ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

อยากรู้?


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 17 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 253555

253555
  • Members
  • 66 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 03:25 PM

การทำบุญบริจาคอวัยวะ กับดวงตา แล้วก้อ เลือด red_smile.gif

อยากรู้จังว่า อันนี้ถือว่าเป็น อุปบารมี หรือป่าววววคะ

แล้วเมื่อเราละโลกไปแล้ว เราจะได้ทิยสมบัติยังงัยหรอค่ะ?

การมาช่วยงานพระพุทธศาสนา กับการบริจาดบริจาคอวัยวะ กับดวงตา แล้วก้อ เลือด

เวลาได้บุญจะต่างกันมากมั้ยค่ะ glare.gif

แล้วถ้าแสดงความจำนงจะบริจาค แล้วก้อตั้งใจเป็นทาน

แต่เกิดละโลกไปแล้ว ไม่สามารถ นำไปใช้ได้มากนัก

แบบว่า บริจาคอวัยวะทุกส่วนแล้ว เกิดอุบัติเหตุ หรือโรคขึ้นมา

สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้แค่บางส่วน หรือไม่ได้เลย

แต่มีจิตปลื้มในการถวายทานมากๆ mad.gif

เวลาบุญมาจะมากรึปล่าวค่ะ ^.~


แล้วถ้าการถวายทานที่ได้ด้วยเงิน ทอง สิ่งของ(หรือสร้างโบสถ์)

กับการให้ทานด้วยอวัยวะ เลือดเนื้อ

อันไหนได้บุญมากค่ะ wacko.gif

ถ้าต้องการสร้างมหาทานบารมีด้วยการให้ชีวิต เป็นทาน

กับตั้งใจการเป็นอุบาสิกาตลอดชีวิต

อันไหนได้บุญมากกว่ากันค่ะ

อนุโมทนาบุญล่วงหน้านะค่ะ^o^
laugh.gif










#2 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 04:49 PM

ขึ้นอยู่กับเวลาที่เราทำการบริจาคครับ หากเราบริจาคเวลาที่เรามีชีวิตอยู่จะจัดได้เป็นอุปบารมีอย่างยิ่งยวด ได้บุญมหาศาลครับ แต่หากบริจาคหลังเราเสียชีวิตแล้วก็เป็นอุปบารมีเหมือนกัน แต่อยู่ในระดับหย่อนครับ

บุญที่ได้จากการบริจาคอวัยวะ อุปมาเหมือนกับค่าของสิ่งของ หากเป็นสิ่งของใหม่ๆย่อมมีค่ามหาศาล แต่หากเป็นของที่เก่าแล้วคุณค่าก็ย่อมตกตําลงมา การบริจาคอวัยวะหากเราบริจาคตอนที่ยังมีชีวิตก็เหมือนเราบริจาคอวัยวะใหม่แก่ผู้อื่น บุญที่ได้ก็จะมหาศาล แต่หากเป็นอวัยวะหลังจากเราเสียชีวิตแล้ว อวัยวะที่บริจาคก็เหมือนกับของเก่า ที่เราใช้มาทั้งชีวิตแล้วพอเราไม่ใช้ก็ยกให้คนอื่น บุญที่ได้จึงหย่อนตาม ฉันใดฉันนั้นครับ

ทีนี้การบริจาคเลือดจะแตกต่างจากการบริจาคอวัยวะเล็กน้อย คือ เลือดที่เราบริจาคไปส่วนใหญ่จะถูกเก็บรักษาไว้ส่วนมากจะยังไม่ได้นำไปใช้ทันที ดังนั้น บุญจะได้เป็น2อย่างคือ
1.บุญจากการตั้งใจที่จะให้ แม้เลือดนั้นจะถูกเอาไปใช้หรือไม่ถูกเอาไปใช้ก็ตาม
2.บุญที่ได้อย่างเต็มที่เมื่อเลือดที่เราบริจาคได้ถูกนำมาใช้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว และจะได้มากเปรียบได้กับการถวายสังฆทาน เพราะเราไม่ได้เจาะจงให้เฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่เราให้เพื่อเอาไปช่วยเหลือใครก็ได้ และหากเขารอดก็เหมือนเราให้ชีวิตเขา อานิสงค์ก็จะยิ่งทับทวีมากขึ้น อุปมาเหมือนกับเราหว่านเมล็ดพืช หากเราเจาะจงหย่อนเมล็ดแค่หลุมเดียว เราก็จะได้ผลแค่บริเวณหลุมที่เราหย่อนเมล็ดลงไป แต่หากเราหว่านโดยไม่สนใจว่าเมล็ดจะตกตรงไหน พื้นที่ที่จะให้ผลกับเราก็กว้างมากขึ้นด้วยจริงไหมครับ

