ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * - 1 คะแนน

ชื่อออกแนวเดียวกันหมดทุกอสงไขย?การรื้อสัตว์ขนสัตว์?


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 26 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 สุภาพบุรุษ072

สุภาพบุรุษ072
  • Members
  • 597 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 07:14 PM

จากความรู้พระไตรปิฎก ผมสังเกตดูว่าไม่ว่าจะเป็น ชื่อของพระพุทธเจ้า ชื่อเมือง ชื่อคนในสมัยนั้น ออกแนวอินเดียหมด ซึ่งทุกกัป และอสงไขย โลกตั้งอยู่และแตกสลายดับไป เกิดจักรวาลตั้งชมพูทวีปขึ้นใหม่happy.gif
และการรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปนิพพาน ภารกิจของวงบุญพิเศษเรา ถ้าปราบมารรื้อสัตว์ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม จะรื้อสัตว์ที่อยู่ใน บุพพเทหทวีป,อมรโคยานทวีป,อุตตกุรุทวีปด้วยใช่ไหมครับ? ถ้าเป็นเช่นนั้นหมู่คณะเราในยุคนั้นคงมีพระเจ้าจักรพรรดิปกครองทวีปทั้ง4บังเกิดขึ้นสิครับ ถึงไปอีก3ทวีปได้เพราะก็มีหมู่คณะเราที่หลุดพลัดไปเกิดนอกชมพูทวีปก็มี?

#2 withorn

withorn
  • Members
  • 22 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 09:38 PM

ผมขอออกความเห็นเรื่องชื่อเรียกที่ ออกแนวอินเดีย เมื่ออ่านจากพระไตรปิฎกครับ
คือว่าขึ้นอยู่ว่าภาษาที่ใช้บันทึกพระไตรปิฎกนั้นว่าเป็นภาษาอะไร ลองคิดดูนะครับ
หากเราลองไปอ่านคัมภีร์พุทธศาสนาของมหายาน, วัชรยานหรือที่เป็นภาษา English
ชื่อเรียกต่างๆ ก็คงแปลกออกไปนะครับ

หรือตัวอย่างอื่นๆ ดังนี้
- เรื่องพระเจ้ามิลินท์ ในเรื่อง "มิลินทปัญหา " ซึ่งที่จริงชื่อท่านก็คือพระเจ้าเมนันเดอร์
- ทำไม่เราเรียก "France" ว่าเป็นประเทศฝรั่งเศษ
- ทำไม่เราไม่เรียก"ภาษาอังกฤษ" ว่า "ภาษาอิงลิ่ส"
- ทำไม่เราเรียกชาวต่างชาติผิวขาวว่า " ฝาหรั่ง "

#3 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 09:55 PM

ขอบคุณครับ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#4 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 09:57 PM

ผิดถูกประการใด พระอาจารย์ และท่านผู้รู้โปรดช่วยชี้แนะด้วยเถิด.. สาธุ..

เราคิดเหมือนคุณ withorn นะ
อันเนื่องมาจากภาษาที่ใช้จดบันทึกเรื่องราวทั้งหมดเป็นภาษาบาลี
ซึ่งเป็นภาษาสวรรค์ ภาษาพรหม (เท่าที่เราเคยรู้มาอ่ะนะ)
ดังนั้นจะย้อนกลับไปศึกษาตรงจุดไหนของประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้
ก็จะสงสัยอยู่เสมอว่า.. ทำไมชื่อเมือง ชื่อคนต้องออกแนวอินเดียนะ.. ?
ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพราะภาษาอินเดียดันมามีส่วนคล้ายภาษาบาลีมากกว่า

ที่สำคัญคือ.. สิ่งที่เราเรียนรู้กันอยู่ในยุคนี้..
ถูกจดบันทึกมาจาการตรัสสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงประสูติที่ประเทศอินเดีย
และพระสงฆ์ผู้สังคายนาจัดทำพระไตรปิฎกในยุคแรกๆก็ คือ คนพื้นเมืองแถบอินเดียนั่นเอง
ทุกอย่างที่เราเรียนรู้.. จึงออกชื่อแนวๆบาลี+อินเดีย.. ทำให้ชวนสงสัยได้..

