ชื่อออกแนวเดียวกันหมดทุกอสงไขย?การรื้อสัตว์ขนสัตว์?
#1
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 07:14 PM
และการรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปนิพพาน ภารกิจของวงบุญพิเศษเรา ถ้าปราบมารรื้อสัตว์ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม จะรื้อสัตว์ที่อยู่ใน บุพพเทหทวีป,อมรโคยานทวีป,อุตตกุรุทวีปด้วยใช่ไหมครับ? ถ้าเป็นเช่นนั้นหมู่คณะเราในยุคนั้นคงมีพระเจ้าจักรพรรดิปกครองทวีปทั้ง4บังเกิดขึ้นสิครับ ถึงไปอีก3ทวีปได้เพราะก็มีหมู่คณะเราที่หลุดพลัดไปเกิดนอกชมพูทวีปก็มี?
#2
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 09:38 PM
คือว่าขึ้นอยู่ว่าภาษาที่ใช้บันทึกพระไตรปิฎกนั้นว่าเป็นภาษาอะไร ลองคิดดูนะครับ
หากเราลองไปอ่านคัมภีร์พุทธศาสนาของมหายาน, วัชรยานหรือที่เป็นภาษา English
ชื่อเรียกต่างๆ ก็คงแปลกออกไปนะครับ
หรือตัวอย่างอื่นๆ ดังนี้
- เรื่องพระเจ้ามิลินท์ ในเรื่อง "มิลินทปัญหา " ซึ่งที่จริงชื่อท่านก็คือพระเจ้าเมนันเดอร์
- ทำไม่เราเรียก "France" ว่าเป็นประเทศฝรั่งเศษ
- ทำไม่เราไม่เรียก"ภาษาอังกฤษ" ว่า "ภาษาอิงลิ่ส"
- ทำไม่เราเรียกชาวต่างชาติผิวขาวว่า " ฝาหรั่ง "
#3
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 09:55 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#4
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 09:57 PM
เราคิดเหมือนคุณ withorn นะ
อันเนื่องมาจากภาษาที่ใช้จดบันทึกเรื่องราวทั้งหมดเป็นภาษาบาลี
ซึ่งเป็นภาษาสวรรค์ ภาษาพรหม (เท่าที่เราเคยรู้มาอ่ะนะ)
ดังนั้นจะย้อนกลับไปศึกษาตรงจุดไหนของประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้
ก็จะสงสัยอยู่เสมอว่า.. ทำไมชื่อเมือง ชื่อคนต้องออกแนวอินเดียนะ.. ?
ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพราะภาษาอินเดียดันมามีส่วนคล้ายภาษาบาลีมากกว่า
ที่สำคัญคือ.. สิ่งที่เราเรียนรู้กันอยู่ในยุคนี้..
ถูกจดบันทึกมาจาการตรัสสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงประสูติที่ประเทศอินเดีย
และพระสงฆ์ผู้สังคายนาจัดทำพระไตรปิฎกในยุคแรกๆก็ คือ คนพื้นเมืองแถบอินเดียนั่นเอง
ทุกอย่างที่เราเรียนรู้.. จึงออกชื่อแนวๆบาลี+อินเดีย.. ทำให้ชวนสงสัยได้..
