ไปเจอเรื่องเศร้ามาค่ะ เลยอยากขอคำปรึกษา
#1
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 01:04 PM
ก็ได้คุยกับคุณเสรี ถึงเรื่องของผู้สูงอายุที่จะเข้ามาอยู่ที่นี่
คุณเสรี ก็เล่าให้ฟังว่า คุณยายคนนั้นมาจากไหน
คุณตาคนนี้มาจากไหน แล้วก็มาถึงคุณตาคนหนึ่ง
คุณเสรีเล่าให้ฟังว่า คุณตาคนนี้ อายุ 80 กว่าแล้ว
บวชเป็นพระมาตั้งแต่ยังหนุ่ม เมื่อ 2 ปีก่อน เริ่มที่จะช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้
เพราะแก่มาก ก็เลยต้องสึก แต่พอกลับไปอยู่บ้านกับญาติๆ
ด้วยความที่บวชมานานมากๆ (คงไม่มีความผูกพันมังคะ อันนี้คิดเองนะคะ)
การดูแลในฐานะคนชราในครอบครัว คงไม่สะดวกมังคะ
ก็เลยต้องมาอยู่ที่บ้านพักคนชรา
koonpatt เลยอยากถามว่า
1. วัดธรรมกาย นอกจากหลวงพ่อ และ หลวงพ่อทัตตะ ที่อายุมากๆ แล้ว มีพระที่อายุเยอะๆด้วยหรือเปล่าคะ (เวลาไป เห็นแต่พระอายุไม่เยอะน่ะค่ะ)
2. พอจะมีท่านใดทราบมั๊ยคะว่า อย่างโรงพยาบาลสงฆ์เนี่ย รับเฉพาะ พระสงฆ์อาพาธ หรือ พระสงฆ์ชราภาพด้วยมั๊ยคะ
3. พอจะทราบมั๊ยคะ ว่าปกติองค์กรพุทธศาสนาของบ้านเรา มีที่ไหนที่มีโครงการดูแลพระสงฆ์ที่ชราภาพ แต่ไม่อยากสึกบ้างมั๊ยคะ
คือ โดยทั่วไปที่เห็น พระสงฆ์ที่ชราภาพ หากเป็นพระสงฆ์ที่ เป็นพระผู้ใหญ่ หรือ เป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียง ก็จะมีญาติโยมที่ดูแลเยอะ แต่พระลูกวัดรูปอื่นๆ koonpatt ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ในวัดแต่ละวัด ทำอะไรกันบ้าง และ อย่างไรน่ะค่ะ
อย่างของที่วัดธรรมกาย koonpatt เห็นมีพระสงฆ์ที่บวชถวายชีวิต ก็คงมีการดูแลกันเป็นอย่างดี
พอไปเจอคุณตาคนนั้น( แต่ยังไม่ได้คุยกับคุณตาคนนั้นน่ะค่ะ) เลยเศร้าว่า ถ้าเป็นวัดทั่วไป พระที่อยากบวชแล้วไม่สึกจนมรณภาพในผ้าเหลือง ต้องทำอย่างไรหนอ
และเคยมีคุณยายของเพื่อน บวชชีตั้งแต่ลูกโต จนเพื่อนเรียนจบคุณยายก็แก่มากๆ พอช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ ก็ต้องกลับมาอยู่บ้าน แต่คุณยายเป็นแม่ชีไงคะ ก็เลยยังคงเป็นแม่ชีอยู่ต่อไปได้ และ สิ้นใจในชุดขาว คุณยายถือศีลจนวันสุดท้ายน่ะค่ะ คุณยายน่ารักมาก ใจดีมากๆด้วยค่ะ
แต่พระสงฆ์ หากจะกลับมาให้ญาติดูแล ก็ต้องสึกก่อนเพราะมาอยู่รวมกับฆราวาสก็ไม่ได้
ถ้าท่านใดมีข้อมูลเรื่องนี้ koonpatt ขอคำแนะนำด้วยนะคะ
จะได้บอกต่อๆกันไปหากญาติพี่น้องใคร ที่บวชอยู่แล้วชราภาพมากแล้ว แต่ไม่อยากกลับมาอยู่ที่บ้าน จะได้แนะนำเขาน่ะค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#2
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 01:44 PM
ในอนาคตอาจจะมีศูนย์ดูแลพระภิกษุชราภาพ หรือไร้โยมอุปฐาก เอาไว้ผมจะแจ้งข่าวอีกทีนะครับ
พอจะหายเศร้าสักนิดหน่อยหรือยังครับ เบอร์โทรโรงพยาบาล 045-319399 ครับ
#3
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 02:34 PM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#4
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 02:42 PM