ทีนี้ การมาช่วยงานพุทธศาสนากับการบริจาคอวัยวะ ผมคิดว่าเอามาเทียบกันไม่ได้หรอกครับ แต่หากว่าช่วยงานพระพุทธศาสนาแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน คือแม้จะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน แม้เหนื่อยจนต้องขาดใจตายก็จะทำให้สำเร็จและไม่ย่อท้อ ด้วยความคิดด้วยปัญญาอันน้อยนิดของผม ผมคิดว่าอุทิศชีวิตช่วยงานพระพุทธศาสนาแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันได้บุญมากกว่าครับ เพราะการให้ชีวิตเป็นทาน แม้เรายอมสละชีวิตอย่างมากก็ช่วยได้เท่าที่อวัยวะเราจะแบ่งได้ แต่หากเราอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนาให้ดำรงค์อยู่สืบต่อไปเอาแค่สัก100ปี คิดว่าจะทำให้มีคนดีเพิ่มขึ้นสักดี่คนล่ะครับ

แต่ไม่ว่าแบบไหน หากทำแล้วได้บุญจะมากหรือน้อยทำไปเถอะครับ ดีกว่าไม่ได้ทำแล้วไม่ได้บุญเลยจริงไหมครับ

เก็ทป่ะครับ ^ ^
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#3 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 07:57 PM

"ถ้าเอาไปตอนเป็นๆ นั้นมันถึงได้บุญ คือ ตัดอวัยวะนั้นให้ไปทันที มนถึงจะเป็นอุปปบารมี

ถ้ามาเอาตอนตายแล้ว ร่างกายมันไม่ใช่ของเราแล้วคือเราไม่ได้ใช้หรือครอบครองร่างกายนั้นแล้ว

แล้วเราจะเอาอวัยวะที่ไม่ใช่ของเรามาบริจาคได้อย่างไร"

#4 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 09:53 PM

ความเห็นเรานะ..
การทำทานที่มีผลมาก.. ที่เรียกว่าทานอุปบารมี.. (ทานที่ทำได้ยาก) ต้องมีองค์ประกอบคือ..

1. ผู้ให้เอง.. ก็ยังจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้นอยู่.. แต่เลือกที่จะให้สิ่งนั้นแก่ผู้อื่น
ด้วยหวังจะสงเคราะห์ผู้อื่นให้เขาได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ให้ไป
2. องค์ประกอบของการทำทานที่ได้ผลมาก.. ครบองค์ประกอบ.. คือ..
. . 2.1 เจตนาบริสุทธิ์
. . 2.2 วัตถุทานบริสุทธิ์
. . 2.3 ผู้รับบริสุทธิ์.. เนื้อนาบุญอันเลิศ.. (ตรงนี้เป็นตัวแปรที่ผู้ให้อาจเลือกไม่ได้)
. . . . . แต่ตามที่มอง ข้อนี้ไม่ค่อยมีผลเท่าไรนัก เป็นเพียงตัวคูณอีกตัวหนึ่งเท่านั้น
. . . . . เช่น พระเวสสันดร ที่บริจาคบุตร ธิดา ให้เป็นทานแก่ชูชก.. ตัวชูชกเอง ก็ไม่ได้บริสุทิ์อะไรมากมาย
. . . . . แต่ก็ยังจัดเป็น ทานอุปบารมี.. และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้บารมีของพระองค์เต็มเปี่ยมได้..
3. วาระของการทำทานที่ได้ผลมาก.. ครบองค์ประกอบ.. คือ..
. . 3.1 ก่อนทำ.. ใจต้องแช่มชื่นในบุญที่กำลังจะทำ..
. . 3.2 กำลังทำ.. ใจต้องแช่มชื่นในบุญที่กำลังทำอยู่..
. . 3.3 หลังจากทำแล้ว.. หมั่นตรึกระลึกถึงด้วยใจที่ปลื้มปีติในทานที่ทำไปแล้ว..
. . . . . ให้ไปด้วยใจที่ไม่ได้รู้สึกเสียดาย.. และปลื้มในทานนั้นอย่างมาก..

