ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

มารใจร้าย มารใจบาป


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 29 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 05:48 PM

ได้ฟังเทศน์ครูไม่ใหญ่ช่วงบ่ายวันนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับมารแล้ว มีความน่าสนใจ ชวนติดตามมาก

จึงลองไปหาเปิดพระไตรปิฎกดู ได้ความว่ามีอยู่ในพระสูตรที่ชื่อว่า มหาปริพนิพพานสูตร

อยู่ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรคมีเนื้อความตอนที่ท่านเล่าให้ฟังดังนี้ครับ


ว่าด้วยนิมิตโอภาส


[๙๔] ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว

ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังเมืองเวสาลี

ครั้นเสด็จเที่ยวบิณฑบาตแล้ว เวลาปัจฉาภัตเสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว

ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า


ดูกรอานนท์ เธอจงถือเอาผ้านิสีทนะไป เราจักเข้าไปยังปาวาลเจดีย์ เพื่อพักผ่อนตอนกลางวัน

ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว

ถือเอาผ้านิสีทนะตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปทางเบื้องพระปฤษฎางค์ ฯ


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังปาวาลเจดีย์

ครั้นเสด็จเข้าไปแล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ท่านพระอานนท์ปูลาดถวาย

ฝ่ายท่านพระอานนท์ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกะท่านว่า


ดูกรอานนท์ เมืองเวสาลีน่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ โคตมเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์

พหุปุตตเจดีย์ สารันทเจดีย์ ปาวาลเจดีย์ ต่างน่ารื่นรมย์

อิทธิบาททั้ง ๔ อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดุจยาน

กระทำให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว

ผู้นั้นเมื่อจำนงอยู่ พึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป


ดูกรอานนท์ อิทธิบาททั้ง ๔ ตถาคตเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดุจยาน

กระทำให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว

ตถาคตนั้น เมื่อจำนงอยู่ จะพึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป


แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงกระทำนิมิตอันหยาบ โอภาสอันหยาบอย่างนี้

ท่านพระอานนท์ก็มิอาจรู้ทัน จึงมิได้ทูลวิงวอนพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป

ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก

เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย

ดังนี้ เพราะถูกมารเข้าดลใจแล้ว

แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคก็รับสั่งกะท่านพระอานนท์ ฯลฯ

แม้ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาคก็รับสั่งกะท่านพระอานนท์ ฯลฯ

ท่านพระอานนท์ก็มิอาจรู้ทัน ... เพราะถูกมารเข้าดลใจแล้ว


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า เธอจงไปเถิด

อานนท์ เธอรู้กาลอันควรในบัดนี้ ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของ

พระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ

แล้วไปนั่ง ณ โคนไม้แห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล ฯ


มารกราบทูลให้ปรินิพพาน


[๙๕] ครั้งนั้น มารผู้มีบาป เมื่อท่านพระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง มารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด

บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค


ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า

ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า

ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม

เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้

ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด

เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว

ได้รับแนะนำแล้ว แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม

เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนกกระทำให้ง่ายได้

แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ฯ


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด

บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค

ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า

ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุณีผู้สาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ...

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ ภิกษุณีผู้สาวิกาของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว ...

แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ฯ


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด

บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค

ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า

ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ...

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ อุบาสกผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว ...

แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ฯ


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด

บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค

ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า

ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ...

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว

ได้รับแนะนำแล้ว แกล้วกล้าเป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม

เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายได้

แสดงธรรม มีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ฯ


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด

บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค

ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า

ดูกรมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก

เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งพวกเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคนี้สมบูรณ์แล้ว

กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งพวกเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว

ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด

บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค ฯ


เมื่อมารกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบว่า

ดูกรมารผู้มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า

โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมีพระสติสัมปชัญญะทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์

และเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงปลงอายุสังขารแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่

และขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น

พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้วทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า


[๙๖] มุนีปลงเสียได้แล้วซึ่งกรรมที่ชั่งได้และกรรมที่ชั่งไม่ได้

อันเป็นเหตุสมภพ เป็นเครื่องปรุงแต่งภพ และได้ยินดีในภายใน

มีจิตตั้งมั่น ทำลายกิเลสที่เกิดในตนเสีย เหมือนนักรบทำลายเกราะฉะนั้น ฯ


#2 Marina

Marina
  • Members
  • 171 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 06:29 PM

สาธุ ขอขอบคุณในธรรมะที่นำมาเผยแผ่ต่อนะคะ happy.gif happy.gif

#3 253555

253555
  • Members
  • 66 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 06:39 PM

อนุโมทนาบุญ

ด้วยนะค่ะ^^

ในการให้ธรรมทาน

#4 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 07:22 PM

สาธุ สาธุ สาธุ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#5 เย็นสบาย

เย็นสบาย
  • Members
  • 155 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 07:35 PM