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ koonpatt ไม่เคยคิดถึง
และมองข้ามมาตลอด พอได้รับรู้ จึงค่อนข้างที่จะกระทบกับความรู้สึกค่อนข้างมาก
ชีวิตนี้ ไม่มีโอกาสที่จะได้บวช
ก็อยากจะสนับสนุน พระภิกษุสงฆ์ ผู้เจริญแล้วทั้งหลาย
เท่าที่จะสามารถทำได้ค่ะ
เผื่อเกิดคราวหน้า จะได้เป็นผู้ชาย แล้วได้เกิดในร่มเงาของพระพุทธศาสนา
จะได้บวชตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เป็นพระที่ดี และได้อยู่ในผ้าเหลืองจนวันสุดท้ายของชีวิตค่ะ
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะคะ
สา...ธุค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#5
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 03:26 PM
#6
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 05:02 PM
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
#7
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 05:52 PM
พออ่านแล้วรู้สึกสะดุดใจเล็กๆนะครับ ผมว่าก่อนจะวิจารณ์อะไร ลองกลับไปถามสาเหตุที่ผู้สูงอายุท่านนั้นสึกออกมาให้แน่นอนก่อนดีไหมครับ เห็นบอกว่ายังไม่ได้คุยกันไม่ใช่หรือครับ ว่าเกิดจากอะไร ตั้งใจสึกเองหรือมีใครพูดอะไร ทำอะไรโดนบีบบังคับหรือเปล่า แล้วเพราะอะไรทำให้ต้องมาอยู่ที่บ้านพักนี้
เพราะปกติแล้ว การเป็นพระไม่มีการเกษียณอายุนะครับ และการดูแลเพื่อนพระภิกษุสามเณรที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ก็เป็นกิจของสงฆ์ที่อยู่ร่วมกัน ที่ "ต้อง" ปฏิบัติโดยไม่มีข้อแม้อยู่แล้วนี่ครับ(ผมว่ามีพุทธบัญญัติไว้นะ เดี๋ยวจะลองค้นดู) จะเจ็บป่วยหรือไม่เจ็บป่วย แต่ถ้าดูแลตนเองไม่ได้ก็ถือว่าเข้าข่ายแล้วครับ ด้วยเหตุที่ต้องดูแลกันเองทำให้ไม่มีสถานที่เพื่อการดูแลภิกษุชราภาพโดยเฉพาะไงครับ คงมีการเข้าใจอะไรผิดกันมากกว่าครับ
เพราะการที่ออกมากล่าว ว่า เรื่องมีการทอดทิ้งพระภิกษุชรานั้น ออกจะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวนะครับ เหมือนกับว่า พอหมดประโยชน์แล้วก็ทิ้ง รวมทั้งเนื้อหาข้อความก็ก่อให้เกิดความสะเทือนใจแก่บุคลที่เข้ามาอ่าน ยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่ไม่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว และมีการนำไปพูดต่อ จะยิ่งสร้างความไม่เข้าใจมากขึ้นนะครับ
แต่ถ้า โดน "ไล่" ออกจากวัดด้วยข้อหาชราภาพโดยไม่มีสาเหตุอื่นแล้วหล่ะก็ สามารถร้องเรียนผู้ปกครองวัดนั้นๆได้ที่มหาเถรสมาคมฯครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านที่กำลังชราภาพอยู่แล้วมีความคิดจะบวชเข้าไปเพื่อให้มีใครดูแลแล้วหล่ะก็ คิดให้ดีๆนะครับได้จะไม่คุ้มเสียนะครับ อย่างน้อยก็คิดเสียนิดนึงว่าเรายังจะทำประโยชน์ให้พระศาสนาได้หรือเปล่า จะได้ไม่มีวิบากติดตามตัวไปนะครับ
ได้ความว่าอย่างไรช่วยมาส่งข่าวด้วยนะครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
#8
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 06:36 PM
แต่ถ้า โดน "ไล่" ออกจากวัดด้วยข้อหาชราภาพโดยไม่มีสาเหตุอื่นแล้วหล่ะก็ สามารถร้องเรียนผู้ปกครองวัดนั้นๆได้ที่มหาเถรสมาคมฯครับ