ผิดถูกประการใด พระอาจารย์ และท่านผู้รู้โปรดช่วยชี้แนะด้วยเถิด.. สาธุ.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#5 usr20907

usr20907
  • Members
  • 18 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 11:11 PM

ได้ความรู้เพิมดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ

#6 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 09:44 AM

เรื่องนี้มีมูลเหตุครับ การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดเฉพาะที่อินเดียมาทุกยุคทุกสมัยนั้น เพราะประเทศอินเดียนั้นมีวัฒนะธรรมสืบทอดกันมายาวนานมากแล้วน่ะครับ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมอารยธรรมเลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่ การแบ่งชนชั้นวรรณะ การเป็นศูนย์รวมแหล่งศาสนาและลัทธิต่างๆ เช่น พราหม์ ฮินดู ฯลฯ ความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ และอีกมาก ที่สำคัญที่สุดนะครับ คือ การประพฤติปฏิบัติของศาสนาและลัทธิต่างเหล่านั้นที่คิดว่าการปฏิบัติของตนเป็นหนทางพาไปสู่ความหลุดพ้นหรือเป็นการไถ่บาปที่มีทั้งตรึงเกินไปและหย่อนเกินไป ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่าง สามารถใช้เป็นข้อแก้ต่าง อ้างอิง เปรียบเทียบและยืนยัน ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เรียกได้ว่า เป็นดินแดนที่รวมทุกรสชาติเข้าไว้ด้วยกัน และเป็นดินแดนที่เหมาะแก่การสร้างบารมีเป็นอย่างยิ่งนั่นเองครับ

อุปมาเหมือนกับนําแกงที่มีรสอร่อย มีวัตถุดิบหลายอย่างรวมอยู่ในนั้น ที่เราทำขึ้นมา หากเราบอกแค่ปากเปล่าว่านําแกงถ้วยนี้อร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ผู้ที่ได้ยินได้ฝังก็คงไม่มีใครเชื่อจริงไหมครับ หรือแม้จะได้ลองชิมนําแกงที่มีแต่เราทำขึ้นมาแค่คนเดียว ก็ย่อมต้องมีคนสงสัยว่านําแกงที่เราทำนั้นอร่อยที่สุดแล้วจริงๆหรือจริงไหมครับ แต่หากเรามีนําแกงที่คนอื่นทำมาเหมือนกันมาให้ชิมเปรียบเทียบทำให้คนที่ชืมรู้ว่านําแกงที่เราทำมีรสอร่อยกว่าจริงๆ ก็ทำให้ผู้ที่ชิมคลายความสงสัยได้จริงไหมครับ

ลองสังเกตุดูสิครับ ในปัจจุบันนี้ประเทศอินเดียก็แทบจะไม่แตกต่างไปจากสมัยพุทธกาลหากไม่นับเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ประเทศอินเดียก็ยังเป็นอินเดียอยู่จนถึงทุกวันนี้ ยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ยังเป็นศูนย์รวมของศาสนาและลัทธิต่างๆอยู่เหมือนเดิม

เพิ่มเติมอีกนิด จุดมุ่งหมายของวงบุญพิเศษของเราไม่ใช่เล็กๆแค่นั้นครับ ปณิทานของหลวงปู่คือปราบต้นต่อที่ทำให้เกิดภพ3 ซึ่งหากทำได้จะเท่ากับว่าเรารื้อขนไปได้ทั่วอนันตจักรวาลทีเดียวครับ หรือก็คือภพ3จะไม่มีอีกครับ (ส่วนนี้หากไม่เหมาะสมลบได้เลยนะครับ ^ ^ )
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#7 สุภาพบุรุษ072

สุภาพบุรุษ072
  • Members
  • 597 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 11:52 AM

ขอบคุณในความรู้ที่ให้ความกระจ่าง..เข้าใจแล้วครับ คือการปราบมาร และไม่มีภพ3 และรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปทั้งอนันตจักรวาล ไปสู่พระนิพพาน ...เป็นมโนปณิธานที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ผมจะเดินหน้าสร้างบารมีต่อไป ไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม..อนุโมทนาบุญครับ สาธุ happy.gif

#8 หมอป๊อง

หมอป๊อง
  • Members
  • 761 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กทม.

โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 12:12 PM

glare.gif สาธุ สาธุ

#9 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 11:26 PM

ช่วยสงสัยเพิ่มเติมว่า พระพุทธเจ้ามักมีชื่อซ้ำๆ กันหรือป่าวคะ
รวมถึงชื่อเมืองในแต่ละยุค เหตุใดเป็นเช่นนั้นคะ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#10 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 12 June 2008 - 11:19 AM

ก็เราเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้วนี่ครับ ชื่อก็ย่อมซ้ำๆ นะสิครับ ความจริงไม่เฉพาะเรื่องชื่อเท่านั้น แม้แต่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี หรือ แม้แต่ศิลปการดนตรี การกีฬา การฟ้อนรำต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ซ้ำๆ กับชาติในอดีตชาติใดชาติหนึ่งมาแล้วทั้งสิ้นครับ

วัฏสังสาร(การเวียนว่าย) ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ดังนั้นในวัฎสังสารนี้ ไม่มีอะไรใหม่หรอกครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#11 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 12 June 2008 - 11:32 AM