สาธุครับ

#6 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 09:01 PM

ก็มารได้มากราบทูลให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน
ตั้งแต่เมื่อแรกๆ ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ
ท่านว่าเริ่มตั้งแต่ ตอนที่ทรงประทับอยู่ใต้ต้น อชปาลนิโครธ (ต้นไทรของคนเลี้ยงแพะ)

ทีนี้พอลองไปเปิดดูพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๑๖ - ๒๐๘. หน้าที่ ๖ – ๙.
http://84000.org/tip...amp;pagebreak=0

ปรากฏว่า พระพุทธองค์ทรงเคยประทับอยู่ที่ต้น อชปาลนิโครธ ถึง สองครั้งสองครา แต่ต่างวาระกัน

มีใครพอทราบบ้างไหมครับว่า
มารมาทูลอาราธนาให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานในครั้งไหน
ครั้งแรก หรือครั้งหลัง?


#7 nar

nar
  • Members
  • 106 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 09:05 PM

สาธุค่ะ วันนี้ได้ฟังเทศน์ของคุณครูไม่ใหญ่แล้ว มีความเข้าใจเนื้อหามากขึ้นกว่าเดิมอีกค่ะ ยิ่งฟังหลายๆ ครั้ง รู้สึกว่าเริ่มเข้าใจได้ละเอียดมากขึ้น

#8 kasaporn

kasaporn
  • Members
  • 870 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 09:15 PM

อืม...เช่นกันค่ะ ฟังหลวงพ่อแล้วรู้สึกได้ว่าชัดเจนขึ้นค่ะ

#9 สักวันคงเป็นวันของเรา

สักวันคงเป็นวันของเรา
  • Members
  • 65 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 09:37 PM

มีความสงสัยว่า....ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเลือกพระอานนท์ ไม่ทรงเลือกพระสาลีบุตรล่ะคะ...มีใครตอบได้ไหมคะ

#10 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 09:46 PM

ขอเพิ่มเติมเนื้อหาอีกหน่อยนะครับ อยู่ใน มหาปรินิพพานสูตร เดียวกันครับ

ทรงเล่าเรื่องมาร


[๑๐๒] ดูกรอานนท์ สมัยหนึ่ง เราแรกตรัสรู้ พักอยู่ที่ต้นไม้อชปาลนิโครธแทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ
ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นมารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด
ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค


เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า
ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า
ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดงบัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้
ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

ดูกรมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก
เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดามนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว เพียงใด
เราจักไม่ปรินิพพานเพียงนั้น

ดูกรอานนท์ วันนี้เมื่อกี้นี้เอง มารผู้มีบาปได้เข้ามาหาเราที่ปาวาลเจดีย์
ครั้นเข้ามาหาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
มารผู้มีบาปครั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด
ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค

ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า
ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ...
ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ...
อุบาสกผู้เป็นสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ...
อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ...
พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก
เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้วเพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคสมบูรณ์แล้ว กว้างขวาง แพร่หลาย
รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่นจนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว
ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด
บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค ฯ

ดูกรอานนท์ เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า
ดูกรมารผู้มีบาปท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า
โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน
ดูกรอานนท์ วันนี้เมื่อกี้นี้ตถาคตมีสติสัมปชัญญะปลงอายุสังขารแล้ว ที่ปาวาลเจดีย์ ฯ



#11 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 09:56 PM

QUOTE
นักเรียนอนุบาล สักวันคงเป็นวันของเรา
จำนวนความเห็น: 55
ความคิดเห็น #9 |
มีความสงสัยว่า....ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเลือกพระอานนท์ ไม่ทรงเลือกพระสาลีบุตรล่ะคะ...มีใครตอบได้ไหมคะ
ความคิดเห็น วันนี้ 21:37


เพราะพระอานนท์ท่านสร้างบุญบารมีมาเพื่อเป็นพระผู้อุปัฏฐากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงครับ
ส่วนพระสารีบุตร ท่านก็สร้างบารมีมาทางด้านเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญาโดยตรงครับ
เป็นเรื่องของการอธิษฐานมาข้าภพข้ามชาติ แล้วก็บำเพ็ญบารมีมาจนถึงที่ได้อธิษฐานไว้ครับ
เหตุนั้นพระผู้สัพพัญญู ทรงรู้เหตุเหล่านี้แล้ว จึงต้องเลือกพระอานนท์ ตามความเหมาะสมของความสามารถที่ได้สั่งสมบารมีมาครับ

#12 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 06:58 AM

มารใจร้าย มารใจบาป ต้องปราบให้สิ้น

#13 Dhamma Bot

Dhamma Bot
  • Members
  • 477 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 08:38 AM

