เหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.
ในสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มิจฺฉาทิฏฐิปรมานิ นี้ มีวิเคราะห์ว่า มิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่งของโทษเหล่านั้น
เหตุนั้น โทษเหล่านั้น ชื่อว่า มิจฺฉาทิฏฐิ-ปรมานิ โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.
อธิบายว่า อนันตริยกรรม ๕ ชื่อว่ากรรมมีโทษมาก. มิจฉาทิฏฐิเท่านั้น ชื่อว่ามีโทษ
มากกว่าอนันตริยกรรม ๕ แม้เหล่านั้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะอนันตริยกรรม ๕ นั้นมีเขตกำหนด.
ด้วยว่า ท่านกล่าวอนันตริยกรรม ๔ อย่างว่า ให้เกิดในนรก.
แม้สังฆเภทก็เป็นกรรมตั้งอยู่ในนรกชั่วกัปเท่านั้น. อนันตริยกรรมเหล่านั้น
มีเขตกำหนดที่สุด ก็ยังปรากฏ ด้วยประการอย่างนี้. ส่วนนิยตมิจฉาทิฏฐิ
คือ ความเห็นผิดอันดิง ไม่มีเขตกำหนด เพราะนิยตมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นราก
เหง้าของวัฏฏะ. การออกไปจากภพ ย่อมไม่มีสำหรับคนผู้ประกอบด้วย
นิยตมิจฉาทิฏฐินั้น . ชนเหล่าใด เชื่อฟังถ้อยคำของตนผู้ประกอบด้วย
นิยตมิจฉาทิฏฐินั้น แม้ชนเหล่านั้นก็ย่อมปฏิบัติผิด. อนึ่ง ทั้งสวรรค์
ทั้งมรรค ย่อมไม่มีแก่คนผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น ในคราวกัป
พินาศ เมื่อมหาชนพากันเกิดในพรหมโลก บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ
ไม่เกิดในพรหมโลกนั้น (แต่กลับ) เกิดที่หลังจักรวาล. ถามว่า ก็หลัง
จักรวาลไฟไม่ไหม้หรือ. ตอบว่า ไหม้. บางอาจารย์กล่าวว่า ก็เมื่อหลัง
จักรวาลแม้ถูกไฟไหม้อยู่ คนผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐินี้ ก็ถูกไฟไหม้อยู่ใน
โอกาสแห่งหนึ่งในอากาศ
ผู้ที่เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ เช่น พวกครูทั้ง 6 แม้เกิดในกาละสมบัติครั้งพุทธกาล ก็ไม่มีโอกาส
มาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเลย เหมือน เส้นขนานกับพระพุทธเจ้า คือไม่มีทางที่จะเจอกัน
ได้ นอกจากตัวเองตายแล้วต้องเกิดในนรก ก็ยังทำให้มหาชนมากมายซึ่งเชื่อในความ
เห็นของตน ต้องตกนรกไปด้วย จึงเป็นโทษมากต่อผู้ที่คบค้าสมาคมด้วย