QUOTE
คนที่เผ้าพระพุทธเจ้านั้น มีทุกระดับฐานะทางสังคม
คือจากบุคลระดับพระเจ้าแผ่นดินผู้ครองแคว้น ลงไปจนถึงจัณฑาลที่เป็นวรรณะต้องห้ามสำหรับคนในสมัยนั้น
เจตนารมณ์ในการมาเฝ้าพระบรมศาสดานั้น ก็แตกต่างกันออกไป
โดยเฉพาะคนที่ถือตนเองว่าเป็นนักปราชญ์ ก็มักจะมาเฝ้าเพื่อต้องการทดสอบ ทำนองลองดีก็มีอยู่ไม่น้อย
แต่ในฐานะ พระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงชี้แจง แสดงธรรม ให้คนเหล่านั้นเข้าใจเหตุผลที่ถูกต้อง
จนกลายเป็นคนอ่อนน้อมยอมตนนับถือพระพุทธเจ้า เป็นอันมาก
จนถึงกับสร้างความริษยาอาฆาตให้เกิดขึ้นแก่กลุ่มผลประโยชน์ คือคณาจารย์เจ้าลักธิที่มีอยู่ก่อน
แต่แม้ว่าคนเหล่านั้น จะเพียรพยายามทำลายพระบรมศาสดา ด้วยวิธีการต่าง ๆ
แต่ในที่สุด ก็ต้องพ่ายแพ้แก่ พุทธานุภาพไปในที่สุด
ในกรณีของคนที่มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อถามปัญหา นั้น พระบรมศาสดาทรงมีหลักในการตอบ ๔ วิธีด้วยกันคือ
๑. เอกังสพยากรณ์ พระพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ไปโดยส่วนเดียว
อย่างเช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
๒. วิภัชพยากรณ์ พระพุทธเจ้า ทรงจำแนกตัวไป ตามลักษณะของเรื่องนั้น ๆ
อย่างเช่น ปัญหาที่ว่า คนตายแล้วเกิดอีกหรือไม่? พระบรมศาสดาจะทรงตอบจำแนกไปตามเหตุผลคือ เมื่อเหตุให้เกิด มีอยู่
การเกิด ก็ต้องมี เมื่อไม่มี การเกิด ก็ไม่มี
๓. ปฏิปุจฉาพยากรณ์ พระพุทธเจ้า ทรงใช้ปัญหาที่ถามมานั้นเอง ย้อนถามไปอีกที แล้วจะออกมาเป็นคำตอบเอง
๔. ฐปนียะ ปัญหาบางเรื่องบางอย่าง เป็นเรื่องไร้สาระบ้าง ตั้งคำถามผิดบ้าง พูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ผู้ฟังบ้าง
พระบรมศาสดา จะทรงนิ่งเฉยเสียไม่ตอบ
เพราะพระพุทธดำรัสทุกคราว ของพระพุทธเจ้า ท่านวางอยู่บนหลักที่ว่า
"ต้องเป็นเรื่องจริง เป็นธรรมมีประโยชน์ เหมาะสมแก่กาล คนฟังอาจจะชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้างก็ได้
แต่ถ้าคุณสมบัติ ๔ ประการข้างต้นมีอยู่ ท่านจะตรัสพระดำรัสนั้นๆ"
คือจากบุคลระดับพระเจ้าแผ่นดินผู้ครองแคว้น ลงไปจนถึงจัณฑาลที่เป็นวรรณะต้องห้ามสำหรับคนในสมัยนั้น
เจตนารมณ์ในการมาเฝ้าพระบรมศาสดานั้น ก็แตกต่างกันออกไป
โดยเฉพาะคนที่ถือตนเองว่าเป็นนักปราชญ์ ก็มักจะมาเฝ้าเพื่อต้องการทดสอบ ทำนองลองดีก็มีอยู่ไม่น้อย
แต่ในฐานะ พระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงชี้แจง แสดงธรรม ให้คนเหล่านั้นเข้าใจเหตุผลที่ถูกต้อง
จนกลายเป็นคนอ่อนน้อมยอมตนนับถือพระพุทธเจ้า เป็นอันมาก
จนถึงกับสร้างความริษยาอาฆาตให้เกิดขึ้นแก่กลุ่มผลประโยชน์ คือคณาจารย์เจ้าลักธิที่มีอยู่ก่อน
แต่แม้ว่าคนเหล่านั้น จะเพียรพยายามทำลายพระบรมศาสดา ด้วยวิธีการต่าง ๆ
แต่ในที่สุด ก็ต้องพ่ายแพ้แก่ พุทธานุภาพไปในที่สุด
ในกรณีของคนที่มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อถามปัญหา นั้น พระบรมศาสดาทรงมีหลักในการตอบ ๔ วิธีด้วยกันคือ
๑. เอกังสพยากรณ์ พระพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ไปโดยส่วนเดียว
อย่างเช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
๒. วิภัชพยากรณ์ พระพุทธเจ้า ทรงจำแนกตัวไป ตามลักษณะของเรื่องนั้น ๆ
อย่างเช่น ปัญหาที่ว่า คนตายแล้วเกิดอีกหรือไม่? พระบรมศาสดาจะทรงตอบจำแนกไปตามเหตุผลคือ เมื่อเหตุให้เกิด มีอยู่
การเกิด ก็ต้องมี เมื่อไม่มี การเกิด ก็ไม่มี
๓. ปฏิปุจฉาพยากรณ์ พระพุทธเจ้า ทรงใช้ปัญหาที่ถามมานั้นเอง ย้อนถามไปอีกที แล้วจะออกมาเป็นคำตอบเอง
๔. ฐปนียะ ปัญหาบางเรื่องบางอย่าง เป็นเรื่องไร้สาระบ้าง ตั้งคำถามผิดบ้าง พูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ผู้ฟังบ้าง
พระบรมศาสดา จะทรงนิ่งเฉยเสียไม่ตอบ
เพราะพระพุทธดำรัสทุกคราว ของพระพุทธเจ้า ท่านวางอยู่บนหลักที่ว่า
"ต้องเป็นเรื่องจริง เป็นธรรมมีประโยชน์ เหมาะสมแก่กาล คนฟังอาจจะชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้างก็ได้
แต่ถ้าคุณสมบัติ ๔ ประการข้างต้นมีอยู่ ท่านจะตรัสพระดำรัสนั้นๆ"
ไปหากระทู้ เก่าๆ ดีๆ มารื้อให้อ่านใหม่จ้ะ
ท่าน เพียงพอ ได้อาราธนามาเป็นความรู้กันแต่นานมากแล้ว
ส่วนตัวเห็นว่า อาจนำมาเป็นรูปแบบ
ในการทำหน้าที่การเป็นกัลยาณมิตร ในตอบกระทู้ของพวกเราได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะวิธี ข้อ 3และ 4
เลยอาราธนามาให้อ่านกัน..เป็นแนวทาง
สำหรับทุกท่าน ที่มีเมตตาจิต ที่ให้ธรรมทาน แสงสว่าง แด่คนทั่วไป
อย่างเพื่อนๆทุกท่าน ชาวรร.อนุบาลฯ ในเว็บบอร์ดนี้
จะได้ยังคง สว่างไสว ดุจโคมประทีป งดงามแก่ชาวโลก ตลอดไป...
...
เอ้า..ใครมีอะไรเพิ่มเติม ก็ช่วยกันเลย..
สาธุ