ถ้าจำไม่ผิด พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ นิพพานไปก่อนหน้านั้นแล้วครับ โดยพระสารีบุตรไปนิพพานที่บ้านโยมมารดาของตน หลังจากนั้นไม่นานพระมหาโมคัลลานะ ก็นิพพานเพราะถูกโจรทุบตาย ตำราว่าไว้คือพระอัครสาวกมีธรรมเนียมเข้านิพพานก่อนพระบรมศาสดาครับ

ผมคิดว่ากระทู้นี้ดีมากๆ ครับ ตรงที่ทำให้เราเข้าใจพระคัมภีร์มากขึ้น เมื่อเทียบกับความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติธรรมของพระเดชพระคุณหลวงปู่ เพราะหลวงพ่อท่านได้ชี้แจงแล้วว่ามารที่พระพุทธเจ้าเอาชนะได้ใต้ต้นโพธิ์ในคืนวันตรัสรู้ (มารระดับลูกน้องที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว) กับมารที่ทรงพบใต้ต้นไทรนั้นเป็นคนละมารกัน (มารระดับพญามารที่ดูสวยงาม) แม้พระแม่ธรณีจะบีบมวยผมเอาน้ำพัดพาหมู่มารให้แตกพ่ายไปแล้วแต่มารก็ยังคงอยู่นั่นเอง จะเห็นได้ว่ามารมาทูลอาราธนาให้นิพพาน ซึ่งแม้พระคัมภีร์จะใช้ภาษาที่ฟังดูไพเราะ แต่จากเนื้อความแล้วผมคิดว่าลักษณะเหมือนจะแกมบังคับอยู่ไม่น้อย

สรุปแล้วคือพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้ว แต่มารก็ยังคงอยู่ คอยขัดขวางการทำความดีของสรรพสัตว์ต่อไป เพราะเหตุนี้เองพระเดชพระคุณหลวงปู่ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย จึงมีความเห็นว่าต้องปราบมารให้ได้ สรรพสัตว์ถึงจะอยู่เย็นเป็นสุข ก็นับว่าท่านเป็นบุคคลสำคัญที่ควรแก่การบูชาครับ เพราะฉะนั้น วันที่ 10 ตุลาคม 2551 นี้ ขอเรียนเชิญทุกท่านมาร่วมหล่อรูปเหมือนทองคำของท่านกันนะครับ happy.gif

#14 Ray

Ray
  • Members
  • 168 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 09:03 AM

satu

#15 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 10:04 AM

เมื่อคืนกลับไปนั่งค้นหาว่ามารที่ครูไม่ใหญ่เล่าให้ฟังนั้น
มาทูลอาราธนาฯให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานตอนแรกหรือตอนหลัง
คือ ตอนพระพุทธองค์ทรงนั่งอยู่ใต้ต้น อชปาลนิโครธ ครั้งแรก หลังทบทวนปฏิจจสมุปปบาทในสัปดาห์แรกแล้ว
กับตอนที่กลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง ตอนที่พระพรหมมาทูลอาราธนาให้ทรงออกเผยแผ่พระธรรม

ก็ได้ความว่าน่าจะเป็นครั้งหลัง คือ
หลังจากที่พระพรหมทูลอาราธนาให้ทรงออกเผยแผ่พระธรรมแล้ว
ลองพิจารณาจากข้อความเหล่านี้ดูนะครับ


พรหมยาจนกถา


[๘] ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตนแล้ว
เกิดความปริวิตกว่า ชาวเราผู้เจริญ โลกจักฉิบหายหนอ โลกจักวินาศหนอ
เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อความขวนขวายน้อย
ไม่ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อทรงแสดงธรรม
.

ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมได้หายไปในพรหมโลก
มาปรากฏ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค
ดุจบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น
ครั้นแล้วห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า คุกชาณุมณฑลเบื้องขวาลงบนแผ่นดิน
ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคแล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า

พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงแสดงธรรม ขอพระสุคตได้โปรดทรงแสดงธรรม
เพราะสัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี.

ท้าวสหัมบดีพรหมได้กราบทูลดังนี้แล้ว จึงกราบทูลเป็นประพันธคาถาต่อไปว่า

เมื่อก่อนธรรมไม่บริสุทธิ์อันคนมีมลทินทั้งหลายคิดแล้ว ได้ปรากฏในมคธชนบท
ขอพระองค์ได้โปรดทรงเปิดประตูแห่งอมตธรรมนี้
ขอสัตว์ทั้งหลายจงฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หมดมลทินตรัสรู้แล้วตามลำดับ
เปรียบเหมือนบุรุษมีจักษุยืนอยู่บนยอดภูเขา ซึ่งล้วนแล้วด้วยศิลา พึงเห็นชุมชนได้โดยรอบฉันใด
ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญาดี มีพระปัญญาจักษุรอบคอบ
ขอพระองค์ผู้ปราศจากความโศกจงเสด็จขึ้นสู่ปราสาท อันสำเร็จด้วยธรรม
แล้วทรงพิจารณาชุมชน ผู้เกลื่อนกล่นด้วยความโศก ผู้อันชาติและชราครอบงำแล้ว มีอุปมัยฉันนั้นเถิด
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ทรงชนะสงคราม ผู้นำหมู่ หาหนี้มิได้
ขอพระองค์จงทรงอุตสาหะเที่ยวไปในโลกเถิด ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรม
เพราะสัตว์รู้ทั่วถึงธรรมจักมี.

ทรงพิจารณาสัตวโลกเปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่า


[๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์
จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ
ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี
ที่มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี
ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี.

มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริก
ที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ
บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้
บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ
บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว.

พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ...
ครั้นแล้วได้ตรัสคาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า ดังนี้:-

เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว
สัตว์เหล่าใดจะฟัง จงปล่อยศรัทธามาเถิด
ดูกรพรหม เพราะเรามีความสำคัญในความลำบาก
จึงไม่แสดงธรรมที่เราคล่องแคล่ว ประณีต ในหมู่มนุษย์.

ครั้นท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม
แล้ว
จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้ว อันตรธานไปในที่นั้นแล.
พรหมยาจนกถา จบ
-----------------------------------------------------
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ บรรทัดที่ ๒๐๙ - ๒๕๘. หน้าที่ ๙ - ๑๑.
http://84000.org/tip...amp;pagebreak=0


#16 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 10:11 AM

จากข้อความเหล่านี้เราจะเห็นได้ว่า
ตอนแรกพระองค์ จะไม่ทรงแสดงธรรม ไม่ออกเผยแผ่พระธรรม

ซึ่งลองคิดดูว่า ถ้ามารมาทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงปรินิพพานในช่วงนั้น จะเกิดอะไรขึ้น
ก็ในเมื่อขันธ์ ๕ พระองค์ทรงเห็นชัดแล้วว่า มันเป็นทุกข์ การดับขันธ์ เข้าสู่พระนิพพานเป็นสุขยิ่ง
พระองค์จะทนทุกข์อยู่ทำไมตั้ง ๘๐ ปี ถ้าไม่ใช่เพื่อการเผยแผ่พระธรรม เพื่อโปรดสรรพสัตว์แล้ว
พระองค์คงจะเสด็จดับขันธ์ เข้าสู่พระนิพพานตั้งแต่มารทูลอาราธนาในตอนใต้ต้น อชปาลนิโครธแล้ว

แต่ไฉนพระองค์ทรงปฏิเสธการทูลอาราธนาของมาร ดังมีใจความการปฏิเสธว่า
พระองค์ต้องเผยแผ่พระศาสนา (เพราะสร้างบารมีมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ)
คือพระธรรมนี้ ให้มั่นคงใน บริษัท ๔ เสียก่อนจึงจะปรินิพพาน
ลองทบทวนข้อความตอนนี้ดูนะครับ


QUOTE
ทรงเล่าเรื่องมาร


[๑๐๒] ดูกรอานนท์ สมัยหนึ่ง เราแรกตรัสรู้ พักอยู่ที่ต้นไม้อชปาลนิโครธแทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ
ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นมารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด
ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค

เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า
ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า
ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดงบัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้
ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

ดูกรมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก
เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดามนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว เพียงใด
เราจักไม่ปรินิพพานเพียงนั้น


การที่พระพุทธองค์ทรงตรัสปฏิเสธคำทูลอาราธนาของมารอย่างนี้นี่เอง เป็นการแสดงให้เราเห็นว่า
พระองค์ต้องทรงตกลงปลงพระทัยที่จะออกเผยแผ่แสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์แล้ว
ตามคำทูลอาราธนาของ ท้าวสหัมบดีพรหม ก่อนหน้าที่มารจะทูลอาราธนาฯ
นั่นเอง

ตามหลักฐานเหล่านี้จึงน่าสรุปได้ว่า
มารมาทูลอาราธนาให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ในตอนที่ประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธครั้งที่สอง
และ ต้องมาอาราธนาทีหลังท้าวสหัมบดีพรหม

หากมีใครได้ข้อมูลที่ชัดกว่านี้ นำมาแลกเปลี่ยนกันบ้างก็ดีนะครับ
สนทนาธรรมกันอย่างกัลยาณมิตร ประเทืองปัญญาดีออก


