ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 12 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 03:04 PM

นักเรียนอนุบาลทุกท่านที่เคารพครับ ทุกวันนี้ผมก็ยังโดนคำๆนี้หลอกหลอนอยู่เลยครับ

เมื่อเช้าขณะทำความสะอาดบ้าน ผมเปิดทีวีทั่วไปเพื่อฟังข่าวคราวบ้านเมืองบ้าง เพราะยังต้องทำงาน ต้องรู้ความเคลื่อนไหวของบ้านเมืองบ้างเพื่อตัดสินใจ พอทีวีเปิดขึ้นมา ก็เป็นข่าวที่คู่สามีภรรยาดาราคู่หนึ่งคลอดลูกชายออกมา เป็นข่าวเกรียวกราว ติดตามอยากรู้ของชาวบ้านทีเดียว ถึงตอนที่นักข่าวที่ไปสัมภาษณ์เขาถามถึงเรื่องชื่อลูก คู่สามีภรรยาท่านก็ตอบว่าชื่อนี้ แต่ที่ใช้อักษร น. แทนอักษร ณ. ก็เพราะคนเกิดวันนี้ ใช้อักษรตัว ณ. แล้วมีคนทักว่าไม่ดี ไม่ถูกต้อง
อื้อ...ก็ว่ากันไป ผมก็ไม่ได้สนใจ ไม่ใช่ลูกเรา จนกระทั่งตัดกลับมาที่ห้องส่ง ผู้อ่านข่าวที่ห้องส่ง ท่านก็พูดถึงสามีภรรยาคู่นี้ต่ออีกหน่อย แล้วพูดถึงเรื่องชื่อทำนองว่า เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล ใครจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ แต่เรื่องแบบนี้ ไม่เชื่ออย่าลบหลุ่ นะ ผมก็ อึ๊....อะไรฟ๊ะ

ยังครับยังไม่จบ หลังจากนั้นก็ตัดเข้าโฆษณา ผมก็ปรับไปอีกช่องหนึ่ง เป็นเหมือนรายการวิเคราะห์วิจารณ์ข่าวนะครับ พิธีกรหญิงท่านพูดถึงเรื่องการแต่งตัวให้ สีของเสื้อ ถูก โฉลก กับวันที่ใส่ เช่นวันนี้ วันอังคาร สีของเสื้อที่ควรใส่ให้โชคดีคือสีนี้ เป็นต้น พร้อมทั้งร่ายบรรยายสารพัดสีกับวันที่ควรใส่ออกมา มีการแซวกันระหว่างผู้รายงานข่าว ว่าต่อไปต้องทำเป็นตารางติดที่ตู้เสื้อผ้าแล้ว จะได้รู้ว่าวันนี้ใส่สีอะไรได้ ไม่ได้ ผมก็ อื้อ...ช่างเขา เสื้อผ้าเขา ตัวเขา
หลังจากนั้นผู้รายงานข่าวท่านเจ้าของเรื่อง ก็สรุปว่า เรื่องแบบนี้ ก็ควรจะฟังหูไว้หูกันนะคะ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ (อื้มม์...ดี) ยังไงก็แล้วแต่ ของแบบนี้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ กันนะคะ

ผมก็ อึ๊ยส์ส์....อะไรกันนี่ชีวิต คำๆนี้หลอกหลอนผมมาตั้งแต่เด็กแล้วนะครับ ผมเคยยกมือไหว้ร่างทรง หมอผี หมอเสน่ห์เล่ห์กล คนในผ้าเหลืองที่รับจ้างสะเดาะห์เคราะห์ ลงเลขลงยันต์ ทำเสน่ห์สาริกาลิ้นทอง ฯลฯ ตลอดจนต้นไม้ จอมปลวก ต้นกล้วยที่บ้านออกลูกกลางต้น ก็โดนบังคับให้ไหว้เพราะคำๆนี้ แมวออกลูกมาตายก็โดนให้ไหว้เพราะคำๆนี้ ผมว่าคนเราถูกคำๆนี้ครอบงำกันเกินไปแล้วนะครับ เหมือนการบังคับให้ยอมรับกันไปในตัวเองเสร็จสรรพ

เมื่อก่อนผมเป็นเด็กต่างจังหวัด ความเชื่อพวกเรื่องเหล่านี้ยังมากอยู่ พระที่ท่านนั่งหลับตาเฉย คนก็ไปเฝ้า ไม่ใช่เพื่อพระธรรมอะไรหรอกครับ ไปเฝ้าว่าท่านจะพูดอะไรบ้างจะได้เอามาตีเป็นตัวเลข วัดไหนใหญ่วัดไหนดัง ดูได้เลยจากการเป็นพระหมอดู พระหมอสะเดาะห์เคราะห์ พระหมอไล่ไสยเวทย์ ต้องสักยันต์ดำพรืดเต็มตัว ห้อยลูกประคำเป็นฤษีเลย (จะหาผ่องแผ้วใสแหน่ววววว เหมือนพระวัดธรรมกายก็ยากเต็มที) จนบัดนี้ ผมมาอยู่ในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเจริญที่สุดของประเทศแล้ว คำๆนี้ก็ยังตามมาหลอกหลอนถึงบ้านผมได้อีก มันอะไรกันเนี้ย

เราจะทำยังไงกันดีครับ ชีวิตวัยเด็กผมถูกครอบงำทำลาย เสียโอกาศไปหลายๆเรื่องเพราะคำๆนี้ ผมไม่อยากให้เด็กรุ่นใหม่ทุกคนในวันนี้ถูกคำๆนี้ครอบงำชีวิตอีก อยากให้เด็กทุกคนมีอิสระในการเลือกนับถือ เชื่อถือในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลมากกว่าการเชื่อเพราะกลัวการลบหลู่ อยากให้ทุกคนรู้ว่าเรายกมือไหว้ตนไม้ข้างทางเพียงเพราะมันผูกผ้าสี มีความแตกต่างอะไรกับการไหว้พ่อแม่ อยากให้รู้ว่าพระที่เขาว่าดังๆนั้น ควรจะดังในเรื่องอะไร อีกร้อยแปดพันประการ

ใครมีความคิดดีๆเข้ามาเสนอแนะกันได้นะครับ

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#2 Dhamma Bot

Dhamma Bot
  • Members
  • 477 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 03:28 PM

เอาเป็นว่า "ไม่เชื่อ ต้องพิสูจน์" ดีไหมครับ happy.gif

#3 somchet

somchet
  • Members
  • 900 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 05:13 PM

เห็นด้วยว่า "ไม่เชื่อ ต้องพิสูจน์" ครับ

#4 Ray

Ray
  • Members
  • 168 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 05:24 PM

" ไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อ" เป็นงัยจ๊ะ เข้าท่ากว่าไหม

#5 เด็กผู้น้อย

เด็กผู้น้อย
  • Members
  • 436 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 05:28 PM

แต่ก่อนอาจใช่คำนี้ได้ว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แต่เมื่อเขามาเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาโดยมีคุณครูไม่ใหญ่เป็นผู้สนอทำให้รู้ว่าอะไรคืออะไร ฉะนั้นตอนนี้คำว่าไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ไม่มีในสมองของลูกคุณครูไม่ใหญ่แน่นอน เพราะคำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ใช้เพราะคนเขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เกิดจากความกลัวเป็นหลัก โดยอวิขชาคือความไม่รู้ครอบงำทำให้กลัวแล้วก็เลยเป็นคำติดปากว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ และลูก ๆ คุณครูไม่ใหญ่ไม่เชื่อแต่ไม่ได้ดูถูกดูแคลนของเรานี้ เพราะมันก็มีอยู่จริง
แท้ที่สุดแล้วบุญและพระรัตนตรัยเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของพวกเราทั้งหลาย

#6 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 07:22 PM

ไม่เชื่อ ต้องพิสูจน์
Vote...
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#7 usr21238

usr21238
  • Members
  • 233 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 08:23 PM

เอหิปัสสิโก

#8 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 09:04 PM

เห็นด้วยกับ.. ไม่เชื่อต้องพิสูจน์.. เอหิปัสสิโก..

คือสังคมคนบนโลกทุกวันนี้.. เป็นสังคมยุคสารสนเทศ..
วันๆนึงจะมีสาระ ข่าวสารมากมายเข้ามาให้รับรู้..
แต่มันมากเกินไปจนทำให้คนส่วนใหญ่ได้แค่เพียง "รับรู้" แต่ "ขาดการพิสูจน์"
อาศัยว่าสาระข่าวสารไหนน่าเชื่อถือ.. ก็จะเชื่อถือตามๆกันตามกระแส..
ทีนี้เมื่อคนกลุ่มนี้มีมาก.. ก็เกิดกระแสความเชื่อที่ค่อนข้างรุนแรง.. ในบางเรื่อง.. โดยขาดการพิสูจน์..
เป็นสังคมโลกแบบสุกเอาเผากิน.. แล้วก็เลยกลายเป็นว่า.. อย่าลบหลู่นะ..
เราต้องทำให้กระแส "ไม่เชื่อต้องพิสูจน์" กลับคืนมา.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#9 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 09:43 AM

เรื่องความเชื่อหรือไม่เชื่อ อะไร ๆ
ใช้หลักกาลามสูตร ๑o
ที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล
เกี่ยวกับ ไม่ให้เชื่อถืองมงายไร้เหตุผล ก็ดีนะครับ

๑. มา อนุสสเวนะ อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
๒. มา ปรัมปายะ อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบๆ กันมา
๓. มา อิติกิรายะ อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้
๔. มา ปิฏกสัมปทาเนนะ อย่าได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา
๕. มา ตักกเหตุ อย่าได้เชื่อถือ โดยเดาเอาเอง
๖. มา นยเหตุ อย่าได้เชื่อถือ โดยคาดคะเน
๗. มา อาการปริวิตักเกนะ อย่าได้เชื่อถือ โดยความตรึกตามอาการ
๘. มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าได้เชื่อถือ โดยชอบใจว่าต้องกับทิฐิของตัว
๙. มา ภุพพรูปตายะ อย่าได้เชื่อถือ โดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
๑o. มา สมโณ โน ครูติ อย่าได้เชื่อถือว่าสมณะนี้คือครูของเรา

ส่วน คติ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
ลองพิจารณา ทรรศนะของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ อาจเข้าใจที่มาของ คติพจน์นี้เพิ่มขึ้นครับ

QUOTE
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

นิธิ เอียวศรีวงศ์
มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1317

แม้คติพจน์ว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เป็นคติพจน์ใหม่ ซึ่งผมไม่เคยได้ยินเมื่อเป็นเด็ก
แต่เมื่อได้ยินครั้งแรก ผมก็เห็นด้วยทันที เพราะตรงกับคติที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก

ครั้นฟังไปนานเข้าๆ ก็จับความหมายที่เขาใช้กันในปัจจุบันได้ชัดขึ้น แล้วจึงรู้สึกว่าไม่ได้ตรง กับคติที่คนรุ่นผม ถูกสอนมาแต่อย่างใดทั้งสิ้น

คติที่ผมเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก และความหมายที่เขาใช้กันในปัจจุบัน ตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ
ให้เสรีภาพในความเชื่อ คือไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เชื่ออย่างไรก็เชื่ออย่างนั้นไปเถิด
ขอแต่อย่าลบหลู่เป็นใช้ได้

ที่ต่างกันก็ตรงลบหลู่นี่แหละครับ คือลบหลู่ใคร

คติเก่าถือว่าไม่ควรไปลบหลู่ความเชื่อของคนอื่น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคืออย่าลบหลู่คนอื่น
เพราะเขาเชื่ออะไรที่เราไม่เชื่อ แต่การที่เราไม่เชื่อ หรือเห็นเป็นเรื่องเหลวไหล ก็ไม่เป็นไร
เพียงแต่ไม่พึงแสดงออกในลักษณะลบหลู่คนที่เขาเชื่อ

สรุปก็คืออย่าลบหลู่คน แต่จะลบหลู่ผีหรือพระเจ้าที่ไหนก็เป็นเรื่องในใจของคุณ แม้แต่จำเป็นต้องแสดงความไม่เชื่อ ของตัวออกมาให้ปรากฏ ก็ไม่ควรทำในลักษณะลบหลู่คน (ที่เขาเชื่อ)

แต่คติพจน์ที่ใช้กันในปัจจุบันกลับมีความหมายว่า
อย่าลบหลู่ผีหรือเทพซึ่งเราอาจไม่เชื่อเป็นอันขาด
เพราะหากผีหรือเทพเหล่านั้น เฮี้ยนจริง ก็จะบันดาลภัยพิบัติให้แก่ผู้ลบหลู่ได้
และเราไม่มีวันรู้แน่ว่าผี หรือเทพองค์ใดบ้างที่เฮี้ยนจริง

ความหมายอย่างนี้ที่แท้จริงแล้วไม่มีความหมาย เพราะถ้าเชื่อในความเฮี้ยนของสิ่งเหล่านั้นจริงก็แสดงว่าเชื่อ ไม่ใช่ไม่เชื่อ
ฉะนั้น จึงควรพูดว่า "เชื่อแล้วอย่าลบหลู่" ซึ่งแสดงความเหลวไหลของคติพจน์ได้ประจักษ์แจ้งดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ต้องการพูดเรื่องความหมายทางตรรกะของคติพจน์เท่ากับอยากชี้ให้เห็นว่า
ในคติเก่าที่สอนให้ไม่ลบหลู่ความเชื่อคนอื่นนั้น มีจุดมุ่งหมายทางสังคมเป็นที่ตั้ง
เป็นเรื่องของมารยาททางสังคม การรู้จักรักษาน้ำใจคนอื่น
เพื่อทำให้เรามีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีกับคนอื่นๆ

แต่ความหมายของคติพจน์ในปัจจุบันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสังคม
แต่เกี่ยวกับการ "กันเหนียว" ให้แก่เนื้อหนังของตัวเอง
อย่าเสี่ยงกับความปลอดภัยของตัวเองโดยไม่จำเป็น

ดูเหมือนยิ่งให้เสรีภาพในความเชื่อมากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ
แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่หรอกครับ เพราะเมื่อเราพูดถึงเสรีภาพ เราต้องมีสำนึกถึงคนอื่นหรือสังคม
ไม่ใช่เสรีภาพของเราคนเดียว
ฉะนั้น การป้องกันความปลอดภัยให้แก่เนื้อหนังของตัวคนเดียว จึงไม่เกี่ยวกับเสรีภาพ
หากเป็นเรื่องของสำนึกที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งตามลัทธิปัจเจกชนนิยมสุดโต่ง
ไม่ได้สำนึกถึงการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นๆ เลย

"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ตามคติเก่าหมายถึงการให้ความเคารพแก่เพื่อนมนุษย์
ในขณะที่ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ในคติปัจจุบันหมายถึงให้ความเคารพแก่เทพและผีดะไปหมดไม่เลือกหน้า

ฉะนั้น "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ตามคติเก่า
จึงกินความรวมไปถึงการไม่ลบหลู่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของคนอื่นด้วย
แม้แต่คนที่เขานับถือเป็นพิเศษ ก็พึงหลีกเลี่ยงที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนนั้นกับเขา
หรือแม้แต่ความเชื่อที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เช่นเชื่อว่าโลกแบน
หากเขายึดมั่นอย่างเอาจริงเอาจัง ก็ต้องระวังไม่ไปต่อต้านคัดค้านความเชื่อของเขาในลักษณะ "ลบหลู่"

ผมคิดว่า ความแตกต่างด้านความหมายของ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ในคติเก่ากับคติใหม่
สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสำนึกผู้คนที่มีต่อ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" และ "สิ่งสาธารณ์"

อะไรที่มนุษย์เคยถือว่า "ศักดิ์สิทธิ์" ที่จริงแล้วก็คือ สิ่งที่อยู่พ้นไปจากผลประโยชน์เฉพาะตัว เฉพาะหน้า และไม่ถาวรคือเปลี่ยนแปรอยู่ตลอดเวลา

เช่น พระสยามเทวาธิราช (ถ้ามีจริง) ย่อมปกป้องคุ้มครองสยามประเทศ
แม้อาจด้วยวิธีทำลายผลประโยชน์ของบางคน และเสริมผลประโยชน์ของคนนั้นในโอกาสที่แตกต่างกัน
เพื่อประโยชน์ของสยาม อันไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งคนเดียว
เช่นเดียวกับผีเรือนย่อมคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยของสายตระกูล
ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งคนเดียว

และแน่นอนว่า พระผู้เป็นเจ้าของศาสนาต่างๆ หรือพระนิพพานของชาวพุทธ
ย่อมอยู่เหนือผลประโยชน์เฉพาะตัวทางโลกย์ของศาสนิก

ในทางตรงกันข้าม "สิ่งสาธารณ์" ก็คืออะไรที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เฉพาะตัว เฉพาะหน้า และไม่ถาวร

แต่คนไทยปัจจุบันเอา "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" และ "สิ่งสาธารณ์" มาปนกันจนแยกไม่ออก


ในที่สุด "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" ก็ถูกกลืนหายไปกับ "สิ่งสาธารณ์" จนหมด
ด้วยอำนาจแห่งความโลภ, โกรธ, หลง
ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในหมู่มนุษย์ ความ "ศักดิ์สิทธิ์" ทั้งหลายถูกแปรความไปในทาง "สาธารณ์"
จนไม่เหลือความ "ศักดิ์สิทธิ์" อีกเลย

ความกลัวต่อความเฮี้ยนของผีหรือเทพที่เราไม่เชื่อ
ไม่ได้หมายความว่าผีหรือเทพนั้น "ศักดิ์สิทธิ์" ในความหมายที่ผมกล่าวถึง
แต่ที่เคารพยำเกรงก็เพราะอำนาจ "สาธารณ์" ของผีหรือเทพองค์นั้นต่างหาก
.....


http://www.nidambe11...005nov11p11.htm

#10 เศรษฐีหน้าใส

เศรษฐีหน้าใส
  • Members
  • 177 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 11:36 AM

ทำเท่าที่ทำได้ เช่น ทำให้เราเป็นสัมมาทิฐิที่มั่นคงก่อน ขั้นต่อไป เริ่มไปที่พ่อแม่พี่น้องและหมู่ญาติ ชวนมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม หากบุญเรามากพอก็สามารถนำพาสาธุชนท่านอื่นมาเข้าวัดได้มากยิ่งขึ้น อย่าไปทุกข์แทนคนอื่นนะครับ ขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมาบังเกิด ยังเทศบอกชาวโลกได้ไม่หมดเลย เราต้องใช้เวลา และทำตามคุณครูไม่ใหญ่บอก พลังหลายๆคนรวมกันก็จะมากจึงจะเปลี่ยนแปลงได้ ช่วงนี้ก็ กัมมุนา วัตตตี โลโก

#11 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 09:08 PM

ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ให้คนที่เขาเชื่อได้ยิน ไม่งั้น.....เละ

#12 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 09:37 PM

ต้องเปลี่ยนใหม่เป็น "จะเชื่อตอนเป็น หรือจะเห็นตอนตาย" ---ถ้ายังเชื่อแบบนั้นๆ น่ะ

สาธุ กับคุณ Dd2683 ด้วยค่ะ บทความสนับสนุนขยายดีมากๆ เลยค่ะ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#13 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 22 August 2008 - 01:52 PM

สาธุ สาธุ สาธุ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