koonpatt ยังไม่ได้พูดถึงสาเหตุที่คุณตาท่านนั้นสึกออกมาเลยนะคะ
แต่ได้ถามคุณ เสรี ว่า การที่คนชรามาอยู่ที่บ้านพักคนชราได้นั้น
ไม่ใช่ว่าจะมาได้ง่ายๆ
คือ
1. ต้องมีผู้แจ้งไปยังบ้านพักเสียก่อน แล้วคณะกรรมการของบ้านพักจะไปตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นอย่างไร
2. ที่สำคัญคือ คนชราท่านนั้น ต้องมีความเต็มใจที่จะมาอยู่ ทางบ้านพักจึงจะให้มาอยู่ได้
บวชเป็นพระมาตั้งแต่ยังหนุ่ม เมื่อ 2 ปีก่อน เริ่มที่จะช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้
เพราะแก่มาก ก็เลยต้องสึก แต่พอกลับไปอยู่บ้านกับญาติๆ
ด้วยความที่บวชมานานมากๆ (คงไม่มีความผูกพันมังคะ อันนี้คิดเองนะคะ)
การดูแลในฐานะคนชราในครอบครัว คงไม่สะดวกมังคะ
ก็เลยต้องมาอยู่ที่บ้านพักคนชรา
เพราะ คุณเสรีเอง ก็ไม่ได้วิจารณ์ถึงเรื่องตรงนั้นด้วย
ไม่มีการพูดว่า ทอดทิ้งพระภิกษุชรา
ที่สำคัญไม่มีการพูดถึงการ ไล่ ออกจากวัดอย่างที่คุณพูดเลย
ไปเอาความคิดนี้มาจากประโยคไหนของ koonpatt เหรอคะ
คือ อยากให้คุณเข้าใจนิดนึงก่อนว่า
ที่ koonpatt พูดถึงนั้น พูดจากสิ่งที่เห็น koonpatt อยู่ต่างจังหวัด
เมื่อไปเจอเหตุการณ์นี้ เลยเกิดสงสัยขึ้นมาว่า
อืม เวลาที่ไปตามวัดต่างๆ ไม่ค่อยเห็น พระภิกษุชราภาพเลย
ยังบวชกันอยู่หรือเปล่า
และหลายๆ ครั้งที่เมื่อพระที่อายุมาก ที่เคยพบเคยเจอ ในวัด หายหน้าไป
ก็มักจะได้รับคำตอบว่า แก่มาก ทำอะไรไม่ค่อยไหว เลยสึกกลับไปอยู่บ้านแล้ว
แต่ที่ผ่านมา ก็คิดว่า อ๋อ กลับไปอยู่บ้านให้ลูกหลาน ปรนนิบัติในบั้นปลายของชีวิตกระมัง
จึงเลยไม่เคยคิดเรื่องนี้ จนมาเจอเหตุการณ์นี้
ตัวสงสัยเลยเกิดเท่านั้นเอง
อยากให้คุณ ทัพพีในหม้อ ลองมาวัดตามต่างจังหวัดดูบ้าง
แต่ละวัด ไม่ได้มีพระอยู่มากมายนะคะ
บางวัดมีพระ 2-3 รูป เณร 2-3 รูป
และก็เป็นเจ้าอาวาส 1 รูป อีก 2 รูป เป็นพระที่เข้ามาบวช 3 วัน 7 วัน ตามธรรมเนียม
ดังนั้น การที่ พระซึ่งชราภาพ มากๆนั้น เมื่อเริ่มช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วจึงตัดสินใจสึก
koonpatt จึงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
เพียงแต่ ถ้าเรามีข้อมูล และสามารถให้คำแนะนำได้ น่าจะดี
เปิดใจให้กว้างนิดนึงก่อนค่ะ
koonpatt เอาความจริง ของวัดที่อยู่ห่างไกลมาพูดให้ฟัง
หรือ คุณลองเดินเข้าไปในวัดใกล้บ้านแล้วลองถามหา พระภิกษุที่ชราภาพมากๆดูก็ได้ค่ะ
ไม่มีใครว่าพระภิกษุที่บวชอยู่ด้วยกันไม่ดูแลกัน
แต่ในปัจจุบัน พระที่บวชระยะเวลาสั้นๆ แล้วสึกออกไปนั้น เยอะกว่า พระที่บวชอยู่นานๆ
koonpatt เคยไปวัดที่มีพระสงฆ์ ที่เป็นเจ้าอาวาส อยู่รูปเดียว กับเณรอีก 2
มาบวชเรียนช่วงปิดเทอม จึงตั้งใจ แล้วบอกหลวงลุงไปว่า
จะหมั่นพาเพื่อนและ เด็กๆ (ลูกหลานของเพื่อนๆ) มาช่วยทำความสะอาดวัด และ
หาของมาถวาย เชื่อมั๊ยคะ koonpatt ไปได้ 3 ครั้ง
ครั้งที่ 4 ที่ไป วัดนั้น ปิดไปแล้ว ด้วยเหตุว่า ไม่มีพระอยู่
นี่คือเรื่องจริง
koonpatt ไม่ได้กล่าวโจมตีใครเลย
ไม่ได้ว่าใครเลย