#17 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 10:15 AM

ได้สาระธรรมดีมากๆจ้า และยืนยันถึงสิ่งที่หลวงปู่หลวงพ่อท่านไปรู้ไปเห็นมาได้ดีมากๆ
ที่เคยเจอมา.. เรื่องเกี่ยวกับฝั่งตรงข้ามนี้นอกจากในพระไตรปิฎกแล้ว ก็มีบันทึกไว้ในหนังสือหลายเล่ม
ซึ่งกล่าวถึงการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ที่ไปรู้ไปเห็นมาแล้วมาเล่าให้ฟัง..
รวมไปถึงวาระต่างๆที่ท่านเผชิญกับฝั่งตรงข้าม มาอาราธนาไม่ให้สอนวิชชาธรรมกายบ้าง
โดยเสนอข้อแลกเปลี่ยนให้(แต่หลวงปู่ไม่สน).. อาราธนาให้ท่านปลงสังขารบ้าง..
แต่น่าเสียดายที่บางครั้ง.. ไม่สามารถเผยแผ่ได้อย่างตรงไปตรงมา..
มีการสั่งห้ามนักหนากันหลายแห่ง.. เพราะเกรงว่าจะเป็นการอวดอุดตลุด (555 รู้กันนะ)

แต่ถ้าคนที่ศึกษาธรรมมะมามากพอสมควร รู้เรื่องราวของวัฏฏะสงสาร, ภพสาม, การสั่งสมบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า,
การตัดสินใจจุติเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเลือกที่จะสั่งสมบารมีให้แก่รอบต่อไป, ฯลฯ
เมื่อได้ฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก (ธาตุธรรมแข็งพอสมควรนั่นเอง)
บางคนได้ฟังแค่ครั้งเดียว ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็ขอตามติดติดตามด้วยเลย.. เพราะเขาสั่งสมมาจริงๆ..
มีสายบุญกับหมู่คณะแข็งจริง..
แต่อย่าได้คิดว่าทุกท่านจะเป็นแบบข้างบนหมดเด้อ..
หากเผลอไปเล่าให้บางคนที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวฟังล่ะ(ธาตุธรรมอ่อน)เพราะคนในสังคมส่วนมากจะนับถือ
พระพุทธศาสนาแค่ในทะเบียนบ้าน.. คนกลุ่มนี้ถ้าได้ฟังล่ะก็ เตลิดเปิดเปิงเลยล่ะ.. เพราะเขาไม่เข้าใจ..
ครั้นจะทำให้เข้าใจ.. ก็ต้องใช้ความพยายามของผู้พูดให้ฟังมากๆ และใช้เวลามากๆ..
แล้วก็ไม่แน่ว่าพอเข้าใจแล้ว.. มาเจอกันใหม่อาจคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว.. โดนฝั่งตรงข้ามแทรกเห็นจำคิดรู้ไปแล้วก็ได้
ก็จะเป็นการเสียเวลาเปล่า..

ดังนั้น.. หากท่านใดจะเอาไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง(คนนอกวัด หรือคนใหม่ๆ)
ควรใช้เวลาตรวจดูความเข้าใจของผู้ฟังก่อนนิดนึงก็จะดีไม่น้อย.. ไม่งั้นเดี๋ยวเตลิดเปิดเปิงอีก.. จริงๆนะ..


ที่บอกแบบนี้ได้เพราะ.. เคยเจอกับตัวเองมาแล้ว.. เพื่อนรักกันมากสนิทกันมาก แล้วก็รู้ว่าเพื่อนคนนี้
มีภูมิรู้ภูมิธรรมดีพอสมควร.. คิดว่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก.. แต่.. การณ์กลับตรงกันข้ามเฉยเลย..
มาถึงตรงนี้.. ย้อนกลับไปคิด.. ก็รู้สึกไม่แปลกใจเลย.. เพราะอะไร.. ?
เพราะเขาสามารถปิดบัง เห็นจำคิดรู้ ของพระอานนท์ได้ขนาดนั้น..
กับเพื่อนใกล้ตัวของเราและทุกท่าน หรือคนในครอบครัว หมู่ญาติ เขาก็ย่อมสามารถทำได้ไม่ยากเลย.. จริงไหม.. ?
เพราะอะไรน่ะหรือ.. เพราะเขาไม่ต้องการให้มีคนมาร่วมกับหมู่คณะของเรามากๆ มันจะทำให้หมู่คณะเราแข็งแรง
และเขาจะลำบากนั่นแหละ.. ขนาดท่านที่ว่าเข้าใจกันดีอยู่แล้ว เป็นพวกเดียวกันเขายังทำให้เตลิดออกไปได้เลย..


ดังนั้นท่านที่บังเอิญได้เข้ามารู้เรื่องราวความจริงนี้.. ถ้ายังไม่เตลิดเปิดเปิงไปก็..
ขอแสดงความยินดีด้วย.. คุณคือตัวจริง..
เข้าใจมโนปณิธานของหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยายอาจารย์ฯ และหมู่คณะของเราแล้ว..
ก็ขอให้หนักแน่นมั่นคงให้จงหนัก.. อย่าไหวคลอนได้ง่ายๆ..
เพราะงานของหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยายอาจารย์นั้น เป็นงานใหญ่ยิ่งนัก..
หนทางยาวไกล.. ต้องการความสามัคคี พร้อมเพรียง ถึงไหนถึงกัน คนจริง ตัวจริง ที่ไม่ทิ้งกัน..


กราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยจ้า..
สาธุ สาธุ สาธุ.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#18 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 10:33 AM

เสริมอีกนิดนึง.. สำหรับท่านที่จินตนาการไม่ออกว่า.. หลวงปู่มีความสำคัญอย่างไร..
ลองคิดตามนี้นะ..

ท่านผู้นั้น(ฝั่งตรงข้าม)ที่มาในรูปแบบไม่น่ากลัว.. แต่น่ากลัว..
(ตรงข้ามกับพวกที่ยกทัพมาตอนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้นะ.. พวกนั้นดูน่ากลัว.. แต่ความจริงยังน่ากลัวน้อยกว่า)
ท่านผู้นั้น(ฝั่งตรงข้าม)จะไม่มาให้คนธรรมดา กิเลสหนาได้เห็นหรอก..
เพราะถือเป็นนักโทษชั้นดีของเขา.. เขาเอาอะไรมาใส่ เห็นจำคิดรู้ ก็รับเอาไว้ง่ายๆ
อย่างพวกเราๆรวมทั้งตัวเราเองเนี่ย.. ก็ไม่ได้เห็นท่านผู้นั้น(ฝั่งตรงข้าม)ง่ายๆหรอก..
(แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะเขาน่ากลัวมากไม่อยากเจอ)
แต่ท่านผู้นั้น(ฝั่งตรงข้าม)จะเลือกมาปรากฎตัวให้เห็น.. เฉพาะท่านที่มีบารมีสุดยอดเท่านั้น
เช่น.. มาปรากฎกายต่อรองกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. รวมไปถึง.. หลวงปู่ของเรา.. ที่เจอตัวมาแล้วจังๆ..
(ความจริงที่ทราบมายังมีอีกท่านหนึ่ง.. แต่ขอไม่กล่าวไว้ที่นี้..
เพราะแนวทางของท่านนั้นชอบถ่อมตัวว่าไม่ใหญ่ จึงขอรักษาแนวทางของท่านเอาไว้ก่อน..)

ทีนี้.. คงพอจะจินตนาการได้บ้างนะว่าหลวงปู่ท่านสั่งสมบารมีมาแค่ไหน..
แล้วคงพอจะคิดได้ว่า.. 10 ตุลานี้.. รักท่านคนละกี่กองดี.. ?
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#19 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 11:51 AM

มีข้อมูลมาเพิ่มเติมครับ
เมื่อพระอานนท์ได้ฟังว่าพระตถาคตเจ้าเพิ่งทรงปลงอายุสังขารไปเมื่อกี้นี้ ณ ปาวาลเจดีย์นั้น
จึงรีบกราบทูลอาราธนาพระองค์ผู้สัพพัญญูให้ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ตลอดกัป

ลองศึกษาดูนะครับ ว่าเหตุการณ์ตอนนั้นจะเป็นอย่างไร
และพระอานนท์จะเศร้าโศกเสียใจประการใด จนที่ว่าน้ำตาลูกผู้ชาย(พระโสดาบัน) ต้องหลั่งรินออกมา

พระอานนท์กราบทูลอาราธนา


เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป
ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป
เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก
เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เวลานี้อย่าเลย อย่าวิงวอนตถาคตเลย
บัดนี้มิใช่เวลาที่จะวิงวอนตถาคต
แม้ครั้งที่สอง ...
แม้ครั้งที่สาม ... ท่านพระอานนท์ ก็ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป
เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก
เพื่ออนุเคราะห์โลกเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฯ

ดูกรอานนท์ เธอเชื่อความตรัสรู้ของตถาคตหรือ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เชื่อ ฯ
ดูกรอานนท์ เมื่อเชื่อ ไฉนเธอจึงแค่นไค้ตถาคตถึงสามครั้งเล่า ฯ

อานุภาพของอิทธิบาท ๔ ประการ


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ฟังมาได้รับมา เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
ดูกรอานนท์ อิทธิบาททั้ง ๔ อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดุจยาน
กระทำให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว
ผู้นั้น เมื่อจำนงอยู่ พึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป

ดูกรอานนท์ อิทธิบาททั้ง ๔ ตถาคตเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดุจยาน
กระทำให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว
ตถาคตนั้น เมื่อจำนงอยู่ จะพึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป ฯ

ดูกรอานนท์ เธอเชื่อหรือ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เชื่อ ฯ
ดูกรอานนท์ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว
เพราะว่า เมื่อตถาคตทำนิมิตอันหยาบ ทำโอภาสอันหยาบอย่างนี้ เธอมิอาจรู้ทัน
จึงมิได้วิงวอนตถาคตว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป
ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก
เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ถ้าเธอวิงวอนตถาคต ตถาคตจะพึงห้ามวาจา เธอเสียสองครั้งเท่านั้น ครั้นครั้งที่สาม ตถาคตพึงรับ
เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์เรื่องนี้จึงเป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว ฯ...