ผิดถูกประการใด พระอาจารย์ และท่านผู้รู้โปรดช่วยชี้แนะด้วยเถิด.. สาธุ..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#5
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 11:11 PM
#6
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 09:44 AM
อุปมาเหมือนกับนําแกงที่มีรสอร่อย มีวัตถุดิบหลายอย่างรวมอยู่ในนั้น ที่เราทำขึ้นมา หากเราบอกแค่ปากเปล่าว่านําแกงถ้วยนี้อร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ผู้ที่ได้ยินได้ฝังก็คงไม่มีใครเชื่อจริงไหมครับ หรือแม้จะได้ลองชิมนําแกงที่มีแต่เราทำขึ้นมาแค่คนเดียว ก็ย่อมต้องมีคนสงสัยว่านําแกงที่เราทำนั้นอร่อยที่สุดแล้วจริงๆหรือจริงไหมครับ แต่หากเรามีนําแกงที่คนอื่นทำมาเหมือนกันมาให้ชิมเปรียบเทียบทำให้คนที่ชืมรู้ว่านําแกงที่เราทำมีรสอร่อยกว่าจริงๆ ก็ทำให้ผู้ที่ชิมคลายความสงสัยได้จริงไหมครับ
ลองสังเกตุดูสิครับ ในปัจจุบันนี้ประเทศอินเดียก็แทบจะไม่แตกต่างไปจากสมัยพุทธกาลหากไม่นับเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ประเทศอินเดียก็ยังเป็นอินเดียอยู่จนถึงทุกวันนี้ ยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ยังเป็นศูนย์รวมของศาสนาและลัทธิต่างๆอยู่เหมือนเดิม
เพิ่มเติมอีกนิด จุดมุ่งหมายของวงบุญพิเศษของเราไม่ใช่เล็กๆแค่นั้นครับ ปณิทานของหลวงปู่คือปราบต้นต่อที่ทำให้เกิดภพ3 ซึ่งหากทำได้จะเท่ากับว่าเรารื้อขนไปได้ทั่วอนันตจักรวาลทีเดียวครับ หรือก็คือภพ3จะไม่มีอีกครับ (ส่วนนี้หากไม่เหมาะสมลบได้เลยนะครับ ^ ^ )
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#7
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 11:52 AM
#8
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 12:12 PM
#9
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 11:26 PM
รวมถึงชื่อเมืองในแต่ละยุค เหตุใดเป็นเช่นนั้นคะ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#10
โพสต์เมื่อ 12 June 2008 - 11:19 AM
วัฏสังสาร(การเวียนว่าย) ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ดังนั้นในวัฎสังสารนี้ ไม่มีอะไรใหม่หรอกครับ
#11
โพสต์เมื่อ 12 June 2008 - 11:32 AM
แต่จะคิดมากเรื่องชื่อทำไมอ่า เพราะต่อให้ชื่อไม่ซำกันทุกพระองค์ แต่เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ทุกพระองค์ก็จะเปลี่ยนชื่อมาเหมือนกันหมดอยู่แล้วนั่นก็คือชื่อ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า" นั่นเอง
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#12
โพสต์เมื่อ 12 June 2008 - 06:53 PM
#13
โพสต์เมื่อ 13 June 2008 - 08:43 AM
อันนี้ผิดครับ เทคโนโลยีในยุคนี้จัดเป็นเทคโนโลยีแห่งความเสื่อมครับ ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่ลําสมัย เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดกาลวิบัติเร็วขึ้น ซึ่งกาลวิบัติในที่นี้หมายถึง ทำให้ชีวิตสั้นลงอันเนื่องจากมลพิษและปัจจัยอีกหลายๆอย่าง เช่น ร่างกายอ่อนแอลง แก่เร็วขึ้น โรคภัยมีเยอะขึ้น
ยกตัวอย่าง อาวุธนิวเครียร์ที่มนุษย์ยุคนี้สร้างขึ้นเพื่อหวังให้เป็นอาวุธทำลายล้างในสงคราม ช่วยอะไรเราได้บ้างไหม ก็ไม่ได้แถมหากใช้โลกได้วิบัติแน่จริงไหมครับ รถยนต์สร้างเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางให้เราอย่างเดียว แต่ผลที่ตามมามีอะไรบ้าง ร่างกายมนุษย์อ่อนแอลง สร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม โทรศัพท์มือถือก็เช่นกัน ลองพิจารณาดูดีสิครับ สิ่งต่างๆที่มนุษย์ในยุคนี้สร้างขึ้นมา หากลองเอามาคิดพิจารณาดูดีๆ จะเห็นได้ว่า โทษมีมากกว่าประโยชน์เสียอีก
มนุษย์ในสมัยก่อนมีความรู้ความสามารถยิ่งกว่ามนุษย์ในสมัยนี้ครับ ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผม คิดว่ามนุษย์ในสมัยก่อนมีความรู้ความสามารถเหนือว่ายุคเรามากนัก แต่ที่ไม่พัฒนาให้เหมือนหรือยิ่งกว่าเราเป็นเพราะ มนุษย์ในสมัยก่อนน่าจะตระหนักดีถึงผลกระทบที่จะตามมา มีหลักฐานยืนยันได้ดีก็คือบรรดาสิ่งก่อสร้างต่างๆที่มนุษย์ในยุคนี้ยังหาไม่พบว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เช่น มหาปิระมิดที่สร้างขึ้นด้วยหินที่เรียงชิดติดกันชนิดกระดาษสอดไม่เข้าแถมแม้อยู่ในทะเลทรายแต่อากาศภายในกลับเย็นสบายเหมือนติดแอร์ สโตนเฮ้นที่มนุษย์ในสมัยนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและสร้างขึ้นเพื่ออะไรในพื้นที่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่
ลองคิดดูนะครับ มนุษย์ในยุคนี้มีอายุเฉลี่ย75ปี กว่าจะใช้เวลาเรียนจนจบชั้นสูงๆเช่นปริญญาเอก ก็กินเวลาไปค่อนชีวิตแล้ว ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตเรียนอย่างเดียวมั่นใจได้เลยว่าเรียนได้ไม่เกิด10สาขาวิชา แต่มนุษย์ในอดีตมีอายุยืนมากกว่าเราอันเนื่องด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า มีเวลาศึกษาหาความรู้ได้เยอะกว่าเรา ทำไมเขาจะไม่ฉลาดเท่าเราหรือเกินกว่าเราจริงไหมครับ
เทคโนโลยีแห่งความเสื่อมนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่โลกใกล้จะถึงยุคที่เรียกว่าวิสัญญีหรือยุคที่มนุษย์มีอายุตํากว่า100ปีแล้วเท่านั้นครับ เพราะในยุคนี้มนุษย์ไม่ฉลาดพอที่จะคิดได้ถึงผลกระทบที่จะตามมาของเทคโนโลยีแห่งความเสื่อมครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#14
โพสต์เมื่อ 13 June 2008 - 01:09 PM
แต่ความจริงแล้ว มันคือ หายนาการ (ศัพท์นี้ผมคิดเองนะครับ ผิดถูกประการใด ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว) มาจากคำว่า หายนะ รวมกับ อาการ หมายถึง อาการแห่งหายนะ คือ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมลงๆ ทุกขณะ
#15
โพสต์เมื่อ 13 June 2008 - 03:18 PM
#16
โพสต์เมื่อ 13 June 2008 - 11:57 PM
(๑) ชื่อออกแนวบาลีเพราะ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เทศน์ด้วยภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาสวรรค์ โดยภาษาบาลีจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายในประชาชนในช่วงประมาณก่อนพุทธกาล และหลังพุทธกาลก็จะเป็นภาษาที่ตายและประกอบกับบาลีก็ไม่มีตัวอักษรในโลกมนุษย์ด้วย เพื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงความหมายของคำในพระไตรปิฎก(จารึกด้วยอักษรต่างๆเช่นสันสกฤต ไทย อังกฤษ พม่า จีน เป็นต้น)
(๒) ในชาดกก็มีบางชาติที่ไม่ใช่สมัยพุทธกาล แต่ใช้ชื่อบาลี ทั้งนี้เพราะพระพุทธเจ้าต้องเทศน์ให้ชาวอินเดียสมัยนั้นฟังและเผื่อสำหรับการบันทึกในพระไตรปิฎกด้วย จึงต้องแปลเป็นบาลี เช่น ชื่อกิมฮวย ก็แปลเป็นสุวรรณมาลี, ชื่อเมืองใหญ่ทางอำนาจเช่นวอชิงตัน ก็แปลงเป็นราชคฤห์ เพื่อให้คนฟังนึกภาพออก, เมืองใหญ่ทางการศึกษาเช่นบอสตัน ก็เป็นนาลันทา, เมืองค้าขายนิวยอร์คก็สาวัตถึ, ปารีสเมืองศิลปะก็มธุระ, ลอนดอนเมืองหลายวัฒนธรรมก็พาราณาสี, กรุงเทพเมืองสัมมาทิฐิก็มิถิลา, แหลมทองก็สุวรรณภูมิ เป็นต้น