แค่เล่าให้ฟัง แล้วอยากได้ทางออก เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อ ผู้อื่นบ้างเท่านั้นเอง
เรื่องที่จะให้ koonpatt ไปถามคุณตาคนนั้นว่า ทำไมลูกหลานไม่ดูแล
ทำไม ถึงสึกออกมา koonpatt ไม่กล้าหรอกค่ะ
เคยดูรายการโทรทัศน์ ที่ไปถามคนแก่ที่ลูกทอดทิ้ง แล้วต้องให้คนข้างบ้าน
เอาข้าวเอาน้ำให้กิน แล้วไปสัมภาษณ์ว่า ลูกไปไหน ทำไมไม่มาดูแล แล้วคนแก่เหล่านั้นก็ร้องไห้
เราดูแล้วเรายังมีความรู้สึกว่า ทำไมต้องถามล่ะ ช่วยเลยไม่ได้เหรอ
การที่ให้คนที่เสียใจอยู่แล้ว มาพูดถึงเรื่องเหล่านั้น มันแย่มากเลยนะคะ
แค่ koonpatt กับพี่ ไปนั่งดูเฉยๆ เรายังเศร้าเลย ยิ่งตอนคุณตา คุณยายร้องเพลง ขอบคุณเราน่ะ
ก็นั่งร้องไห้จะแย่แล้ว ให้ไปถาม ถ้าคุณตาร้องไห้ขึ้นมา ต้องตายแน่ๆ เลย ช่วยเลยดีกว่า ไม่ต้องถามหรอกค่ะ :'(
ทำอะไรก็ได้ให้เค้าดีใจ คุณตา คุณยายหลายๆคน พอเราจะกลับ ไปไหว้ลา ท่านก็ร้องไห้
คงคิดถึง ลูกหลานที่ทิ้งท่าน ลองไปดูสิคะ
แล้วคุณอาจจะเข้าใจสิ่งที่ koonpatt พูด มากขึ้นก็ได้
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#9
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 07:52 PM
เพราะท่านไม่อยากเป็นภาระให้พระรูปอื่นมากกว่าครับ ที่จะต้องมาคอยดูแลท่าน ทำให้เสียเวลาปฏิบัติสมณะกิจ
แต่ว่าเมื่อสึกออกมาแล้วลูกหลานไม่ยอมดูแล ก็เป็นวิบากกรรมของลูกหลานแล้วล่ะครับ
และการที่ลูกหลานทอดทิ้งญาติผู้ชราให้ต้องประสบความลำบากนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา
มาตรา 307 ผู้ใดมีหน้าที่ตามกฏหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้ เพราะอายุ ความปว่ยเจ็บ
กายพิการ หรือ จิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสียโดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกดิอันตรายแก่ชีวิต
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และ มาตรา 308 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 306 หรือ มาตรา 307 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย
หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญญัติไว้ในมาตรา 290 (ฆ่าไม่เจตนา 3 -15ปี)
มาตรา 297(ทำร้ายร่างกายสาหัส 6เดือน-สิบปี) หรือมาตรา 298(เป็นบุพการี/เป็นเจ้าพนักงาน/โดยทรมานหรือ
เพือ่เอาผลประโยชน์ 2-10ปี)นั้น
#10
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 11:10 PM
"ผู้ใดปรนนิบัติ พระภิกษุอาพาธ เหมือนปรนนิบัติเราตถาคต"
ไม่ต้องห่วงพระหรอกครับ ยิ่งถ้าท่านอุดมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีลูกศิษย์ลูกหามาดูแลครับ
แต่ถ้าเป็นพระแบบอยู่ไปวันๆ อันนี้ไม่รับประกันนะ ขึ้นอยู่กับว่ามีบุญเลี้ยงดูบิดามารดาติดตัวมารึเปล่าล่ะครับ ถ้าไม่มีก็เจออย่างที่เจอล่ะครับ ทุกอย่างก็เป็นไปตาม กฏแห่งกรรม
#11
โพสต์เมื่อ 11 September 2008 - 11:17 AM
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
#12
โพสต์เมื่อ 11 September 2008 - 09:08 PM