คนไทยมีแค่70-80ล้านกว่าคน มีชื่อสมชายมากกว่า100000คน มีชื่อเดียวกับคุณเจ้าของกระทู้อย่างน้อยๆสัก10000คน แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน มีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทธทั้ง4 จะไม่มีชื่อเหมือนหรือคล้ายกันบ้างเลยหรือครับ หุหุ

แต่จะคิดมากเรื่องชื่อทำไมอ่า เพราะต่อให้ชื่อไม่ซำกันทุกพระองค์ แต่เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ทุกพระองค์ก็จะเปลี่ยนชื่อมาเหมือนกันหมดอยู่แล้วนั่นก็คือชื่อ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า" นั่นเอง
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#12 สุภาพบุรุษ072

สุภาพบุรุษ072
  • Members
  • 597 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 June 2008 - 06:53 PM

แสดงว่าเทคโนโลยีทั้งหลายในปัจจุบันนี้ ก็เคยเกิดขึ้นแล้วในยุคที่อายุขัยมนุษย์ลดลงในกัปที่ผ่านๆมา ซึ่งเวลาอายุขัยมนุษย์ลดลงจากอสงไขยเป็นประมาณอายุขัยเฉลี่ยปัจจุบันคือ75ปี ก็จะมีเทคโนโลยีล้ำหน้าทันสมัย เป็นแบบนี้หมุนเวียนไป ไม่รู้จบ อย่างที่คุณหัดฝันพูดแหละครับ สังสารวัฎไม่มีอะไรใหม่happy.gif

#13 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 13 June 2008 - 08:43 AM

QUOTE
อายุขัยเฉลี่ยปัจจุบันคือ75ปี ก็จะมีเทคโนโลยีล้ำหน้าทันสมัย


อันนี้ผิดครับ เทคโนโลยีในยุคนี้จัดเป็นเทคโนโลยีแห่งความเสื่อมครับ ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่ลําสมัย เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดกาลวิบัติเร็วขึ้น ซึ่งกาลวิบัติในที่นี้หมายถึง ทำให้ชีวิตสั้นลงอันเนื่องจากมลพิษและปัจจัยอีกหลายๆอย่าง เช่น ร่างกายอ่อนแอลง แก่เร็วขึ้น โรคภัยมีเยอะขึ้น

ยกตัวอย่าง อาวุธนิวเครียร์ที่มนุษย์ยุคนี้สร้างขึ้นเพื่อหวังให้เป็นอาวุธทำลายล้างในสงคราม ช่วยอะไรเราได้บ้างไหม ก็ไม่ได้แถมหากใช้โลกได้วิบัติแน่จริงไหมครับ รถยนต์สร้างเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางให้เราอย่างเดียว แต่ผลที่ตามมามีอะไรบ้าง ร่างกายมนุษย์อ่อนแอลง สร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม โทรศัพท์มือถือก็เช่นกัน ลองพิจารณาดูดีสิครับ สิ่งต่างๆที่มนุษย์ในยุคนี้สร้างขึ้นมา หากลองเอามาคิดพิจารณาดูดีๆ จะเห็นได้ว่า โทษมีมากกว่าประโยชน์เสียอีก

มนุษย์ในสมัยก่อนมีความรู้ความสามารถยิ่งกว่ามนุษย์ในสมัยนี้ครับ ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผม คิดว่ามนุษย์ในสมัยก่อนมีความรู้ความสามารถเหนือว่ายุคเรามากนัก แต่ที่ไม่พัฒนาให้เหมือนหรือยิ่งกว่าเราเป็นเพราะ มนุษย์ในสมัยก่อนน่าจะตระหนักดีถึงผลกระทบที่จะตามมา มีหลักฐานยืนยันได้ดีก็คือบรรดาสิ่งก่อสร้างต่างๆที่มนุษย์ในยุคนี้ยังหาไม่พบว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เช่น มหาปิระมิดที่สร้างขึ้นด้วยหินที่เรียงชิดติดกันชนิดกระดาษสอดไม่เข้าแถมแม้อยู่ในทะเลทรายแต่อากาศภายในกลับเย็นสบายเหมือนติดแอร์ สโตนเฮ้นที่มนุษย์ในสมัยนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและสร้างขึ้นเพื่ออะไรในพื้นที่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่

ลองคิดดูนะครับ มนุษย์ในยุคนี้มีอายุเฉลี่ย75ปี กว่าจะใช้เวลาเรียนจนจบชั้นสูงๆเช่นปริญญาเอก ก็กินเวลาไปค่อนชีวิตแล้ว ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตเรียนอย่างเดียวมั่นใจได้เลยว่าเรียนได้ไม่เกิด10สาขาวิชา แต่มนุษย์ในอดีตมีอายุยืนมากกว่าเราอันเนื่องด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า มีเวลาศึกษาหาความรู้ได้เยอะกว่าเรา ทำไมเขาจะไม่ฉลาดเท่าเราหรือเกินกว่าเราจริงไหมครับ

เทคโนโลยีแห่งความเสื่อมนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่โลกใกล้จะถึงยุคที่เรียกว่าวิสัญญีหรือยุคที่มนุษย์มีอายุตํากว่า100ปีแล้วเท่านั้นครับ เพราะในยุคนี้มนุษย์ไม่ฉลาดพอที่จะคิดได้ถึงผลกระทบที่จะตามมาของเทคโนโลยีแห่งความเสื่อมครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#14 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 13 June 2008 - 01:09 PM

อืมพออ่านข้อคิดของคุณเคยเข้าวัด ทำให้ผมนึกถึงศัพท์คำหนึ่ง ที่มนุษย์โลกนิยมใช้กันอยู่ คือ คำว่า วิวัฒนาการ คือ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น

แต่ความจริงแล้ว มันคือ หายนาการ (ศัพท์นี้ผมคิดเองนะครับ ผิดถูกประการใด ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว) มาจากคำว่า หายนะ รวมกับ อาการ หมายถึง อาการแห่งหายนะ คือ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมลงๆ ทุกขณะ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#15 สุภาพบุรุษ072

สุภาพบุรุษ072
  • Members
  • 597 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 June 2008 - 03:18 PM

อืมจริงๆด้วยเนอะเทคโนโลยีต่างๆมีผลกระทบคือมีโทษมากกว่าประโยชน์เสียอีก หายนาการจริงๆhappy.gif

#16 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 June 2008 - 11:57 PM

ความเห็นส่วนตัวครับ
(๑) ชื่อออกแนวบาลีเพราะ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เทศน์ด้วยภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาสวรรค์ โดยภาษาบาลีจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายในประชาชนในช่วงประมาณก่อนพุทธกาล และหลังพุทธกาลก็จะเป็นภาษาที่ตายและประกอบกับบาลีก็ไม่มีตัวอักษรในโลกมนุษย์ด้วย เพื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงความหมายของคำในพระไตรปิฎก(จารึกด้วยอักษรต่างๆเช่นสันสกฤต ไทย อังกฤษ พม่า จีน เป็นต้น)

(๒) ในชาดกก็มีบางชาติที่ไม่ใช่สมัยพุทธกาล แต่ใช้ชื่อบาลี ทั้งนี้เพราะพระพุทธเจ้าต้องเทศน์ให้ชาวอินเดียสมัยนั้นฟังและเผื่อสำหรับการบันทึกในพระไตรปิฎกด้วย จึงต้องแปลเป็นบาลี เช่น ชื่อกิมฮวย ก็แปลเป็นสุวรรณมาลี, ชื่อเมืองใหญ่ทางอำนาจเช่นวอชิงตัน ก็แปลงเป็นราชคฤห์ เพื่อให้คนฟังนึกภาพออก, เมืองใหญ่ทางการศึกษาเช่นบอสตัน ก็เป็นนาลันทา, เมืองค้าขายนิวยอร์คก็สาวัตถึ, ปารีสเมืองศิลปะก็มธุระ, ลอนดอนเมืองหลายวัฒนธรรมก็พาราณาสี, กรุงเทพเมืองสัมมาทิฐิก็มิถิลา, แหลมทองก็สุวรรณภูมิ เป็นต้น

(๓) แผ่นดินอินเดียในปัจจุบันนั้น แต่เดิมอยู่ติดกับทวีปอาฟริกา ต่อมาเปลือกโลกเคลื่อนตัว จึงเลื่อนมาชนติดกับทวีปเอเชียเกิดเป็นภูเขาหิมาลัย ในอนาคตยุคพระศรีอาริย์ เปลือกโลกก็จะไม่เหมือนปัจจุบัน ถึงตอนนั้นก็ไม่มีอินเดียแล้ว แต่ถาดทองก็ต้องลอยทวนน้ำไปซ้อนกับอีก๔ใบณ.จุดเดิม โพธิบัลลังก์ตรัสรู้ก็จุดเดิม (มีอะไรอีกบ้างครับที่ต้องเป็นจุดเดิม)

(๔) พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องไปประสูติณ.ประเทศที่หลากหลายวัฒนธรรม เช่น ในสมัยพระปทุมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งโลกมีศาสนาเดียวคือพระพุทธศาสนา

#17 *sky noi*

*sky noi*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 09:51 AM

ถาดทอง หมายถึงอะไรคะ

#18 สุภาพบุรุษ072

สุภาพบุรุษ072
  • Members
  • 597 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 12:16 PM

แสดงว่าเมื่อก่อนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา แอฟริกา เอเชียนี้เป็นแคว้นในสมัยพุทธกาลเหรอครับ? อยากศึกษาเรื่องนี้ให้ละเอียด รบกวนคุณDJ96.25 ช่วยบอกืที่มาของความรู้นี้หน่อยครับ หรือว่าเป็นแค่อุปมาว่า ชื่อเมืองใหญ่ทางอำนาจเช่นวอชิงตัน ก็แปลงเป็นราชคฤห์ เพื่อให้คนฟังนึกภาพออก, เมืองใหญ่ทางการศึกษาเช่นบอสตัน ก็เป็นนาลันทา, เมืองค้าขายนิวยอร์คก็สาวัตถึ, ปารีสเมืองศิลปะก็มธุระ, ลอนดอนเมืองหลายวัฒนธรรมก็พาราณาสี, กรุงเทพเมืองสัมมาทิฐิก็มิถิลา, แหลมทองก็สุวรรณภูมิ เป็นต้น ครับ??


#19 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 02:44 PM

ตอบคุณ sky noi

ถาดทอง ในยุคของพระพุทธเจ้าของเรา เป็นถาดทองใส่ภัตตาหาร ที่นางสุชาดาถวายพระพุทธเจ้าของเรา ก่อนตรัสรู้ธรรมไงล่ะครับ นางสุชาดาเดิมตั้งใจบูชาเทวดา จึงได้ตั้งใจเตรียมอาหารอย่างดี ใส่ถาดทองคำ จากนั้น ก็ได้เดินออกมาจากบ้าน ครั้นได้พบพระมหาบุรุษ(เจ้าชายสิทธัตถะตอนออกบวช) มีรัศมีสว่างไสว ก็เข้าใจผิดนึกว่า เทวดา

นางจึงได้น้อมนำถาดทองที่บรรจุอาหารรสเลิศเหล่านั้น ถวายแด่พระมหาบุรุษไงล่ะครับ และเมื่อพระมหาบุรุษฉันแล้ว ในคืนนั้นก็ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไงล่ะครับ

ส่วนถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก็เป็นถาดทองที่เจ้าภาพถวายในวันตรัสรู้ธรรมเช่นเดียวกันครับ แต่ชื่อเจ้าภาพในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เป็นใครนั้น ผมก็ไม่ทราบครับ ทราบแต่เจ้าภาพของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ นางสุชาดา
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#20 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 08:59 PM

(๑)ขอบคุณคุณหัดฝันมากครับที่ช่วยตอบ
พระกกุสันธะพุทธเจ้า, เจ้าภาพคือ ธิดาวชิรินธพราหมณ์
พระโกนาคมนะพุทธเจ้า, เจ้าภาพคือ อัคคิโสณพราหมณกุมารี
พระกัสสปะพุทธเจ้า, เจ้าภาพคือ สุนันทาพราหมณี

(๒)ตอบความเห็นที่๑๘
(๒.๑)อุปมาอุปมัยครับ
(๒.๒)เรื่องแผ่นดินโบราณ เป็นธรณีวิทยา ค้นหาคำว่า"pangea"ในgoogle

#21 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 09:48 PM

แต่ละท่านสุดยอดมากๆ
ตอบได้เยี่ยมยุทธไปเลย
สาธุ.. สาธุ.. สาธุ.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#22 usr21238

usr21238
  • Members
  • 233 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 June 2008 - 07:50 AM

สาธุ สาธุ ทุกๆท่านที่ให้ความรู้และร่วมกันวิเคราะห์กระทู้ สาธุอีกครั้งค่ะ

#23 usr23719

usr23719
  • Members
  • 15 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 June 2008 - 02:03 PM

ถ้าใครเคยฟังอดีตพระอาจารย์รูปหนึ่งที่ท่านเคยนำนั่งที่โรงเรียนฝันในฝัน วันนั้นที่ท่านเทศน์ตอนบ่ายๆนะ

"....พวกเราเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ไม่มีอะไรใหม่สำหรับพวกเรา...."

ผมใช้เวลามานั่งคิดอยู่นาน(จริงๆแล้วก็เคยมีความสงสัยมานานเหมือนกัน)
เลยตั้งคำถามขึ้นกับตัวเองว่า....

โอกาส ที่ชื่อเมืองแต่ละเมืองจะชื่อเหมือนกัน และคนแต่ละคนชื่อเหมือนกัน มีไหม?
รถที่เราเคยขับ เครื่องบินที่เราเคยนั่ง เราเคยมีมาก่อนไหม?
โลกแตกดับสภาธรรมกายสากลที่พวกเรานั่งทุกอาทิตย์ จะยังอยู่ไหม?
แล้วถ้าโลกก่อตัวขึ้นใหม่เราจะมาสร้างสภาธรรมกายสากลอีกครั้งไหม?
ฯลฯ...ไหม?
หรือแม้กระทั่งเวลาเราเดินทางไปไหนมาไหน ทั้งๆที่เราไม่เคยไปมาก่อน แต่พอไปถึงพอเห็นเข้าเท่านั้น เรารู้สึกคุ้นๆตา เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน....
จนทุกวันนี้ก็ยังหาคำตอบอยู่...

นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ว่า โอกาสที่ชื่อจะตรงกันนั้น เป็นไปได้ ยิ่งถ้านึกถึงถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่ต้องลอยไปวางทับกันอีกยิ่งการันตีไปได้เลยว่ามีโอกาสจะเป็นไปได้อีก.....

แต่ถ้าเปรียบเทียบการใช้คำในภาษาบาลีก็น่าจะคิดได้อีกแบบหนึ่งว่า...
การจะใช้ศัพท์ในกาเรียกชื่อเมืองแต่ละครั้งนั้นเขาก็จะใช้ศัพท์คล้ายๆกับเราที่ใช้กันในปัจจุบันนี้หละครับ เช่น กรุงเทพฯ ทำไมคนต่างชาติเขาไม่เรียกตามเราว่า กรุงเทพ กลับไปเรียก แบงคอก คนบ้านนอกก็จะเรียก กรุงเทพว่า บางกอก สมมติว่านาย ก จะเทสน์ไห้นาย ข ฟังแล้วเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่า มีชายคนหนึ่งอยู่ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งเป็นเมืองที่มีดอกบัวเยอะ เดินไปที่แม่น้ำลำคลองแห่งไหนก็มีแต่ดอกบัวงามสะพรั่งหลากสี....เราต้องบรรยายลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะเศรษฐกิจของเมืองนั้นให้มันยืดยาวไปทำไม ทำไมไม่เรียกคำเดียวไปเลยละว่า...เมืองอุบลราชธานี ก็เป็นที่น่าคิดอีกเช่นกันว่าการใช้ศัพท์เพื่อเรียกชื่อเมืองนั้นๆเป็นภาษาบาลี น่าเป็นการประกอบศัพท์ที่เป็นการบรรยายลักษณะเด่นของเมืองนั้นๆ หรืออาจจะเป็นศัพท์ที่ถูกใช้กันเป็นที่ทั่วไปเวลาเรียกเมือง ประเทศ หรือแม้กระทั่งคน ที่เราไม่รู้ชื่อ แทนที่เวลาพระอาจารย์ที่ท่านสังคายนาพระไตรปิฏกบรรยายถึงเมืองนั้นๆแล้ว ต้องเสียเวลานั่งบรรายลักษณะภูมิประเทศของประเทศนั้นๆ ทำไม แต่ถ้าหากใช้คำว่าว่า....พระราชาใหญ่ ในกรุงราชคฤห์ .... โดยให้คนที่อ่านก็เข้าใจไปเลยว่า...อ้อ มีประธานาธิบดีผู้ทรงอำนาจ อยู่ในเมืองที่ทรงอำนานั้น.... แต่ถ้าให้คิดแบบนี้มันก็ต้องคิดต่อไปอีกละว่า พระที่ท่านสังคายนาท่านก็มีความรู้อยู่แล้วก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเมืองนั้นชื่ออะไร ใครชื่ออะไร โอกาสที่ท่านจะมาใช้คำทั่วไปพูดให้คนฟังเอาแค่พอเข้าใจว่า เป็นเมืองทรงอำนาจเมืองหนึ่งกับคนๆหนึ่ง ท่านจะปกปิดไปทำไม หรือใช้คำเรียกทั่วไปเพียงเพื่อไม่ให้กระทบกับใครเท่านั้นเอง

มันเป็นแค่ความคิดของเด็กตาดำๆ อายุ21 อย่างผมคิดนะครับ ผิดถูกอย่างไรก็ช่วยชี้แจงด้วยนะครับ

แต่ทางที่ดีผมว่า ไปนั่งหลับตาดีกว่า แล้วค่อยฝันไปดูเอา

#24 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 17 June 2008 - 09:19 PM

ทราบมาว่า เทคโนโลยีในทุกวันนี้ กาลก่อนๆ ก็เคยมีมาแล้ว และรุ่งเรื่องมากกว่านี้

ส่วนวัดธรรมกายปัจจุบัน ก็เคยเป็นวัดมาก่อน และเมื่อกาลก่อน วัดนั้นกว้างใหญ่กว่านี้มากนัก และรู้สึกว่าเจ้าอาวาสก็เป็นรูปเดียวกันนี้

QUOTE
เทคโนโลยีแห่งความเสื่อมนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่โลกใกล้จะถึงยุคที่เรียกว่าวิสัญญีหรือยุคที่มนุษย์มีอายุตํากว่า100ปีแล้วเท่านั้นครับ เพราะในยุคนี้มนุษย์ไม่ฉลาดพอที่จะคิดได้ถึงผลกระทบที่จะตามมาของเทคโนโลยีแห่งความเสื่อมครับ


ถ้างั้นขอถามเพิ่มเติมค่ะ ถ้าเทคโนโลยีที่ล้ำยุค(สำหรับคนยุคนี้) ซึ่งในกาลก่อนมีความเจริญทางวัตถุมากกว่านี้(เรื่องนี้จำได้ ครูไม่ใหญ่ เคยพูด ว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้ว และ ล้ำยุคกว่านี้มาก) แสดงว่าช่่วงทเจริญมากกว่าในยุคปัจจุบันนี้นั้น อายุของคนในขณะนั้นก็ต้องน้อยกว่า 75 ปีซิคะ ประมาณว่ายิ่งล้ำยุคมากเท่าไหร่ คนในขณะนั้นก็อายุน้อยลงเท่านั้น เข้ากับเรื่องที่ว่ายิ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากเท่าไหร่ ร่างกายคนเราก็ยิ่งเล็กลงๆ ยิ่งร่างกายเล็กลงเท่าไหร่ อายุก็ยิ่งน้อยลง(คนโบราณตัวใหญ่ อายุมาก)



ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#25 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 18 June 2008 - 10:24 AM

ตอบคุณ ณ072 นะครับ อันนี้คิดเสียว่าเรามาร่วมกันวิเคราะห์นะครับไม่มีเจตนาอื่น ^ ^"

ตามที่คุณ ณ072 กล่าวมาก็ถูกครับที่ว่าเทคโนโลยีในสมัยนี้เคยมีมาแล้วในสมัยก่อนและลำหน้ากว่าในสมัยนี้มากนัก แต่ผมมั่นใจว่าเทคโนโลยีในสมัยก่อน คงไม่มีโทษและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตัวผู้ใช้เท่าในยุคนี้แน่ ที่สำคัญ เทคโนโลยีที่มีความเจริญในยุคนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนในยุคสมัยนี้จริงไหมครับ ยกตัวอย่าง อุปกรณ์ทำความเย็นหรือแอร์ ดูจากสิ่งก่อสร้างในยุคโบราณที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันค้นพบ ก็ไม่มีจริงไหมครับ ทีวี มือถือ หรือแม้แต่รถยนต์ในยุคปัจจุบัน จากการขุดค้นโบราณสถานโบราณวัตถุ หรือหลุมศพคนสำคัญในสมัยโบราณที่มักจะเอาสมบัติของตนฝังลงไปด้วยก็ไม่มีการพบแต่อย่างใด แล้วเพราะเหตุใดทั้งที่วิทยาการของเขาที่ลําหน้ากว่าจึงไม่มีของพวกนี้

ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผม ผมคิดว่าคนในยุคโบราณน่าจะรู้ถึงผลกระทบที่ส่งผลร้ายมากกว่าผลดีของอุปกรณ์เหล่านี้จริงไหมครับ ผมคิดว่าวิทยาการของเขาน่าจะมุ่งเน้นโดยใช้หลักธรรมชาติมากกว่า ซึ่งมีตัวอย่างให้พบอยู่เยอะแยะตามโบราณสถานในยุคโบราณ ที่เห็นได้ชัดคือหลักฮวงจุ้ยของจีน เช่น มหาปิระมิดในอียิปต์ที่ผมเคยอ่านเจอเขาบอกว่า ภายในปิระมิดนั้นเย็นสบายทั้งที่อยู่ในทะเลทรายเขตร้อน อะไรทำให้เป็นแบบนั้น อยากให้ลองเข้าไปในถําหินดูนะครับแล้วจะรู้คำตอบ มหาปิระมิดก็ใช้หลักการเก็บกักความเย็นแบบเดียวกับถําหินนั่นแหล่ะครับ คือใช้หินเก็บกักความเย็นเอาไว้

อยากให้ลองดูอีกสถานที่1 วัดที่เป็นโบราณสถานในอินเดียซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล ทราบไหมครับ ว่าทำไมส่วนใหญ่จึงทำเป็นทรงกลม

ประโยชน์ข้อที่1 คือช่วยในการกระจายเสียง ช่วยกระจายเสียงยังไงบ้านใครมีหลังคาทรงกลมหรือโค้งก็ได้ลองไปยืนใต้หลังคาแล้วพูดดูสิครับ อันนี้ผมพึ่งทราบเพราะที่ทำงานผมได้มีการทำหลังคาที่จอดรถซึ่งเป็นหลังคาโค้งครึ่งวงกลม ส่วนโค้งของหลังคาช่วยในการสะท้อนและรวมเสียง แม้พูดเสียงเบาเราก็ยังได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา

ประโยชน์ข้อที่2 คือการกระจายลมตามหลักแอร์โล่ไดนามิค กระแสลมจะวิ่งผ่านวัตถุทรงกลมได้ดีกว่าวัตถุทรงเหลี่ยม ทดสอบได้ง่ายๆครับ จุดเทียนสักเล่ม แล้วเอาวัตถุทรงกลมหรือเหลี่ยมมาตั้งเป็นเครื่องกรีดขวางบังไว้ข้างหน้าจากนั้นเป่าเทียนผ่านเครื่องกรีดขวาง จะเห็นว่าเทียนจะดับหากเป่าผ่านวัตถุทรงกลม อันนี้ผมยังเสียดายเลยครับ ที่สภาธรรมกายสากลของเราไม่ทำเป็นทรงกลม ไม่งั้นจะเย็นสบายมากกว่านี้

ประโยชน์ข้อที่3 คือ ลดความร้อนสั่งสมของแสงแดดอันนี้ผมไม่ขออธิบายนะครับ แต่เคยทดลองดูแล้วระหว่างยืนอยู่ใต้หลังคาทรงกลมกับหลังคาจั่ว ทรงกลมจะเย็นกว่า

นี่ครับ วิทยาการที่ลําสมัยของผมหมายถึงอย่างนี้ครับ คือก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่ส่งผลกระทบในทางเลวร้ายต่อสิ่งอื่น แต่ก็อีกเช่นกัน เมื่อมีวิทยาการแน่นอนมนุษย์ก็ต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบายจริงไหมครับ ยิ่งมนุษย์สะดวกสะบายมากเท่าไหร่ร่างกายก็อ่อนแอลงตามไปด้วย ลองสังเกตุมนุษย์ในยุคนี้ดูสิครับ แม้มีอายุขัยเฉลี่ย75ปีก็จริง แต่บางคนแก่ก่อนวัยอันควร บางคนอายุแค่25แต่เริ่มมีผมหงอกเหมือนคนแก่ บางคนอายุแค่35กลับมีรอยเหี่ยวย่นที่ใบหน้า ผมจึงได้บอกไงครับว่าเทคโนโลยีในสมัยนี้เป็นเทคโนโลยีในยุคเสื่อม และที่ผมบอกว่าเทคโนโลยีในยุคเสื่อมนี้จะเกิดขึ้นในสมัยที่มนุษย์มีอายุไม่ถึง100ปี เพราะมนุษย์มีเวลาในการศึกษาหาความรู้น้อยจึงไม่รู้และไม่มีเวลาศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาไงครับ คุณ ณ072ว่าจริงป่ะ ^ ^
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#26 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 18 June 2008 - 08:42 PM

เอ่อ...^-^" red_smile.gif ถึงคุณเคยเข้าวัด
ต้องขออภัยด้วยที่ใช้คำไม่รัดกุม dry.gif แล้วทำให้สามารถตีความหมายได้ผิด

ความจริงกาลก่อนที่หมายถึงคือ พุทธันดรที่ผ่านมา หรือกัปที่ผ่านมาค่ะ เทียบกับกัปนี้ ในขณะที่โลกมีความเจริญทางเทคโนโลยี(ใช้คำยากจริง...เดี๋ยวเข้าใจคลาดเคลื่อนอีก)(หรือเสื่อมในความหมายของคุณ) สูงสุดและเจริญมากกว่าคนในยุคนี้ ถ้าเทียบอายุกัน...เลยสงสัยว่าอายุของคนในกัปนั้น ณ ขณะนั้น คงน้อยกว่า 75 ปี เนื่องยิ่งเจริญทางเทคโนโลยีมาก ศีลธรรมยิ่งน้อยลง และคนยิ่งอายุน้อยลง

เลยได้ความรู้เรื่องทรงกลม มาเก็บไว้..ใส่บ่าแบกหาม เป็นคนช่างสังเกตุจัง happy.gif happy.gif ...... biggrin.gif biggrin.gif biggrin.gif

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#27 สุภาพบุรุษ072

สุภาพบุรุษ072
  • Members
  • 597 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 June 2008 - 12:14 PM

happy.gif ในสังสารวัฎนี้ไม่มีเคยมีอะไรใหม่ มันก็วนๆเวียนๆเปลี่ยนๆไปแบบนี้แหละครับ เดี๋ยวก็เสื่อมเดี๋ยวก็เจริญ และดับสูญไป ทุกสิ่งล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นตัวกำหนดของสรรพสัตว์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะหลุดพ้นจากสังสารวัฎ นั่นคือ นิพพานhappy.gif