(๓) แผ่นดินอินเดียในปัจจุบันนั้น แต่เดิมอยู่ติดกับทวีปอาฟริกา ต่อมาเปลือกโลกเคลื่อนตัว จึงเลื่อนมาชนติดกับทวีปเอเชียเกิดเป็นภูเขาหิมาลัย ในอนาคตยุคพระศรีอาริย์ เปลือกโลกก็จะไม่เหมือนปัจจุบัน ถึงตอนนั้นก็ไม่มีอินเดียแล้ว แต่ถาดทองก็ต้องลอยทวนน้ำไปซ้อนกับอีก๔ใบณ.จุดเดิม โพธิบัลลังก์ตรัสรู้ก็จุดเดิม (มีอะไรอีกบ้างครับที่ต้องเป็นจุดเดิม)
(๔) พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องไปประสูติณ.ประเทศที่หลากหลายวัฒนธรรม เช่น ในสมัยพระปทุมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งโลกมีศาสนาเดียวคือพระพุทธศาสนา
#17 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 09:51 AM
#18
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 12:16 PM
#19
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 02:44 PM
ถาดทอง ในยุคของพระพุทธเจ้าของเรา เป็นถาดทองใส่ภัตตาหาร ที่นางสุชาดาถวายพระพุทธเจ้าของเรา ก่อนตรัสรู้ธรรมไงล่ะครับ นางสุชาดาเดิมตั้งใจบูชาเทวดา จึงได้ตั้งใจเตรียมอาหารอย่างดี ใส่ถาดทองคำ จากนั้น ก็ได้เดินออกมาจากบ้าน ครั้นได้พบพระมหาบุรุษ(เจ้าชายสิทธัตถะตอนออกบวช) มีรัศมีสว่างไสว ก็เข้าใจผิดนึกว่า เทวดา
นางจึงได้น้อมนำถาดทองที่บรรจุอาหารรสเลิศเหล่านั้น ถวายแด่พระมหาบุรุษไงล่ะครับ และเมื่อพระมหาบุรุษฉันแล้ว ในคืนนั้นก็ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไงล่ะครับ
ส่วนถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก็เป็นถาดทองที่เจ้าภาพถวายในวันตรัสรู้ธรรมเช่นเดียวกันครับ แต่ชื่อเจ้าภาพในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เป็นใครนั้น ผมก็ไม่ทราบครับ ทราบแต่เจ้าภาพของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ นางสุชาดา
#20
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 08:59 PM
พระกกุสันธะพุทธเจ้า, เจ้าภาพคือ ธิดาวชิรินธพราหมณ์
พระโกนาคมนะพุทธเจ้า, เจ้าภาพคือ อัคคิโสณพราหมณกุมารี
พระกัสสปะพุทธเจ้า, เจ้าภาพคือ สุนันทาพราหมณี
(๒)ตอบความเห็นที่๑๘
(๒.๑)อุปมาอุปมัยครับ
(๒.๒)เรื่องแผ่นดินโบราณ เป็นธรณีวิทยา ค้นหาคำว่า"pangea"ในgoogle
#21
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 09:48 PM
ตอบได้เยี่ยมยุทธไปเลย
สาธุ.. สาธุ.. สาธุ..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#22
โพสต์เมื่อ 15 June 2008 - 07:50 AM
#23
โพสต์เมื่อ 16 June 2008 - 02:03 PM
"....พวกเราเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ไม่มีอะไรใหม่สำหรับพวกเรา...."
ผมใช้เวลามานั่งคิดอยู่นาน(จริงๆแล้วก็เคยมีความสงสัยมานานเหมือนกัน)
เลยตั้งคำถามขึ้นกับตัวเองว่า....
โอกาส ที่ชื่อเมืองแต่ละเมืองจะชื่อเหมือนกัน และคนแต่ละคนชื่อเหมือนกัน มีไหม?
รถที่เราเคยขับ เครื่องบินที่เราเคยนั่ง เราเคยมีมาก่อนไหม?
โลกแตกดับสภาธรรมกายสากลที่พวกเรานั่งทุกอาทิตย์ จะยังอยู่ไหม?
แล้วถ้าโลกก่อตัวขึ้นใหม่เราจะมาสร้างสภาธรรมกายสากลอีกครั้งไหม?
ฯลฯ...ไหม?
หรือแม้กระทั่งเวลาเราเดินทางไปไหนมาไหน ทั้งๆที่เราไม่เคยไปมาก่อน แต่พอไปถึงพอเห็นเข้าเท่านั้น เรารู้สึกคุ้นๆตา เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน....
จนทุกวันนี้ก็ยังหาคำตอบอยู่...
นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ว่า โอกาสที่ชื่อจะตรงกันนั้น เป็นไปได้ ยิ่งถ้านึกถึงถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่ต้องลอยไปวางทับกันอีกยิ่งการันตีไปได้เลยว่ามีโอกาสจะเป็นไปได้อีก.....
แต่ถ้าเปรียบเทียบการใช้คำในภาษาบาลีก็น่าจะคิดได้อีกแบบหนึ่งว่า...
การจะใช้ศัพท์ในกาเรียกชื่อเมืองแต่ละครั้งนั้นเขาก็จะใช้ศัพท์คล้ายๆกับเราที่ใช้กันในปัจจุบันนี้หละครับ เช่น กรุงเทพฯ ทำไมคนต่างชาติเขาไม่เรียกตามเราว่า กรุงเทพ กลับไปเรียก แบงคอก คนบ้านนอกก็จะเรียก กรุงเทพว่า บางกอก สมมติว่านาย ก จะเทสน์ไห้นาย ข ฟังแล้วเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่า มีชายคนหนึ่งอยู่ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งเป็นเมืองที่มีดอกบัวเยอะ เดินไปที่แม่น้ำลำคลองแห่งไหนก็มีแต่ดอกบัวงามสะพรั่งหลากสี....เราต้องบรรยายลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะเศรษฐกิจของเมืองนั้นให้มันยืดยาวไปทำไม ทำไมไม่เรียกคำเดียวไปเลยละว่า...เมืองอุบลราชธานี ก็เป็นที่น่าคิดอีกเช่นกันว่าการใช้ศัพท์เพื่อเรียกชื่อเมืองนั้นๆเป็นภาษาบาลี น่าเป็นการประกอบศัพท์ที่เป็นการบรรยายลักษณะเด่นของเมืองนั้นๆ หรืออาจจะเป็นศัพท์ที่ถูกใช้กันเป็นที่ทั่วไปเวลาเรียกเมือง ประเทศ หรือแม้กระทั่งคน ที่เราไม่รู้ชื่อ แทนที่เวลาพระอาจารย์ที่ท่านสังคายนาพระไตรปิฏกบรรยายถึงเมืองนั้นๆแล้ว ต้องเสียเวลานั่งบรรายลักษณะภูมิประเทศของประเทศนั้นๆ ทำไม แต่ถ้าหากใช้คำว่าว่า....พระราชาใหญ่ ในกรุงราชคฤห์ .... โดยให้คนที่อ่านก็เข้าใจไปเลยว่า...อ้อ มีประธานาธิบดีผู้ทรงอำนาจ อยู่ในเมืองที่ทรงอำนานั้น.... แต่ถ้าให้คิดแบบนี้มันก็ต้องคิดต่อไปอีกละว่า พระที่ท่านสังคายนาท่านก็มีความรู้อยู่แล้วก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเมืองนั้นชื่ออะไร ใครชื่ออะไร โอกาสที่ท่านจะมาใช้คำทั่วไปพูดให้คนฟังเอาแค่พอเข้าใจว่า เป็นเมืองทรงอำนาจเมืองหนึ่งกับคนๆหนึ่ง ท่านจะปกปิดไปทำไม หรือใช้คำเรียกทั่วไปเพียงเพื่อไม่ให้กระทบกับใครเท่านั้นเอง
มันเป็นแค่ความคิดของเด็กตาดำๆ อายุ21 อย่างผมคิดนะครับ ผิดถูกอย่างไรก็ช่วยชี้แจงด้วยนะครับ
แต่ทางที่ดีผมว่า ไปนั่งหลับตาดีกว่า แล้วค่อยฝันไปดูเอา
#24
โพสต์เมื่อ 17 June 2008 - 09:19 PM
ส่วนวัดธรรมกายปัจจุบัน ก็เคยเป็นวัดมาก่อน และเมื่อกาลก่อน วัดนั้นกว้างใหญ่กว่านี้มากนัก และรู้สึกว่าเจ้าอาวาสก็เป็นรูปเดียวกันนี้
ถ้างั้นขอถามเพิ่มเติมค่ะ ถ้าเทคโนโลยีที่ล้ำยุค(สำหรับคนยุคนี้) ซึ่งในกาลก่อนมีความเจริญทางวัตถุมากกว่านี้(เรื่องนี้จำได้ ครูไม่ใหญ่ เคยพูด ว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้ว และ ล้ำยุคกว่านี้มาก) แสดงว่าช่่วงทเจริญมากกว่าในยุคปัจจุบันนี้นั้น อายุของคนในขณะนั้นก็ต้องน้อยกว่า 75 ปีซิคะ ประมาณว่ายิ่งล้ำยุคมากเท่าไหร่ คนในขณะนั้นก็อายุน้อยลงเท่านั้น เข้ากับเรื่องที่ว่ายิ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากเท่าไหร่ ร่างกายคนเราก็ยิ่งเล็กลงๆ ยิ่งร่างกายเล็กลงเท่าไหร่ อายุก็ยิ่งน้อยลง(คนโบราณตัวใหญ่ อายุมาก)
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#25
โพสต์เมื่อ 18 June 2008 - 10:24 AM
ตามที่คุณ ณ072 กล่าวมาก็ถูกครับที่ว่าเทคโนโลยีในสมัยนี้เคยมีมาแล้วในสมัยก่อนและลำหน้ากว่าในสมัยนี้มากนัก แต่ผมมั่นใจว่าเทคโนโลยีในสมัยก่อน คงไม่มีโทษและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตัวผู้ใช้เท่าในยุคนี้แน่ ที่สำคัญ เทคโนโลยีที่มีความเจริญในยุคนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนในยุคสมัยนี้จริงไหมครับ ยกตัวอย่าง อุปกรณ์ทำความเย็นหรือแอร์ ดูจากสิ่งก่อสร้างในยุคโบราณที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันค้นพบ ก็ไม่มีจริงไหมครับ ทีวี มือถือ หรือแม้แต่รถยนต์ในยุคปัจจุบัน จากการขุดค้นโบราณสถานโบราณวัตถุ หรือหลุมศพคนสำคัญในสมัยโบราณที่มักจะเอาสมบัติของตนฝังลงไปด้วยก็ไม่มีการพบแต่อย่างใด แล้วเพราะเหตุใดทั้งที่วิทยาการของเขาที่ลําหน้ากว่าจึงไม่มีของพวกนี้
ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผม ผมคิดว่าคนในยุคโบราณน่าจะรู้ถึงผลกระทบที่ส่งผลร้ายมากกว่าผลดีของอุปกรณ์เหล่านี้จริงไหมครับ ผมคิดว่าวิทยาการของเขาน่าจะมุ่งเน้นโดยใช้หลักธรรมชาติมากกว่า ซึ่งมีตัวอย่างให้พบอยู่เยอะแยะตามโบราณสถานในยุคโบราณ ที่เห็นได้ชัดคือหลักฮวงจุ้ยของจีน เช่น มหาปิระมิดในอียิปต์ที่ผมเคยอ่านเจอเขาบอกว่า ภายในปิระมิดนั้นเย็นสบายทั้งที่อยู่ในทะเลทรายเขตร้อน อะไรทำให้เป็นแบบนั้น อยากให้ลองเข้าไปในถําหินดูนะครับแล้วจะรู้คำตอบ มหาปิระมิดก็ใช้หลักการเก็บกักความเย็นแบบเดียวกับถําหินนั่นแหล่ะครับ คือใช้หินเก็บกักความเย็นเอาไว้
อยากให้ลองดูอีกสถานที่1 วัดที่เป็นโบราณสถานในอินเดียซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล ทราบไหมครับ ว่าทำไมส่วนใหญ่จึงทำเป็นทรงกลม
ประโยชน์ข้อที่1 คือช่วยในการกระจายเสียง ช่วยกระจายเสียงยังไงบ้านใครมีหลังคาทรงกลมหรือโค้งก็ได้ลองไปยืนใต้หลังคาแล้วพูดดูสิครับ อันนี้ผมพึ่งทราบเพราะที่ทำงานผมได้มีการทำหลังคาที่จอดรถซึ่งเป็นหลังคาโค้งครึ่งวงกลม ส่วนโค้งของหลังคาช่วยในการสะท้อนและรวมเสียง แม้พูดเสียงเบาเราก็ยังได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา
ประโยชน์ข้อที่2 คือการกระจายลมตามหลักแอร์โล่ไดนามิค กระแสลมจะวิ่งผ่านวัตถุทรงกลมได้ดีกว่าวัตถุทรงเหลี่ยม ทดสอบได้ง่ายๆครับ จุดเทียนสักเล่ม แล้วเอาวัตถุทรงกลมหรือเหลี่ยมมาตั้งเป็นเครื่องกรีดขวางบังไว้ข้างหน้าจากนั้นเป่าเทียนผ่านเครื่องกรีดขวาง จะเห็นว่าเทียนจะดับหากเป่าผ่านวัตถุทรงกลม อันนี้ผมยังเสียดายเลยครับ ที่สภาธรรมกายสากลของเราไม่ทำเป็นทรงกลม ไม่งั้นจะเย็นสบายมากกว่านี้
ประโยชน์ข้อที่3 คือ ลดความร้อนสั่งสมของแสงแดดอันนี้ผมไม่ขออธิบายนะครับ แต่เคยทดลองดูแล้วระหว่างยืนอยู่ใต้หลังคาทรงกลมกับหลังคาจั่ว ทรงกลมจะเย็นกว่า
นี่ครับ วิทยาการที่ลําสมัยของผมหมายถึงอย่างนี้ครับ คือก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่ส่งผลกระทบในทางเลวร้ายต่อสิ่งอื่น แต่ก็อีกเช่นกัน เมื่อมีวิทยาการแน่นอนมนุษย์ก็ต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบายจริงไหมครับ ยิ่งมนุษย์สะดวกสะบายมากเท่าไหร่ร่างกายก็อ่อนแอลงตามไปด้วย ลองสังเกตุมนุษย์ในยุคนี้ดูสิครับ แม้มีอายุขัยเฉลี่ย75ปีก็จริง แต่บางคนแก่ก่อนวัยอันควร บางคนอายุแค่25แต่เริ่มมีผมหงอกเหมือนคนแก่ บางคนอายุแค่35กลับมีรอยเหี่ยวย่นที่ใบหน้า ผมจึงได้บอกไงครับว่าเทคโนโลยีในสมัยนี้เป็นเทคโนโลยีในยุคเสื่อม และที่ผมบอกว่าเทคโนโลยีในยุคเสื่อมนี้จะเกิดขึ้นในสมัยที่มนุษย์มีอายุไม่ถึง100ปี เพราะมนุษย์มีเวลาในการศึกษาหาความรู้น้อยจึงไม่รู้และไม่มีเวลาศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาไงครับ คุณ ณ072ว่าจริงป่ะ ^ ^
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#26
โพสต์เมื่อ 18 June 2008 - 08:42 PM
ต้องขออภัยด้วยที่ใช้คำไม่รัดกุม แล้วทำให้สามารถตีความหมายได้ผิด
ความจริงกาลก่อนที่หมายถึงคือ พุทธันดรที่ผ่านมา หรือกัปที่ผ่านมาค่ะ เทียบกับกัปนี้ ในขณะที่โลกมีความเจริญทางเทคโนโลยี(ใช้คำยากจริง...เดี๋ยวเข้าใจคลาดเคลื่อนอีก)(หรือเสื่อมในความหมายของคุณ) สูงสุดและเจริญมากกว่าคนในยุคนี้ ถ้าเทียบอายุกัน...เลยสงสัยว่าอายุของคนในกัปนั้น ณ ขณะนั้น คงน้อยกว่า 75 ปี เนื่องยิ่งเจริญทางเทคโนโลยีมาก ศีลธรรมยิ่งน้อยลง และคนยิ่งอายุน้อยลง
เลยได้ความรู้เรื่องทรงกลม มาเก็บไว้..ใส่บ่าแบกหาม เป็นคนช่างสังเกตุจัง ......
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#27
โพสต์เมื่อ 26 June 2008 - 12:14 PM