ซึ่งทานปกติที่ทำๆกันนั้น.. การรักษาข้อ 3.1, 3.2, 3.3 ถือว่ายากแล้ว
แต่ทานอุปบารมี.. ยากกว่า.. ถึง ยากยิ่งนัก.. จะขอยกตัวอย่างอันนึง..

ลองนึกดูว่า.. หากต้องควักลูกนัยย์ตาให้เป็นทาน เพื่อให้คนอีกคนหนึ่งมองเห็น โดยที่ตนเอง
ต้องเหลือตาเพียงข้างเดียวนั้น.. บุคคลที่จะแข็งใจทำเช่นนั้นได้โดยสามารถข่มความเจ็บปวด
และความรู้สึกมากมายที่ประเด ประดังมาหลังจากนั้นได้.. สามารถรักษาข้อ 3.1, 3.2, 3.3 ได้อย่างดี..
บุคคลผู้นั้นต้องมีใจที่เข้มแข็งเพียงไร..
คนธรรมดาส่วนมากมักทำได้เพียง.. 3.1, 3.2 แต่หากบุคคลที่รับทานอุปบารมีนั้นเป็นคุณพ่อ คุณแม่
หรือบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง.. ก็พอจะรักษาข้อ 3.3 ได้ดีขึ้น..

ทั้งนี้.. ความเห็นส่วนตัวคือ..
การเซ็นต์ชื่อบริจาคอวัยวะให้เป็นทาน.. เมื่อตายไปแล้วใครอยากได้อะไร
ให้มาเอาไปได้ตามสบาย.. ไม่ใช่ทานอุปบารมีเลย.. เพราะมันไม่ใช่ของผู้ให้แล้ว
ผู้ให้ได้เดินทางออกจากกายมนุษย์หยาบไปแล้ว..
แต่ถามว่าเป็นการทำทานไหม.. ใช่.. เป็นการทำทาน.. แต่ไม่ใช่ทานอุปบารมี..


ประการสำคัญ.. สังเกตุว่า.. แม้ควักลูกนัยย์ตาบริจาคไปขณะยังมีชีวิตอยู่..
แต่รักษาวาระจิตทั้ง 3 วาระไม่ได้.. ก็ไม่จัดอยู่ในทานอุปบารมี..
(แต่ที่ดูใน Series พระเวสสันดรน่ะ.. ที่พระองค์แสดงความโกรธชูชก หรือเสียดายที่บริจาคบุตร ธิดาไปน่ะ
ความจริงไม่น่าเป็นเช่นนั้น.. แต่ตามเนื้อเรื่องที่บันทึกกันมาเช่นนั้น.. เพราะต้องการลดช่องว่าง
ของผู้ที่ไม่เข้าใจในวิถีทางของ ปัญญาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า..
เพราะมันเป็นเรื่องล่อแหลมต่อการรับรู้ของมนุษย์ผู้มีกิเลสหนาอยู่นั่นเอง..
ซึ่งเรื่องนี้.. คุณครูไม่ใหญ่ท่านก็เคยเอ่ยขึ้นมานิดนึงเหมือนกันว่า.. ความจริงผู้ที่สั่งสมบารมีมาขนาดนั้น
ขนาดที่อีกชาติเดียวก็จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว.. จิตใจต้องเข้มแข็งมากกว่าใน Series ที่เอามาให้ดูนั้น)