#20 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 12:01 PM

ดูกรอานนท์ เราได้บอกเธอไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า
ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ต้องมี
เพราะฉะนั้นจะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน
สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา
การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้น อย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะจะมีได้

ก็สิ่งใดที่ตถาคตสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละแล้ววางแล้ว
อายุสังขารตถาคตปลงแล้ว วาจาที่ตถาคตกล่าวไว้โดยเด็ดขาดว่า
ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน
อันตถาคตจะกลับคืนยังสิ่งนั้น เพราะเหตุแห่งชีวิต ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้


มาไปกันเถิดอานนท์ เราจักเข้าไปยังกุฏาคารสาลาป่ามหาวัน
ท่านพระอานนท์รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยท่านพระอานนท์เสด็จเข้าไปยังกุฏาคารสาลาป่ามหาวัน

รับสั่งเรียกประชุมสงฆ์


ครั้นแล้ว รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ไปเถิดอานนท์
เธอจงให้ภิกษุทุกรูปเท่าที่อาศัยเมืองเวสาลีอยู่ มาประชุมที่อุปัฏฐานศาลา
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
จึงให้ภิกษุทุกรูปเท่าที่อาศัยเมืองเวสาลีอยู่ มาประชุมที่อุปัฏฐานศาลา
แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นท่านพระอานนท์ยืนเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด ฯ

[๑๐๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลาประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย
ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง
ธรรมเหล่านั้น พวกเธอเรียนแล้ว พึงส้องเสพ พึงให้เจริญ พึงกระทำให้มากด้วยดี
โดยประการที่พรหมจรรย์นี้จะพึงยั่งยืน ดำรงอยู่ได้นาน เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก
เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ก็ธรรมที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ... เหล่านั้นเป็นไฉน คือ
สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โภชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ... ฯ

สังเวชนียธรรม
(ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช)


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

ความปรินิพพานแห่งตถาคต จักมีในไม่ช้า
โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน ฯ

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

[๑๐๘] คนเหล่าใด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมีทั้งขัดสน
ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
ภาชนะดินที่นายช่างหม้อกระทำแล้ว ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบ ทุกชนิด มีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ฯ


พระศาสดาได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราเป็นของน้อย
เราจักละพวกเธอไป เรากระทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีล อันดีเถิด
จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นดีแล้ว ตามรักษาจิตของตนเถิด
ผู้ใด จักเป็นผู้ไม่ประมาท อยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสาร
แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังนี้ ฯ


จบภาณวารที่สาม ฯ
----------------------------------------------------------------



พระอานนท์(พระโสดาบัน) ร้องไห้


[๑๓๕] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปสู่วิหารยืนเหนี่ยวไม้คันทวยร้องไห้อยู่ว่า
เรายังเป็นเสขบุคคลมีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่พระศาสดาของเรา ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินิพพานเสีย

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งถามพวกภิกษุว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไปไหน พวกภิกษุกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านอานนท์นั้น เข้าไปสู่วิหารยืนเหนี่ยวไม้คันทวยร้องไห้อยู่ว่า
เรายังเป็นเสขบุคคล มีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่พระศาสดาของเรา ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินิพพานเสีย

พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่า
เธอจงไปเถิดภิกษุ จงบอกอานนท์ตามคำของเราว่า
ท่านอานนท์ พระศาสดารับสั่งหาท่าน
ภิกษุนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่ใกล้
ครั้นเข้าไปหาแล้วบอกว่า ท่านอานนท์ พระศาสดารับสั่งหาท่าน
ท่านพระอานนท์รับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

พระพุทธเจ้าทรงตรัสปลอบ และพยากรณ์การเป็นพระอรหันต์ให้ท่านพระอานนท์


ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านว่า
อย่าเลย อานนท์ เธออย่าเศร้าโศก ร่ำไรไปเลย
เราได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก
ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี
เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน
สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา
การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้


ดูกรอานนท์ เธอได้อุปัฏฐากตถาคตด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตา
ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นความสุข ไม่มีสอง หาประมาณมิได้มาช้านาน
เธอได้กระทำบุญไว้แล้ว อานนท์ จงประกอบความเพียรเถิด เธอจักเป็นผู้ไม่มีอาสวะโดยฉับพลัน ฯ


#21 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 04:20 PM

จำได้ว่าตอนได้อ่านเรื่องราว ในมหาปรินิพพานสูตรนี้ครั้งแรก
บางตอน ศรีวยาฆร อ่านแล้ว
น้ำตารื้นๆ แทบไหล
สงสารท่านพระอานนท์
ซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้า

สงสัยตัวเองว่า เรามัวเที่ยวไปทำอะไรอยู่
ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาแล้วมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร
เราจะต้องเที่ยวกินง้วนดินอีกนานเท่าไหนเนี่ย เอ้อ
มารหนอมาร


แนบไฟล์  5558_1.jpg   10.46K   41 ดาวน์โหลด

เราคงเป็นดังเรือน้อยลำหนึ่ง ในทะเลแห่งชีวิตกว้างใหญ่

#22 อริย 072

อริย 072
  • Members
  • 440 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 05:54 PM

ขอกราบอนุโมทนา กับนักสร้างบารมีภาคปราบทุกท่าน
เป็นลูกหลาน พระเดชพระคุณ หลวงปู่หลวงพ่อ ก็คืออยู่ ภาคปราบ ด้วยกัน
ต้องขยันสร้างบารมี อย่างอุกฤษณ์ และต้องทำเป็นหมู่คณะ
จึงจะสู้กับเขาได้..
ขอบคุณท่านที่ให้ความรู้ ในกระทู้ ทุกท่านจ้า


#23 ใส ใน สว่าง

ใส ใน สว่าง
  • Members
  • 127 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2008 - 09:43 PM

อนุโมทนา บุญ ด้วย นะ ครับ กับ ความ รู้ ที่ หา ฟัง ไม่ ได้ จาก ที่ ไหน happy.gif

เราพรางคนอื่นได้ แต่เราพรางตนเองไม่ได้


#24 somchet

somchet
  • Members
  • 900 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 12:53 AM

กระทู้นี้ดีจังครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

#25 บ่าวอุบล

บ่าวอุบล
  • Members
  • 632 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 11:50 AM

บางครั้งผมเคยคิดเล่น ๆ ว่า ทำไม มารถึงลอยนวลอยู่ได้ ทำไม มารอยู่เหนือกฏแห่งกรรม หรือว่ายังไม่ถึงเวลาที่มารจะได้รับผลกรรมตามสนอง

#26 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 12:33 PM

ผมก็ขอตอบเล่นๆ แต่ตั้งใจแนะนำจริงว่า ให้ปฏิบัติไปเถิด จนเข้าถึงผู้รู้ภายใน เมื่อนั้น ความไม่รู้จะมลายไป เพราะหากเราไปอ่าน หรือฟังจากเพื่อนๆ ญาติๆ ถึงคำตอบเรื่องนี้ ก็ไม่อาจทำให้เราหายสงสัยได้หรอกครับ

เช่น สมมุติผมตอบเล่นๆ นะครับ
ทำไมมารอยู่เหนือกฏแห่งกรรม เพราะ มารในที่นี้ไม่ใช่มนุษย์ มารในที่นี้สร้างกฏแห่งกรรม
แล้วหายสงสัยมั้ย เปล่า แต่จะสงสัยต่อว่า
แล้วใครสร้างมาร หรือ แล้วมารเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วพระ และมนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
เอาละสิ สงสัยไม่รู้จบ ปฏิบัิติธรรมดีกว่า


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#27 บ่าวอุบล

บ่าวอุบล
  • Members
  • 632 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 12:37 PM

ขอบคุณครับ

#28 usr23724

usr23724
  • Members
  • 120 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 05:02 PM

สาธุครับ

#29 บุญเลี้ยง

บุญเลี้ยง
  • Members
  • 267 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 08:33 PM

อ่านแล้วเข้าใจเลย
สาธุค่ะ happy.gif



#30 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 11:23 PM

ตอนนั้นที่ มารสามารถมาบัง เห็น จำ คิด รู้ ของพระอานนท์ ได้ เพราะขณะนั้นพระอานนท์ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ใช่หรือไม่?

จำได้ว่ามีตอนนึงที่พระอานนท์พยายามปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุอรหันตผล พยายามอยู่จนท้อแท้ แล้วก็พลันนึกถึงคำกล่าวของพระพุทธเจ้า ที่กล่าวว่า พระอานนท์สามารถบรรลุธรรมได้ เมื่อตถาคตกล่าวเช่นนั้น ตถาคตกล่าววาจาที่เป็นจริงเสมอ หลังจากนั้นพระอานนท์จึงเกิดกำลังใจฮึกเหิมขึ้นมา และเชื่อมั่นว่า ท่าน(ตน)ต้องทำได้แน่ๆ และหลังจากนั้นไม่นานท่านก็ได้บรรลุเป็นอรหันตผล

ผิดถูกประการใด ขออภัยทาน ณ ที่นี้ด้วย และโปรดกรุณาแก้ไขให้ถูกต้องด้วย

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป