลก ชัวร์ครับ





#6 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 07:34 AM

จิตใจของมนุษย์จะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ในยุคที่มนุษย์มีศีลธรรมสูง มีศี ๕ เป็นปกติ โลกจะน่าอยู่มากคล้าย ๆ กับสวรรค์เลยทีเดียว ผู้คนไม่ต้องทำมาหากินก็อยู่ได้ ผลไม้ พืชพรรณต่าง ๆ มีรสโอชา มีสรรพคุณสูง ทำให้คนไม่มีโรค อายุขัยยืนยาว เป็นต้น แต่ในยุคที่คนมีจิตใจต่ำ ประพฤติผิดศีล ผิดธรรม จะส่งผลทำให้เกิดภัยภิบัติต่าง ๆ เกิดโรคร้ายระบาด ข้าวยากหมากแพง ผู้คนจะเดือดร้อน ดังข้อความข้างล่างนี้

"ต่อไปอายุมนุษย์จะลดลงไปเรื่อยๆ จากเกณฑ์อายุมาตรฐาน ๗๕ จะเหลือเพียง ๗๐ ๕๐ ๓๐ ๒๐ ลดลงไปเรื่อยๆ เหลือเพียง ๑๐ ปี เมื่ออายุมนุษย์ลดลงไปจนเหลือ ๑๐ ปี เด็กชายเด็กหญิงเมื่อมีอายุเพียง ๕ ปี ก็สามารถแต่งงานกันได้แล้ว ในสมัยนั้น รสของเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือ จะอันตรธานไปหมด เหลือเพียงหญ้ากับแก้ ที่จะเป็นอาหารอย่างดี ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมนุษย์ไม่ได้ประกอบกุศลกรรม ๑๐ ประการ

เมื่อหันมองไปรอบทิศ ไม่มีกัลยาณมิตรผู้ชี้หนทางสวรรค์นิพพานแม้เพียงคนเดียว มีแต่ผู้ที่ประกอบบาปอกุศล ลูกไม่ปฏิบัติชอบในมารดาบิดา ไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ทุกคนไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่ภรรยา มนุษยโลกจะสมสู่ปะปนกันไปหมด เหมือนสัตว์ดิรัจฉานที่สมสู่กันโดยไม่มีความละอายเมื่อประกอบอกุศลกรรมมากเข้า แต่ละคนจะเกิดความอาฆาตพยาบาท คิดร้ายต่อกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี ต่างเกิดความอาฆาตพยาบาท คิดร้ายหมาย จะฆ่ากันเอง

เมื่อต่างคนต่างหมายใจจะเข่นฆ่าคนอื่น สงครามนองเลือดจึงเกิดขึ้น สมัยนั้น สัตถันตรกัปจะเกิดขึ้น ๗ วัน คือ พวกมนุษย์จะสำคัญกันและกันว่า เป็นเนื้อ ศัสตราอาวุธจะปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือของพวกมนุษย์เองโดยอัตโนมัติ เมื่อทุกคนมีอาวุธในมือ ก็จะเข่นฆ่ากันเองเพราะสำคัญว่า นี่คือเนื้อ ส่วนพวกมนุษย์ที่ไม่อยากฆ่าใคร และไม่อยากให้ใครมาฆ่า จะพากันหลบหลีกเข้าป่า ซ่อนตัวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้บ้าง อยู่ตามเกาะ ตามซอกเขาบ้าง โดยมีผลหมากรากไม้ในป่าเป็นอาหาร มนุษย์เหล่านั้นจะพากันหลบซ่อนตัวอยู่ ๗ วัน ครั้นล่วง ๗ วันจึงพากันออกจากป่า เมื่อมาเจอกันก็ดีอกดีใจ จึงปรึกษากันว่า เราถึงความสิ้นญาติอย่างใหญ่ถึงปานนี้ เพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราควรงดเว้นปาณาติบาต"

ที่มา*(มก.จักกวัตติสูตร เล่ม ๑๕ หน้า ๑๑๙)

ดังนั้นจะเห็นว่าการทำใจให้สงบผ่องใสด้วยการฝึกสมาธิจะมีผลทำให้สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้อย่างแน่นอน จึงขอเชิญชวนทุก ๆ ท่านมานั่งสมาธิกันนะครับ...สาธุครับ

แม้มืดตื่อมืดมิด ก็มีสิทธิเข้าถึงธรรม


#7 สิงโตเกเร

สิงโตเกเร
  • Members
  • 164 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 08:12 AM

เริ่มจากตัวเอง จากที่บ้าน แล้วไปต่อที่วัด......

#8 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 02:19 PM

มีอีกเรื่องค่ะ ที่เชื่อมโยง คือเรื่องบุญ
เมื่อถือศีล = ก่อให้เกิดกระแสบุญ
เมื่อนั่งสมาธิ = ก่อให้เกิดกระแสบุญ

ยิ่งเรามีบุญมากเท่าไหร่ ชีวิตก็ยิ่งสะดวกสบาย ไม่ต้องเจอกับความทุกข์ยาก ลำบาก
เพราะโลกร้อน = ความยากลำบากในการดำรงค์ชีวิต

ขออ้างอิงถึงสถานปฏิบัติธรรม (ผิดถูกอย่างไร กรุณาท้วงติงด้วยนะคะ)
เคยสังเกตุไม๊คะ ว่าดอกไม้ที่สวนพนาวัฒน์ แต่ละดอกงดงาม และมีขนาดใหญ่มาก ในหนึ่งปีคิดว่าน่าจะมีการลงแปลงดอกไม้ใหม่ประมาณ 2-3 รอบ
แต่ที่สวนป่าหิมวันต์ ขนาดของดอกไม้ยังไม่งดงามเท่า อากาศยังไม่สบายเท่า ทั้งที่อยู่ภูเขาเหมือนกัน
โดยส่วนตัวคิดว่าคนที่ดูแลแปลงต้นไม้ ดอกไม้ ดิดว่าคนที่ดูแล ก็มีความเอาใจใส่พอๆ กัน
แต่ที่พนาวัฒน์ สร้างมานานแล้ว คือมีผู้มีบุญมากมาย ไปสร้างกระแสบุญที่นั่น (คือการถือศีล นั่งสมาธิ ให้ทาน) มานานและมากกว่าที่สวนป่าหิมวันต์ จึงส่งผลให้ดอกไม้และบรรยากาศที่พนาวัฒน์สวยงามกว่า

และอีกตัวอย่าง เคยไปที่ธุดงค์สถานเขาแก้วเสด็จ
พระรูปหนึ่งท่านบอกว่า ต้องฝึกเณรให้นั่งสมาธิให้ได้ดีๆ คือได้ดวงแก้ว ได้ธรรมกาย ที่นี่จะได้มีอากาศดี ไ่ม่ร้อนเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ที่นั่นมีต้นไม้..ไม่ถือว่าน้อย แต่ต้นไม้ไม่ค่อยงาม
ไปที่นั่นครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 12 เม.ย. (ห่างจากเมื่อไปครั้งแรกประมาณ ครึ่งปี) งานบวชสามเณรภาคฤดูร้อน 500 รูป แม้แดดจะร้อนแรง แต่ความร้อนแรงนั้นไม่สามารถยังความเดือดเนื้อร้อนใจ หงุดหงิดให้เกิดขึ้น แม้ร้อนกาย จนขนาดตาลาย พื้นเริ่มโคลงเคลง แต่กลับไม่ร้อนใจ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#9 Jeabka

Jeabka
  • Members
  • 248 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 10:55 AM

เพิ่มเติมคะ จากหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต หน้า 12 ข้อ 8
ในชีวิตประจำวัน มนุษย์ปุถุชน หรือที่ ดร.จอห์น เฮเกลิน เรียกว่า ศักยภาพของจิต(ในหนังสือเดอะซีเคร็ต หน้า179) เพียงแค่ 5% ถ้ามนุษย์ทุกคนสามารถฝึกใช้สติได้เพิ่มเป็น 10% โลกเราคงน่าอยู่ และมีความสุขสงบมากกว่านี้ และถ้ามนุษย์ทุกคนสามารถฝึกสติได้ 25% แปลว่า ทุกคนเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน โลกจะมีแต่ความสันติร่มเย็น ยิ่งไปกว่านั้น หากเมื่อใดมนุษย์ทุกคนสามารถฝึกสติได้เต็มร้อย ยุคพระศรีอาริย์ คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

#10 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 01:21 PM

Top secret ไม่ใช่พระไตรปิฏก อย่าเชื่อถือ หนังสือในโลกนี้นั้น อ่านพอได้ข้อมูลรู้เขารู้เราเท่านั้นก็พอแล้ว

นักประพันธ์ในโลกนี้ทั้งหลายก็คิดเองอือเองทั้งนั้น ส่วนมากก็ยังเป็นมนุสเปโตบ้าง ปุถุุชนบ้าง ทั้งกินเหล้าสูบบุหรี่

เล่นการพนัน ศีลไม่มีสักข้อ จะหา"มนุสเทโว"ก็ยากเหลือเกิน เพื่อนผมหลายคนก็เป็นนักคิดนักเขียน

ไปไหนมาไหนมีแฟนคลับขอลายเซ็น แต่ยังมิจฉาทิฐิอยู่เลย

น้องๆหลานๆวัดเราเป็นคนดีมากๆ ผมขอชื่นชมชมเชย แต่อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ

innocent ใช้ตอนนั่งสมาธิ, แต่ make sense ใช้เวลาไม่ได้นั่งสมาธิ

เชื่อพระพุทธเจ้า หลวงปู่ คุณยาย หลวงพ่อ๒รูปและพระไตรปิฏกก็พอแล้ว


แล้วพระโสดาบันไปเกี่ยวอะไรกับสติ๒๐% ที่่ถูกต้องนั้น ต้องสติ๑๐๐% ณ. ศูนย์กลางกายของพระธรรมกายพระ

โสดาบัน นี่ก็เป็นวิธีบิดเบือนแก่นพระพุทธศาสนา ทำของบริสุทธิ์ให้แปดเปื้อน

ขบวนการนี้เริ่มตั้งแต่โปรโมทหนังสือ(ดังจากนอก)แปลThe Secretโดยคนแปลพวกเดียวกัน แล้วโหนกระแสออก

Top Secret(คนไทยเขียนเอง,ไม่ใช่แปลจากฝรั่ง)มาล้างสมองเด็กรุ่นใหม่

เขาต้องการล้างสมองว่า จะเป็นพระอริยบุคคลนะง่ายๆ ฝึกสติไว๒๐%ก็เป็นโสดา ๔๐%ก็สกทาคา ๖๐ก็อนาคา

๘๐ก็อรหันต์ ๑๐๐ก็พระพุทธเจ้า ซึ่งมันไม่ใช่ง่ายๆตื้นๆกระจอกๆแค่นี้หรอกครับ

มันต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระธรรรมกายพระโสดาบัน และด้วยญานทัสสนะด้วยดวงตาของธรรมกายพระ

โสดาบัน จึงเป็นวิปัสสนาตัดสังโยชน์๓ข้อแรกได้เป็นพระโสดาบัน ต้องอาศัยทั้งบุญเก่าบุญใหม่ทานศีลสมาธิ

สติปัญญาศรัทธาฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา(อิทธิบาท๔และพละ๕และตัดนิวรณ์๕)

(ถ้าเน้นฝึกสติอย่างเดียวก็รู้เลยว่าผิด) ไม่ใช่แค่สติ๒๐%แล้วก็วางแผนชมนิวตันว่าสติไวมากกว่าคนทั่วไป

เพื่อให้คนอ่านคิดไปเองว่านิวตันใกล้ๆโสดา,โธ่,แผนการตลาดตื้นๆ(ประมาณว่าพุทธ=วิทย์, นักวิทย์=อริยบุคคล)

ถ้าขึ้นต้นว่าคนใช้สมอง๑๐% นั่นก็โกหกแล้ว เชิญไปหาความจริงในwebsiteที่ทั่วโลกเชื่อถือ

http://www.snopes.co...s/10percent.asp

ดร.จอห์น เฮเกลิน ลองหาในกูเกิ้ลก็มีเพียง๒บทความสั้นมากๆไร้สาระที่เหมือนๆกัน

แต่ไม่มีชื่ออังกฤษให้ไปหาในทั่วโลกได้ ลักษณะนี้ก็ดร.โนเนมกำมะลอ

อยากขอให้พวกเราหมั่นเข้า www.snopes.com เพื่อศึกษาแยกเรื่องจริงเท็จในโลก อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ

ทุกวันนี้โลกไม่ได้เอาชนะด้วยอาวุธ แต่ปกครองโลกด้วย """""""""" มุสา """"""""""

ลองคีย์คำว่า "spin doctor" by google. แล้วจะรู้ว่าผู้นำทั่วโลกล้วนมุสา แม้แต่เรื่องโลกร้อน,อิรัก,ฯลฯ

top secret นี่ เด็กๆไปเลย

#11 Jeabka

Jeabka
  • Members
  • 248 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 May 2008 - 07:31 PM

ขอบคุณคะ คุณDJ96.25PM2-3 ได้ความรู้เยอะเลย
อ่านไปแล้วก็ตรองไปด้วย
เออ!....สติ 10% เนี่ยะ ...20%เนี่ยะอะไรเอามาวัด ว่าตัวเราเองมีสติกี่เปอร์เซ็นต์


#12 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 07 May 2008 - 05:08 PM

ตอนเห็น 25% เป็นพระโสดาบัน ก็ทะแม่ง คิดว่าไม่น่าใช่นะ
คุณ(ลุงหรือป่าว?) DJ96.25PM2-3 วิเคราะห์ได้ทะลุปรุโปร่งดีค่ะ สามารถมองเห็นภัยการทำลายแอบแฝง ล้างความคิดความเชื่อเดิมๆ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป