การจารึกชื่อสิ่งที่มีคุณค่าหรือบุคคลผู้ควรค่าแก่การบูชา ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการจารึกไว้บน “แผ่นทองคำ” โดยการนำทองคำบริสุทธิ์ผ่านกรรมวิธีทุบคลี่ตีเป็นแผ่นได้ตั้งแต่เป็นแบบหนา จนถึงบางเบาเยี่ยงแผ่นกระดาษ แล้วจารจดสิ่งที่เป็นมงคลที่สุด ประเสริฐที่สุด และควรค่าแก่การกราบไหว้บูชาที่สุด ซึ่งเคยมีมาแล้วในสมัยพุทธกาล
ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสาร ผู้ครองแคว้นมคธ พระองค์มีสหายอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นกษัตริย์เหมือนกัน ท่านมีชื่อว่า “พระเจ้าปุกกุสาติ” ราชาแห่งนครตักกสิลา ทั้งสองได้ติดต่อกันผ่านพวกพ่อค้าที่นำสินค้าขายไปมาระหว่างเมือง ยิ่งนานวันเข้าความเป็นมิตรภาพของทั้งสองพระองค์ก็ยิ่งแน่นแฟ้น แม้ว่าจะไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็ตาม
ต่อ มาพระเจ้าปุกกุสาติได้สั่งให้อำมาตย์นำผ้ากัมพลหาค่ามิได้ถึง ๘ ผืนไปถวายแด่พระเจ้าพิมพิสาร พอพระองค์ทอดพระเนตรผ้ากัมพลเท่านั้น ถึงกับทรงทึ่งในความวิจิตรงดงาม เพราะผ้าแต่ละผืนนั้น หลากสีสันและสัมผัสนุ่มนวลน่าจับต้องเป็นยิ่งนัก พระเจ้าพิมพิสารทรงนำไปถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ ผืน ที่เหลืออีก ๔ ผืน ทรงเก็บไว้ใช้ส่วนพระองค์ แล้ว ทรงดำริว่า “สหายเราได้ส่งของหาค่ามิได้มาให้เรา เราก็ควรที่จะมอบสิ่งที่ดีเลิศที่สุดไปให้เช่นกัน ไม่มีสิ่งใดอื่นที่จะทำให้เกิดโสมนัสปราโมทย์ได้เท่ากับพระรัตนตรัยอีกแล้ว” จากนั้นก็ทรงนำแผ่นทองคำซึ่งมีสีสุกปลั่งแวววาวขนาดพอสมควร แล้วบรรจงลิขิตเขียนอักษรลงในแผ่นทองคำนั้นด้วยการแต้มชาดสีแดงลงไป
ความประณีตในการบรรจุรักษาแผ่นทองไว้ในส่วนแก่นกลาง
เมื่อทรงเขียนอักษรเสร็จเรียบร้อยก็ทรงม้วนแผ่นทองคำ แล้วพันทับด้วยผ้ากัมพลเนื้อละเอียด ใส่ไว้ในหีบที่แข็งแรง ต่อจากนั้น ทรงเอาหีบไปใส่ในหีบทองคำใบเล็กๆ แล้วทรงนำหีบทองคำใส่ไว้ในหีบเงินต่ออีก ส่วน หีบเงินก็ไปใส่ไว้ในหีบแก้วมณีอีกชั้น ต่อจากนั้น ก็นำไปใส่หีบแก้วประพาฬ,หีบแก้วทับทิม,หีบแก้วมรกต,หีบแก้วผลึก ทรงบรรจุเป็นชั้นตามลำดับอย่างนี้ ต่อจากนั้นก็นำใส่ลงในผอบทอง นำ ผอบทองไปใส่ในผอบแก่นจันทร์ สุดท้ายจึงเอาไปใส่ไว้ในหีบเสื่อสาน จากนั้นก็ทรงพันหีบด้วยผ้าขาว แล้วประทับตราพระราชลัญจกร ตรัสสั่งอำมาตย์ให้นำเครื่องบรรณาการส่งไปถวายพระเจ้าปุกกุสาติ การที่ทรงปฏิบัติเช่นนั้นก็เพื่อจะสื่อให้เห็นซึ้งถึงความสำคัญของพระรัตนตรัยที่พระองค์เคารพบูชาเป็นที่สุด
พลังอักษรบนแผ่นทอง
ฝ่าย พระเจ้าปุกกุสาติพอได้รับเครื่องบรรณาการ พระองค์ก็ทรงถือเครื่องบรรณาการเสด็จขึ้นปราสาทไปแต่เพียงผู้เดียว ทรงค่อยๆ แกะออกมาทีละชั้นๆ เมื่อเจอผ้ากัมพลห่อหุ้มเป็นชั้นสุดท้าย ก็ ทรงได้เห็นม้วนแผ่นทองคำสุกปลั่งผิวมันวาว ทรงคลี่เปิดออกดู แสงของแผ่นทองก็ดึงดูดพระเนตรให้เพลิดเพลินอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วจึงได้เพ่งพินิจไปยังตัวอักษรในแผ่นทองนั้นจนต้องอุทานว่า “อักษรลิขิตเหล่านี้มีระเบียบดียิ่งนัก ต้องตาต้องใจเราจริงๆ”
เมื่อ ทรงไล่อ่านไปเรื่อยๆ พออ่านถึงบทพุทธคุณเท่านั้น ก็เกิดปีติแรงกล้าขนลุกชูชัน ทรงปลื้มมากจนไม่อาจจะทรงอ่านต่อไปได้อีก ทรงประทับนั่งรอให้ความปลื้มสงบลงก่อน พออ่านไปถึงบทพระธรรมคุณ ก็ทรงปีติเช่นเดิมอีก จนอ่านถึงบทสังฆคุณแล้วก็เกิดปีติล้นพ้นสุดประมาณ ทรง อ่านแล้วอ่านอีกไม่มีเบื่อเลย เพราะในข้อความเหล่านั้นมีการพรรณนาอานุภาพพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ และยังพรรณนาถึงความเป็นอจินไตยแห่งพระพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนถึงตรัสรู้ และพรรณนาอานิสงส์ในการบำเพ็ญสมณธรรม ตอนจบได้ตบท้ายว่า “ธรรมดา ใครก็ตาม หากได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาแล้ว บางคนถึงกับละทิ้งราชสมบัติออกบวชไปเลย บางคนก็ทิ้งตำแหน่งสูงๆ เช่นเสนาบดีแล้วออกบวช เพราะศาสนานี้เป็นศาสนาที่จะพาให้ออกจากทุกข์ได้ ดูก่อนปุกกุสาติ เมื่อท่านได้อ่านจบแล้ว หากต้องการจะบวช ก็ควรที่จะเสด็จออกบวชเถิด อย่าได้รีรอเลย”
เมื่อพระเจ้าปุกกุสาติทรงอ่านจบลงทุกบท ก็วางแผ่นทองลง แล้วน้อมใจเข้าไปสู่ความสงบ สามารถทำใจหยุดนิ่งจนบังเกิดฌานขึ้นมาได้ ต่อจากนั้นก็ทรงแช่อิ่มอยู่ในฌานสุขเป็นเวลาถึงครึ่งเดือนภายในห้องปราสาท โดยไม่มีการเสด็จออกไปภายนอกปราสาทเลย
บัดนี้พระเจ้าปุกกุสาติทรงมีศรัทธาเปี่ยมล้นในพระรัตนตรัยแล้ว จึงได้ถือโอกาสประกาศขอออกบวชตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ อำมาตย์พากันกราบทูลทัดทาน พระองค์จึงทรงขีดเส้นแบ่งเขตและตรัสสั่งห้ามไม่ให้ใครก้าวล้ำเส้นเพื่อติด ตามพระองค์ แล้วออกจากวังไปตามลำพัง พระองค์ตั้งใจจะไปพบพระสหายที่เมืองราชคฤห์ ทรงดำเนินด้วยพระบาทเปล่าด้วยดำริว่า “พระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชาเพียงพระองค์เดียว ไม่เสด็จขึ้นรถหรือวอ แม้แต่ร่มก็ไม่ทรงใช้เลย” เมื่อกษัตริย์ผู้สุขุมาลชาติอย่างพระเจ้าปุกกุสาติต้องย่างเหยียบไปบนพื้นดินที่ร้อนระอุ ทำให้พื้นพระบาทพุพองแตกเป็นแผล เกิดทุกขเวทนาปวดแสบอย่างจับใจ แต่ก็ข่มไว้ด้วยความสุขในฌาน แล้วเดินทางต่อไปให้ถึงกรุงราชคฤห์ ก่อนที่จะไปถึงตัวเมือง ก็เข้าไปพักค้างแรมที่โรงปั้นหม้อแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเขตชานเมือง
ฝ่าย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นท่านปุกกุสาติได้เข้ามาในข่ายพระญาณ จึงเสด็จไปโปรดแต่เพียงลำพัง โดยทรงปกปิดพระรัศมีเพื่อแสดงพระองค์เป็นเพียงภิกษุธรรมดารูปหนึ่ง เสด็จไปที่โรงปั้นหม้อที่ท่านปุกกุสาติพำนักอยู่ แล้วแสดงธรรมโปรดจนท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี เมื่อ ทรงจบพระธรรมเทศนาก็ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสี ทำให้โรงช่างหม้อสว่างไสวเจิดจ้า ทำให้ท่านปุกกุสาติเกิดปีติไม่มีประมาณยิ่งขึ้นไปอีก
บูชาพระคุณด้วยวัตถุธาตุอันบริสุทธิ์
บัณฑิตในกาลก่อนมิได้ดูเบาในมรดกธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีคุณจริง ดีจริง ช่วยให้พ้นทุกข์พบสุขได้แท้จริง และยังได้ทำกิจที่ควรทำ คือ ทำสิ่งสูงค่าให้มีคุณค่าและควรค่าแก่การบูชาของมนุษย์และเทวา เพราะท่านเหล่านั้นได้เห็นคุณ แล้วรู้คุณ จึงต้องประกาศคุณออกมา นับเป็นต้นบุญต้นแบบแก่อนุชนคนรุ่นหลังให้ได้รับประโยชน์จากคำสอน
ใน ยุคปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน พวกเราทั้งหลายได้รู้จักเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ได้ตระหนักถึงบุญและชีวิตหลังความตาย เพราะการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจนเข้าถึงพระธรรมกายของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพ มุนี แล้วท่านก็ได้ถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นมาถึงพวกเรา ทำให้ได้เข้าถึงพระธรรมกายกันมากมาย จึงนับว่าท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลกและจักรวาลที่ควรค่าแก่การบูชาด้วยวัตถุ ธาตุอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าและคงความเป็นอมตะ คือการหล่อรูปเหมือนของท่านด้วยทองคำบริสุทธิ์
ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ก็สมควรจะได้รับการ “จารึกมงคลนาม” ไว้ในจุดที่ตั้งเสถียร คือ ณ บริเวณศูนย์กลางของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านจะกลั่นชื่อของเราให้ใสสว่าง ทำให้ชีวิตนับจากนี้ไปจะพบแต่ความสว่างไสว รุ่งโรจน์ร่ำรวย รุ่งเรือง ตลอดไป อีก ทั้งชื่อที่ได้รับการจารึกนี้จะเป็นชื่อประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ยาวนาน ที่สุดในโลก ให้มนุษย์และเทวาได้ยกย่องชื่นชมและอนุโมทนาว่า “ท่าน... คือผู้ร่วมหล่อรูปเหมือนพระมงคลเทพมุนี ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย” และตัวผู้หล่อเองก็จะได้เข้าถึงพระธรรมกาย
------------------------------------------------------
http://www.dmc.tv/fo...showtopic=17256