พอไปเจอคุณตาคนนั้น( แต่ยังไม่ได้คุยกับคุณตาคนนั้นน่ะค่ะ) เลยเศร้าว่า ถ้าเป็นวัดทั่วไป พระที่อยากบวชแล้วไม่สึกจนมรณภาพในผ้าเหลือง ต้องทำอย่างไรหนอ
พออ่านแล้วรู้สึกสะดุดใจเล็กๆนะครับ ผมว่าก่อนจะวิจารณ์อะไร ลองกลับไปถามสาเหตุที่ผู้สูงอายุท่านนั้นสึกออกมาให้แน่นอนก่อนดีไหมครับ เห็นบอกว่ายังไม่ได้คุยกันไม่ใช่หรือครับ ว่าเกิดจากอะไร ตั้งใจสึกเองหรือมีใครพูดอะไร ทำอะไรโดนบีบบังคับหรือเปล่า แล้วเพราะอะไรทำให้ต้องมาอยู่ที่บ้านพักนี้
จะได้บอกต่อๆกันไปหากญาติพี่น้องใคร ที่บวชอยู่แล้วชราภาพมากแล้ว แต่ไม่อยากกลับมาอยู่ที่บ้าน จะได้แนะนำเขาน่ะค่ะ
เพราะปกติแล้ว การเป็นพระไม่มีการเกษียณอายุนะครับ และการดูแลเพื่อนพระภิกษุสามเณรที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ก็เป็นกิจของสงฆ์ที่อยู่ร่วมกัน ที่ "ต้อง" ปฏิบัติโดยไม่มีข้อแม้อยู่แล้วนี่ครับ(ผมว่ามีพุทธบัญญัติไว้นะ เดี๋ยวจะลองค้นดู) จะเจ็บป่วยหรือไม่เจ็บป่วย แต่ถ้าดูแลตนเองไม่ได้ก็ถือว่าเข้าข่ายแล้วครับ ด้วยเหตุที่ต้องดูแลกันเองทำให้ไม่มีสถานที่เพื่อการดูแลภิกษุชราภาพโดยเฉพาะไงครับ คงมีการเข้าใจอะไรผิดกันมากกว่าครับ
คุณตาคนนี้ อายุ 80 กว่าแล้ว
บวชเป็นพระมาตั้งแต่ยังหนุ่ม เมื่อ 2 ปีก่อน เริ่มที่จะช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้
เพราะแก่มาก ก็เลยต้องสึก แต่พอกลับไปอยู่บ้านกับญาติๆ
ด้วยความที่บวชมานานมากๆ (คงไม่มีความผูกพันมังคะ อันนี้คิดเองนะคะ)
การดูแลในฐานะคนชราในครอบครัว คงไม่สะดวกมังคะ
ก็เลยต้องมาอยู่ที่บ้านพักคนชรา
และ
แต่พระสงฆ์ หากจะกลับมาให้ญาติดูแล ก็ต้องสึกก่อนเพราะมาอยู่รวมกับฆราวาสก็ไม่ได้
เพราะการที่ออกมากล่าว ว่า เรื่องมีการทอดทิ้งพระภิกษุชรานั้น ออกจะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวนะครับ เหมือนกับว่า พอหมดประโยชน์แล้วก็ทิ้ง รวมทั้งเนื้อหาข้อความก็ก่อให้เกิดความสะเทือนใจแก่บุคลที่เข้ามาอ่าน ยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่ไม่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว และมีการนำไปพูดต่อ จะยิ่งสร้างความไม่เข้าใจมากขึ้นนะครับ
ที่สำคัญไม่มีการพูดถึงการ ไล่ ออกจากวัดอย่างที่คุณพูดเลย
ไปเอาความคิดนี้มาจากประโยคไหนของ koonpatt เหรอคะ
แต่ถ้า โดน "ไล่" ออกจากวัดด้วยข้อหาชราภาพโดยไม่มีสาเหตุอื่นแล้วหล่ะก็ สามารถร้องเรียนผู้ปกครองวัดนั้นๆได้ที่มหาเถรสมาคมฯครับ
กรุณาสังเกตุพยางค์แรกของประโยคด้วยครับ
เปิดใจให้กว้างนิดนึงก่อนค่ะ
????????????????? อันนี้ต้องขอขอบคุณจริงๆที่ให้คำแนะนำที่มีค่ามากมา จะพยายามเปิดใจให้กว้างกว่านี้ครับ
เคยดูรายการโทรทัศน์ ที่ไปถามคนแก่ที่ลูกทอดทิ้ง แล้วต้องให้คนข้างบ้าน
เอาข้าวเอาน้ำให้กิน แล้วไปสัมภาษณ์ว่า ลูกไปไหน ทำไมไม่มาดูแล แล้วคนแก่เหล่านั้นก็ร้องไห้
เราดูแล้วเรายังมีความรู้สึกว่า ทำไมต้องถามล่ะ ช่วยเลยไม่ได้เหรอ
การที่ให้คนที่เสียใจอยู่แล้ว มาพูดถึงเรื่องเหล่านั้น มันแย่มากเลยนะคะ
แค่ koonpatt กับพี่ ไปนั่งดูเฉยๆ เรายังเศร้าเลย ยิ่งตอนคุณตา คุณยายร้องเพลง ขอบคุณเราน่ะ
ก็นั่งร้องไห้จะแย่แล้ว ให้ไปถาม ถ้าคุณตาร้องไห้ขึ้นมา ต้องตายแน่ๆ เลย ช่วยเลยดีกว่า ไม่ต้องถามหรอกค่ะ :'(
ทำอะไรก็ได้ให้เค้าดีใจ คุณตา คุณยายหลายๆคน พอเราจะกลับ ไปไหว้ลา ท่านก็ร้องไห้
คงคิดถึง ลูกหลานที่ทิ้งท่าน ลองไปดูสิคะ
แล้วคุณอาจจะเข้าใจสิ่งที่ koonpatt พูด มากขึ้นก็ได้
สรุปคือประเด็นอยู่ที่คนชราที่อยู่ที่บ้านพักคนชราใช่ไหมครับ งั้นคงต้องขอโทษจริงๆ เพราะประเด็นของผมอยู่แค่ที่พระภิกษุชราเท่านั้นครับ ถ้างั้นผมพอเข้าใจแล้วครับ ผมผิดเองที่หลงประเด็นตั้งแต่ต้น ผมนึงว่าทางคุณต้องการทราบเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตของพระภิกษุที่ชราภาพแล้ว ผมไม่ได้นึกไปถึงเรื่องเกี่ยวกับบ้านพักคนชราเลย ต่อไปผมจะระมัดระวังในการตอบคำถามมากกว่านี้ จะไม่แยกประเด็นของเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันออกจากกันอีก
ต้องกราบขออภัยจริงๆที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน จะพยายามปรับปรุงตัวให้มากกว่านี้ครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
#13
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 08:17 AM
#14
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 09:26 AM
ที่พยายามทำความเข้าใจกับเรื่องที่ koonpatt เล่าให้ฟังนี้
koonpatt ลืมไปว่า ควรจะเกริ่นให้ทราบตั้งแต่กระทู้แรกก่อนเลยว่า
ที่พูดถึง การที่พระภิกษุ ซึ่งเมื่อชราภาพแล้วทำไมจึงสึก
ซึ่ง คุณ ตำรวจรักบุญได้ช่วยกรุณาอธิบายว่า อาจเป็นเพราะไม่อยากเป็นภาระให้พระรูปอื่น
ทำให้เข้าใจว่า koonpatt พลาดที่ไม่ได้พูดถึงตรงนั้น
ต้องขออภัยด้วยค่ะ อาจเล่าให้ฟังแบบไม่ครบ หรือ ไม่ละเอียดเท่าที่ควร
ก็เลยอยากจะอธิบายให้ฟังอีกนิดน่ะค่ะ ว่า ทำไมถึงได้เกิดประเด็นนี้ขึ้น
คือว่า
เมื่อก่อนเวลาไปวัดแล้วทราบว่าพระภิกษุที่ชราภาพ สึกไปแล้ว
koonpatt คิดเพียงแค่ว่า สงสัยลูกๆ หลานๆ อยากที่จะปรนนิบัติท่านในบั้นปลายของชีวิต
เลยขอให้ท่านสึก แล้วกลับไปอยู่ที่บ้าน (เหมือน คุณยายของเพื่อนที่เป็นแม่ชีน่ะค่ะ)
ก็เลยไม่เคยรู้สึกอะไรน่ะค่ะ ก็คิดเพียงว่า อืม ดีแล้วนะ จะได้มีคนดูแล
เพียงแต่เมื่อไปพบคุณตาคนนี้
ก็เลย เอ๋ ไม่ใช่อย่างที่เราคิดทุกคนนี่นา
ก็เลยสงสัยเท่านั้นเองค่ะ ว่ามีทางเลือกอื่น หรือไม่
แล้วก็คงต้อง ชี้แจงให้ท่านอื่นๆ ทราบอีกเช่นกันค่ะ
ว่า ไม่ได้คิดแม้แต่สักนิดเดียวนะคะว่า พระสงฆ์ ไม่ดูแลกัน
แต่อยากให้มาเห็นว่า พระแต่ละวัด ตามต่างจังหวัด
(ที่ไม่ใช่วัดใหญ่ๆ หรือ วัดในเมือง) อย่างวัดในหมู่บ้านของ koonpatt เอง
ห่างจากกลางเมือง 7 กิโล เท่านั้น
ทั้งวัดมีพระที่อยู่ประจำ 2-3 รูปเท่านั้นเองค่ะ แล้วก็ ชราภาพหมดเลย
ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลหลักว่า ทำไม พระภิกษุที่ชราภาพมากๆ หรือเริ่มช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้
ตัดสินใจที่จะสึกแล้วกลับไปอยู่บ้าน
คือที่ koonpatt ใช้คำว่า ต้องสึกเพื่อกลับไปอยู่บ้าน
ไม่ได้หมายถึงว่า มีใครบังคับว่าต้องสึกนะคะ แต่ถ้าหาก พระสงฆ์ต้องกลับไปอยู่บ้าน
ก็ต้องอยู่รวมกับญาติพี่น้อง ซึ่งก็คงมีทั้ง หญิง และชาย ถ้ายังเป็นภิกษุอยู่ คงไม่เหมาะ
(ไม่ใช่อาพาธแล้วไปอยู่ที่โรงพยาบาล อันนั้นไม่ต้องสึกใช่มั๊ยคะ)
ก็ขอขอบพระคุณ คุณทัพพีในหม้ออีกครั้งค่ะ
และขอขอบพระคุณ ทุกท่นที่เข้าใจในเจตนาของ koonpatt ด้วยค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#15
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 01:51 PM
ด้วยความเคารพและเพื่อการสำรวมระวัง กรุณาอย่าย่อนะครับ
#16
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 03:34 PM
#17
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 07:46 PM
หนึ่ง ทางโลก เมื่อคนชราที่ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีใครดูแล แม้บางท่านจะยังมีทรัพย์สินอยู่บ้างแต่ก็ไม่อยากไปอยู่บ้านพักคนชรา พอทราบข่าวนี้กันมากขึ้น ก็พยายามที่จะหาที่บวชเพื่อทำเรื่องขอย้ายเข้ามาอยู่ที่สำนักสงฆ์นี้
ด้วยเหตุที่ว่า ให้การดูแล ดีกว่า การเข้าอยู่ที่บ้านตนเอง หรือหน่วยงานสงเคราะห์ของรัฐ ทำให้ประสบปัญหาหลายประการ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องบุคลากร เรื่องสถานที่ อีกทั้งปัญหาที่หลายท่านไม่ใช่พระแท้ ไม่ได้รับการฝึกอบรมจิตใจเพื่อการเป็นพระมาก่อน ทำให้มาสร้างปัญหาจากนิสัยทางโลกขึ้นอีกด้วย ฯลฯ จนต้องปิดโครงการลง
สอง ทางธรรม ทางโครงการพยายามผลักดันให้ทางคณะสงฆ์ไทยยอมรับโครงการนี้เป็นหนึ่งในหัวข้อการทำงานของคณะสงฆ์ฯ เพื่อขอเงินสนับสนุน และขอการรับรองจากคณะสงฆ์ฯ
แต่ทางคณะสงฆ์ฯ (ผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นการประชุมระดับจังหวัดหรือระดับเขตการปกครองสงฆ์)ประชุมกันแล้วเห็นภัยใหญ่สองประการ ก็เลยไม่ให้การรับรอง
ภัยแรก ก็ตามเหตุในข้อหนึ่ง
ภัยที่สอง คือ อาจจะทำให้เกิดความไม่สามัคคีกันในหมู่สงฆ์ เนื่องจากมีพุทธบัญญัติที่ว่าเอาไว้เรื่องการดูแลหมู่คณะของสงฆ์กันเอง ห้ามปัดภาระให้แก่พุทธบริษัทอื่น แต่เมื่อมีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมารองรับ อาจจะ ทำให้เกิดเหตุที่บางวัด บางหมู่สงฆ์ จัดการส่งพระภิกษุชราที่คิดว่าเป็นภาระออกมาจากวัดหรือหมู่ของตนเอง เพื่อตนเองจะได้ไม่เป็นภาระดูแลต่อไป ทีนี้ก็จะสร้างปัญหาความสามัคคีในหมู่สงฆ์ขึ้นทันที
สำหรับคนทางโลกแล้ว อาจจะดูเหมือนการไร้น้ำใจ แต่เราต้องทำความเข้าใจแยกเป็นเรื่องๆออกจากกัน
ผู้ที่จะมาบวชในพระพุทธศาสนา ท่านก็ต้องรับรู้รับทราบอยู่แล้วก่อนบวชว่าชีวิตสมณะนั้นเป็นอย่างไร เป็นการฝึกตนเองอย่างขีดสุดที่มนุษย์คนนึงจะทำได้ เพื่อการหลุดพ้นอย่างแน่วแน่
เพราะฉะนั้นแม้จะชราภาพ แม้จะไม่มีของขบฉัน แม้แต่จะถึงกับมรณะภาพลง ท่านก็ต้องพร้อมที่จะรับผลแห่งการบวชนั้นๆ
ซึ่งมีทางเลือกให้สองทาง คือหนึ่งหนี ด้วยการลาสิกขา
สองสู้ ด้วยการบำเพ็ญตบะต่อไปเพื่อมรรค ผล นิพพานในภายภาคหน้า
เราทุกคนในที่นี้ไม่มีใครที่จะมีสิทธิตัดสินใจชี้ขาดใดๆได้นอกจากเจ้าตัวเอง อย่าสร้างวิบากกรรมขวางที่สุดแห่งธรรมด้วยการ กล่าวว่า สึกเถิดท่าน บวชต่อไปก็เป็นภาระผู้อื่นเปล่าๆ
การที่พระจริง มรณะภาพลงในผ้าเหลืองแห่งพระพุทธศาสนา นั่นจะเป็นอานิสงฆ์ที่ยิ่งใหญ่ที่ส่งผลให้ก้าวเข้าใกล้การหลุดพ้นจากวัฏฏะได้อย่างยิ่งทีเดียว
ส่วนเรานั้น เมื่อได้ชื่อว่า ผู้ดูแล ทะนุบำรุง สืบทอดพระพุทธศาสนา เราก็มีหน้าที่ในการดูแลภิกษุเหล่านั้นตามสมควรแห่งการเป็นพระภิกษุ อะไรที่จะทำให้ผิดเพี้ยนไปจากพุทธบัญญัติ แม้เราจะเห็นชอบด้วยเหตุผลทางโลกก็ตาม เราก็ไม่ควรทำ
และที่คุณ koonpatt กล่าวปวารณาไว้กับพระภิกษุแถวบ้าน ว่าจะดูแลท่านนั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดทีเดียว
เพราะเราทำบุญกับผู้ที่ต้องการของสิ่งนั้น ขาดแคลนสิ่งเหล่านั้นพอดี จะเป็นบุญพิเศษที่ไม่มีประมาณทีเดียว
เป็นการกระทำที่เรียกได้ว่า เป็นการต่ออายุพระศาสนาอย่างแท้จริง แม้จะเป็นวัดเล็กๆ มีพระสงฆ์ไม่กี่รูป แต่ถ้าทุกสงฆ์ท่านไม่มีใจคิดสึกเพื่อหนีความอดอยากเลย พร้อมที่จะบำเพ็ญเพียรเพื่อการหลุดพ้นต่อไป บุญก็จะก่อเกิดกับผู้กระทำอย่างคุณ koonpatt และหมู่คณะอย่างที่สุดทีเดียว ทำต่อไปนะครับ
ขออนุโมทนาบุญด้วยความเคารพอย่างสูง
ปล.ปกติทุกปีหลังออกพรรษา ผมกับคุณแม่จะเอาข้าวสารอาหารแห้ง ยารักษาโรค หลอดไฟ ไฟฉายพร้อมถ่าน หนังสือธรรมะ ผ้าไตร ผ้าอาบน้ำ ของใช้ส่วนตัว(แฟ๊บ สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ) และอีกสารพัดที่คิดว่าพระท่านต้องใช้ ใส่ท้ายรถขับตะเวนไปเรื่อยๆไม่ให้ซ้ำทางกับปีที่แล้ว เจอวัดเล็กๆ...ย้ำ...วัดเล็กๆ เราก็จะแวะเข้าไปสำรวจแล้วก็ถวายของตามที่พระท่านควรจะมีไว้ใช้ วันนึงก็ได้ ๕-๖ วัดอยู่เหมือนกัน เห็นอะไรที่ควรเห็นและไม่ควรเห็นเยอะกว่าที่เราจะเข้าใจซะอีก ถ้าสนใจ ปีนี้ไปด้วยกันก็ได้ครับ ปีนี้เป็นรถคอมมูเตอร์ใหญ่กว่ารถเก๋งคันเก่าเยอะเลย
#18
โพสต์เมื่อ 13 September 2008 - 09:50 AM
ที่อุตส่าห์ หาข้อมูลมาแนะนำเพื่อเป็นความรู้
เรื่องที่เราคุยกันในกระทู้นี้ เป็นเรื่องที่เหมือนใกล้ตัว แต่ก็งงๆ ว่า ทำไมไม่เคยรู้
คือปกติ เวลาไปวัด ไม่ค่อยได้คุย (หมายถึงสนทนาเป็นเรื่องเป็นเรื่องเป็นราวน่ะค่ะ) กับพระสงฆ์ค่ะ
เพราะรู้สึกว่า เป็นผู้หญิง จะไปคุยอะไรกับพระ
แล้วถ้าจะไปวัด ก็ต้องมีเพื่อนไปด้วยน่ะค่ะ ถ้าไปลำพังก็ไม่เหมาะ เพื่อนไม่ว่างก็อดไป
ถ้าไปกันเป็นผู้หญิงทั้งหมดก็ไม่ค่อยกล้าสนทนามากอยู่ดี
ก็จะถามแค่ว่า ขาดเหลืออะไร มีพระเยอะมั๊ย ซึ่งเป็นเรื่องพื้นๆ เลยไม่รู้เรื่องของพระสงฆ์เท่าไหร่ค่ะ
ที่ผ่านมา มีหลวงตาด้วงค่ะ ที่วัดโยธานิมิตร จังหวัดอุดร อยู่ไม่ไกลจากบ้านค่ะ
เวลาไปหาท่าน จะรู้สึกปลื้มมาก ท่านใจดี เวลาไป ท่านจะสอนธรรมะทุกครั้ง สั้นๆ แต่เข้าใจง่าย
ก็จะได้เข้าใจเรื่องธรรมะ มากขึ้น จากที่เราอ่านเองน่ะค่ะ
แต่ท่านก็มรณภาพไปเสียแล้ว เศร้าเลย....
ขออนุโมทนาบุญกับคุณ ทัพพีในหม้อด้วยนะคะ
เป็นไอเดียที่ดีมากๆ เลยค่ะ กับสิ่งที่คุณทัพพีในหม้อ กับ คุณแม่ทำ
ขออนุญาตเอาไปลอกเลียนแบบนะคะ สา...ธุค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