ทั้งนี้ทั้งนั้น.. เรามองว่า.. สรรพทานัง.. ธรรมมะทานัง.. ชินาติ..
การให้ธรรมเป็นทาน.. ย่อมชนะการให้ทั้งปวง..
เพราะอะไร.. ?
เพราะการให้ธรรมเป็นทาน.. หากผู้ได้เสพธรรมนั้นๆแล้ว.. ได้นำธรรมมะนั้นไปใช้..
เช่น.. หากอธิบายเรื่องของการทำทานให้ผู้อื่นเข้าใจ.. แล้วผู้นั้นไปทำเอง.. หรือบอกต่อ กระจายสู่คนหมู่มาก..
ผู้ให้ธรรมเป็นทานนั้น.. ย่อมได้รับผลบุญที่ผู้อื่นได้กระทำลงไป.. จากผลของการฟังธรรมที่ได้บรรยายไปนั้นด้วย
จากคนรู้ธรรมมะเพียง 1 คน.. สมมุติว่ากระจายสิ่งดีๆสู่ 2 คน.. ไปเรื่อยๆ..
จาก 2=>4=>8=>16=>32=>64=>128=>256=>512=>1,024=>2,048=> . . .
ผู้ให้ธรรมมะนั้น.. ย่อมได้รับผลจากการปฏิบัติ หรือบอกต่อ.. ในทุก Step ทุกส่วน..
ซึ่งหากไม่ใช่ 1=>2=>4=> . . แต่เป็น 1=>8=>16=>32=> . . หรือ 1=>100,000=>200,000=> . .
สำหรับการบรรยายธรรมมะให้สาธุชนจำนวนมากนะ.. ลองคิดดูว่าบุญจะขนาดไหน..

ส่วนความเสี่ยงจากการให้ธรรมเป็นทานนั้น.. ก็มีอยู่บ้างคือ..
หากบอกกล่าวธรรมมะผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง.. ก็จะติดวิบากกรรมในส่วนนั้นๆไปด้วย..
ถ้าเปรียบเทียบกับทางโลก.. ก็ต้องบอกว่า.. High Risk.. High Return.. จ๊ะ..
อย่างเราเนี่ย.. ที่มาอธิบาย มาตอบๆอะไรเนี่ย.. ก็เสี่ยงเอาการอยู่..
เพราะ Patturn การกระจายจะเป็นแบบใดก็ตาม.. (ตามตัวอย่างข้างบนหรือแปลกแตกต่างจากนี้ก็ได้)
แต่จะเปลี่ยนตัวคูณจาก บวก เป็น ลบ.. น่ากลัวไหมล่ะ.. ?
ดังนั้น.. ถ้าไม่มั่นใจในระดับหนึ่ง.. จะไม่ตอบเลย.. เพราะเสี่ยง..
พอตัดสินใจตอบแล้ว.. ก็ต้องเน้นถ้อยคำให้สื่อสารออกไปให้ถูกต้องด้วย.. ไม่งั้นก็เสี่ยงอีก..

อันนี้กระซิบเบาๆนะ..
(แต่ถ้าชัวร์ ชัด ใช่.. แล้วกล้าตอบออกไป.. แม้จะสวนกระแสคนหมู่มาก..
แม้คำตอบนั้นอาจทำให้ใครหลายคนเกลียด.. ก็ช่างมัน.. ยอมแลก.. (รักในสิ่งหนึ่ง.. มากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง..)
เพราะเล็งเห็นผลดีที่จะเกิดกับคนหมู่มาก และอายุพระศาสนานะ.. อานิสงส์มากจริงๆ..
ผลของมันจะทันตาเห็นเลยล่ะ.. คือ.. เห็นองค์พระทันที.. แบบไม่ต้องมีใครพล็อตเรื่องให้เลย.. เชื่อเถอะ..
คำถามตรงนี้คือ.. ถ้าคนทั้งโลกเกลียดคุณ.. แต่องค์พระชัดแจ่มกระจ่าง.. คุณจะเลือกวิถีทางนั้นไหม.. ?)
(กระซิบเบาที่สุดแล้วนะเนี่ย..)

ส่วนการเป็นเพียงทีม Support ในการให้ธรรมมะเป็นทาน..
เช่น การอุทิศตนเป็นทีมงานของวัด.. บุญก็จะลดหลั่นกันลงมาตามสัดส่วน.. และอีกตัวแปรที่ต้องคำนึงถึงคือ..
ข้อ 2.1, 2.2, 2.3, 3.1, 3.2, 3.3
อีกประการคือ.. การอุทิศตนเป็นทีมงานของวัด.. บุญที่ได้
นอกจากเรื่องการใช้แรงกาย ความคิด ปัญญา ฯลฯ เป็นทานแล้ว..
ยังมีในเรื่องของ ศีล.. และ ภาวนา.. ด้วย.. ถูกไหม..
คงไม่มีใครอุทิศตนเป็นอุบาสิกาเพื่อเข้าไปลุยงานหยาบ โดยไม่ถือศีล ๘ และไม่นั่งสมาธิ.. จริงไหม.. ?

ดังนั้น.. การเอาเรื่องทานทั้งหลายที่กล่าวถึง.. มาเปรียบเทียบกัน..
มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะตอบ.. เพราะต้องคำนึงถึงปัจจัย องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องหลายส่วน..

แต่คิดไปก็เท่านั้น.. พยายามทำบุญให้ได้ทุกบุญ.. ไม่ให้ตก ไม่ให้หล่นแม้แต่เพียงบุญเดียวจะดีกว่าจ๊ะ..

"คิด.. ไม่สู้ ทำ"

(ข้างล่างนี้.. กันเหนียว..)
ทั้งนี้ทั้งนั้น.. หากสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวตอบไป.. มีสิ่งใดผิดพลาดประการใด..
ต้องกราบขออภัย ในความรู้อันน้อยนิดของข้าพเจ้า.. ขอทุกท่านอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด..
และกราบขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ และท่านผู้รู้จริงด้วยเทอญ.. สาธุ สาธุ สาธุ.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#5 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 September 2008 - 10:26 AM

ขอเพิ่มเติมอีกนิดนึงนะ..
พอดีเมื่อคืนกับเมื่อเช้ามีเรื่องนี้แวบมาในสมาธินิดหน่อย.. เลยนึกขึ้นได้..

ขอขยายความข้อ 1. ที่บอกว่า..

1. ผู้ให้เอง.. ก็ยังจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้นอยู่.. แต่เลือกที่จะให้สิ่งนั้นแก่ผู้อื่น
ด้วยหวังจะสงเคราะห์ผู้อื่นให้เขาได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ให้ไป

ข้อนี้.. ตามความเข้าใจของเราเองนะ..
(ผิดถูกประการใดต้องขออโหสิกรรมและวอนพระอาจารย์และผู้รู้จริงช่วยชี้แนะด้วย)
ถ้าจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้นอยู่ แต่มีมากมาย เลือกใช้ได้.. ก็ไม่จัดเป็นทานอุปบารมี..
ยกตัวอย่างเช่น.. มีเสื้อผ้ามากมาย.. ถามว่าจำเป็นต้องใช้อยู่ไหม.. ก็จำเป็น..
แต่ได้เอาเสื้อผ้าเหล่านั้นจำนวนหนึ่งไปบริจาค.. สิ่งนี้.. ยังไม่ถือว่าเป็นทานอุปบารมี..
เพราะอะไร.. เพราะยังมีให้เลือกใส่ได้ หรือต่อให้เหลือเพียงชุดเดียว.. ก็ยังมีให้ใส่..

แต่กรณีสมัยพุทธกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(พระองค์ใดไม่แน่ใจ)
ที่มีคนจน 2 สามีภรรยา คู่หนึ่ง.. ที่ยากจนมากขนาดต้องผลัดกันใช้ผ้าผืนเดียวห่อหุ้มร่างกาย
เมื่อยามที่ภรรยาจะออกไปข้างนอก.. สามีต้องสละผ้าให้ภรรยา.. และต้องอยู่บ้าน ออกไปไหนไม่ได้
และครั้งนั้น สามีออกไปฟังธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. จึงใช้ผ้านั้นห่อหุ้มร่างกายออกไป
ส่วนภรรยาต้องอยู่เฝ้าบ้าน.. ในครั้งนั้นเอง.. พระพุทธองค์เห็นบุรุษเข็ญใจนั้นในข่ายพระญาณ..
ทรงปรารถนาที่จะสงเคราะห์บุรุษเข็ญใจนั้น.. จึงมุ่งแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อเล็งผลให้บุรุษนั้นสละความตระหนี่
และนำผ้าผืนเดียวที่มีอยู่นั้น.. สละออกเพื่อทำทาน.. ครั้งนั้นมีพระราชาได้ร่วมฟังพระธรรมเทศนาอยู่ในที่นั้นด้วย
ปกติเป็นใครก็ตาม ก็จะเกรงใจพระราชาอยู่บ้าง.. คือ.. เมื่อถึงเวลาอันควรก็จะหยุดแสดงธรรม
เพื่อให้พระราชาเสด็จกลับวัง.. แต่พระพุทธองค์ไม่สนใจ.. กลับมุ่งแสดงธรรมเพื่อเล็งผลไปยังบุรุษเข็ญใจผู้นั้น
โดยได้แสดงธรรมอย่างยาวนานกระทั่งดึกดื่น
(เราไม่แน่ใจว่าถึงเช้าเลยไหมนะ ต้องไปเช็คดูกันเอง.. แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญเท่าไร..
สาระสำคัญอยู่ที่พระมหากรุณาของพระพุทธองค์ ที่ไม่เลือกแสดงธรรมเฉพาะผู้สูงศักดิ์ ฐานะดี
ไม่เลือกเอาใจเฉพาะผู้สูงศักดิ์ ฐานะดี.. แต่พระองค์กลับมีมหากรุณาที่จะโปรดบุรุษเข็ญใจผู้นั้น)
เมื่อจบพระธรรมเทศนา.. กำแพงความตระหนี่.. ที่ตัดรอนสายสมบัติมาข้ามภพข้ามชาติของบุรุษเข็ญใจผู้นั้น
ได้ถูกทำลายลงหมดสิ้น.. บุรุษเข็ญใจนั้นได้สละผ้าที่มีอยู่เพียงผืนเดียวนั้นออกทำทานแด่พระพุทธองค์
โดยไม่แยแสว่า.. ตนเองต้องเปลือยเปล่า.. ต้องใช้ใบไม้ปกปิดร่างกายไม่ให้น่าเกลียด
แล้วบุรุษผู้นั้นก็ทำ 3 วาระจิตแห่งการให้ทานที่มีผลมากได้เป็นอย่างดี..
คือ.. แม้ต้องกลับไปหาภรรยาที่บ้านด้วยสภาพน่าตลกขบขัน น่าอายเยี่ยงนั้น..
แต่เขากลับปลื้มปีติในบุญอย่างมหาศาล.. ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้..

เมื่อสิ่งที่ให้เป็นทาน.. เป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งเพียงนี้..
ประกอบกับองค์ประกอบองค์ประกอบของการทำทานครบถ้วน
สิ่งนี้เอง.. จึงจัดว่าเป็น.. ทานอุปบารมี..
และหลังจากนั้น.. ผลบุญที่มหาศาลจาก.. ทานอุปบารมี+เนื้อนาบุญอันเลิศสุดๆคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผลบุญอันมหาศาลนี้ได้ดลบันดาลให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นกับ 2 สามีภรรยานั้นกระทั่งร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี่ทันตาเห็น
(แต่เราจำไม่ได้.. คือพอจำได้แต่ไม่ชัวร์ว่า.. ได้ทรัพย์มาจากพระราชาหรือเปล่านะ..
แต่เอาเป็นว่าท้องเรื่อง.. หรือสาระสำคัญอยู่ครบ ใช้การได้)

มีอีกหลายเรื่องที่อยากจะยกตัวอย่าง..
แต่ขอตัวไปทานข้าวมื้อเช้าก่อน.. เหนื่อย+หิวโฮกๆเลย.. แล้วเดี๋ยวต้องไปอัดเสียงอีก..
ถ้าไม่เหนื่อยเกินไปอาจได้มาเล่าตัวอย่างให้ฟังอีก..
และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เราสังเคราะห์มาจากสิ่งที่พอจะรู้มาทั้งหมด.. ซึ่งอาจเป็นประโยชน์.. อยู่บ้าง..

แต่ตอนนี้.. อยากถามว่า.. รักท่านคนละกี่กอง.. ? happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#6 kasaporn

kasaporn
  • Members
  • 870 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 September 2008 - 11:34 AM

คุณเด็กอนุบาลหน้าใสใจดี อธิบายได้กระจ่างแจ้งมากค่ะ สาธุ สาธุ

#7 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 11 September 2008 - 01:04 PM

แม่นแล้ว แม่นแล้ว เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#8 253555

253555
  • Members
  • 66 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 September 2008 - 05:34 PM

กราบอนุโมทนาบุญ/ขออนุโมทนาบุญลูกพระธัมทุกท่านนะค่ะ
ตอบเด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
สงสัยว่าชาติก่อนทำทรัพย์มาน้อย บริวารน้อย ก้อเลยไม่ถึงกองหรอก
แต่เคยคิดหลายรอบแล้วว่าทรัพย์ไม่มีมากนัก
ทำบุญได้ก้อเพียงตัวกับหัวใจ
แล้วก้อแรงกาย เท่านั้นเอง เมื่อก่อนตอนยังไม่เข้าวัดก้อช่วยสงเคราะโลกมามาบ้าง ทำบุญที่วัดต่างๆมาบ้าง
คิดจะบริจาดเลือด อวัยวะทุกส่วน เมื่อได้ไปอบรมสภากาชาด แล้วสงสารเขามากๆ
ที่แม่เค้าไม่สามารถบริจาคเลือดให้กับลูกตัวเองได้
แม่เค้าร้องไห้ขอเลือดให้กับลูกที่เป็น(โรคทาลัสซีเมีย)
วิดีโอฉายได้เพียงประมาณชั่วโมงครึ่ง ก้อเลยตั้งใจที่จะบริจาคเลือดทุกๆ 3 เดือนมาตลอด
แต่เราก้อมีปัญหาเรื่องเลือดจาง แต่ไม่มาก (โดนหมอไล่กลับส่งยามาให้เพิ่มเลือด)
หลังจากนั้นก้อมีโครงการช่วยสงเคราะห์โลก (ตามคำพระพุทธศาสนา) ที่อื่นๆอีก แล้วก้อที่วัดนี้ด้วยค่ะ
พอรับบุญที่กองอยู่ค่ะ ถ้าพูดถึงเรื่องทำทานด้วยเงิน ทอง คงได้ไม่มาก
แต่ใจอยากบริจาค แล้วก้อขอหลวงปู่ว่า อยากเป็นอุบาสิกา
แล้วก้อยังไม่กล้าพอที่จะตั้งมโนปนิธานพอค่ะ(มะรู้เขียนถูกป่าววว)
กลัวบาปถ้าทำไม่ได้ ตอนนี้ก้ออยากรับบุญวันที่ 10 ตุลาคมอยู่ค่ะ^^

ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะค่ะที่ช่วยไขข้อสงสัย^.^ smile.gif

อ้อ!เอา hi5 รักบุญมาฝากด้วยค่ะ http://rukboonclub.hi5.com glare.gif

ขออภัยล่วงหน้า หากล่วงเกินทางวาจา ภาษาไม่สุภาพ

ขอขมา/ขออภัยด้วยนะค่ะ happy.gif

ไฟล์แนบ



#9 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 September 2008 - 11:15 PM

ไปอัดเสียงมา เพิ่งกลับมาถึงบ้านไม่นาน.. เหนื่อยสุดๆเลย..
ปรากฎว่าเสียงเราไม่ไหวเลย เพราะเป็นหวัดแล้วยังร้องผิดคีย์อีก
อันนี้มีสาเหตุ ไว้จะเล่าให้ฟัง.. อิอิ
เลยต้องใช้เสียงคนทำ Backing Track.. นั่นก็โคตรแมนเลย.. ไม่ไหว.. แถมเป็นหวัดเหมือนเราอีก..
ร้องคู่ แล้วเอามาปรับเป็นเสียงเด็กทั้งคู่.. ฟังแล้วเหมือนเสียงกุมารทองเลย.. 555
เมื่อกี้เลยตัดสินใจ.. โทรไปบอกคนทำ Backing Track ให้ช่วยหานักร้องมืออาชีพ
มาช่วยร้องที.. เสียตังค์อีก 2 พัน.. เง้อออ..
แต่อยากให้งานเพลงที่ทำให้หลวงปู่ หลวงพ่อ ออกมาดีที่สุด
แม้ว่าเราจะยังไม่รู้เลยว่า.. จะได้เปิดใช้งาน จะได้เปิด On-Air หรือเปล่า.. ?
(บ่นไรฟะเนี่ย.. นอกเรื่องจริงๆเลยเรา..)

กราบอนุโมทนาบุญกับคุณ minova ด้วยจ้า..
ที่ตั้งใจทำความดีหลายๆอย่างที่เล่ามาให้ฟัง
เยี่ยมยอดจริงๆ.. สาธุ สาธุ สาธุ.. happy.gif

กราบสวัสดีทักทายคุณ kasaporn และคุณ หัดฝัน ด้วยจ้า.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#10 253555

253555
  • Members
  • 66 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 12:45 PM

เหอๆ cool.gif

สู้ต่อไปเด้อ laugh.gif

#11 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 05:07 PM

ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาบุญ กับคุณ minova ด้วยนะคะ

ขอบพระคุณมากค่ะที่คิดเมตตาต่อ มนุษย์ทั้งหลาย

และคนรอบๆตัวหลายคนที่ koonpatt รู้จัก ก็รอการบริจาคอวัยวะของผู้ที่มีใจบุญอยู่

คนเป็นโรคไต หรือ โรคตับ ไม่ได้แปลว่า ต้องเกิดจากการดื่มสุราเสมอไปนะคะ

ทุกข์บางอย่าง หากไม่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว บางทีเราไม่รู้สึกหรอกค่ะ

ว่าการรอคอย และ เฝ้าดูเขาเหล่านั้น ต่อสู้กับโรคร้ายมันทรมานขนาดไหน

บางครั้ง อ่านข่าวการเสียชีวิตรายวัน จากอุบัติเหตุ หรืออะไรต่างๆ

ยังคิดว่า ถ้าเขาเหล่านั้นได้ทำเรื่องขอบริจาคไว้ คงจะช่วยเหลือคนที่ต้องการอยู่ได้อีกเยอะแยะทีเดียว

บางคนที่กำลังป่วยมาก เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในครอบครัว

ยังมีลูกๆ ที่ยังเล็ก ยังต้องการอนาคต ใช่ค่ะ เราก็แค่ ให้ของที่เราไม่ต้องใช้แล้ว เท่านั้นเอง

ดังนั้น

อยากจะบอกท่านผู้มีเจตนาดีว่า ทำเถอะค่ะ เพียงแค่คุณมีเจตนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

อันเป็น 1 ในพรหมวิหาร 4 แล้วนั้น ก็เป็นบุญแล้ว

อยากจะขยายความให้ผู้ที่เข้าใจว่า การบริจาคอวัยวะและร่างกายนั้นเป็นเรื่องง่าย

และเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการแล้วจึงบริจาค ไม่ใช่เลยค่ะ


หากคุณต้องการบริจาคอวัยวะ เพื่อให้ผู้ป่วยได้นำไปปลูกถ่ายอวัยวะใหม่นั้น

1. ผู้บริจาคต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปี

2. เสียชีวิตจากภาวะสมองตายด้วยสาเหตุต่างๆ

3. ปราศจากโรคติดเชื้อ และ โรคมะเร็ง

4. ไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หัวใจ โรคไต ความดันโลหิตสูง โรคตับ และ ไม่ติดสุรา

5. อวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายต้องทำงานได้ดี

6. ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบ,ไวรัสเอดส์

หรือ แม้แต่คุณต้องการอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา

1. ต้องไม่เป็นโรคดังต่อไปนี้ โรคมะเร็ง โรคไต โรคเบาหวาน โรควัณโรค โรคตับอักเสบบี และโรคเอดส์

2. ต้องมีอายุระหว่าง 20-80 ปี

3. ต้องไม่เป็นผู้พิการทางร่างกาย จนไม่เหมาะแก่การศึกษา เช่น แขน ขาขาด หรือพิการแต่กำเนิด ทำให้ร่างกายผิดรูป

และยังขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับศพดังต่อไปนี้

1. ศพที่เสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ เช่น ศพที่เกี่ยวกับคดี หรือ อุบัติเหตุ

2. ศพที่เสียชีวิตด้วยโรคตาม (ข้อ 1 ด้านบนค่ะ)

3. ศพที่มีสภาพไม่เหมาะสมแก่การนำมาศึกษา เช่น ศพเน่าเปื่อย อวัยวะขาดหาย อ้วนไป หรือ ผอมไป (ยกเว้นบริจาคดวงตา)

4. เสียชีวิตนอกเขตจังหวัดที่ระบุไว้ตามระเบียบปฏิบัติ (ไม่ได้พิมพ์มาให้อ่านค่ะ)

5. สถานที่เก็บศพของภาควิชาเต็ม

เป็นต้น

เห็นมั๊ยคะ ว่าเมื่อคุณมีความคิดที่ดีแล้วยังไม่พอ

คุณต้องตั้งใจและต้องใช้ชีวิตทุกๆวันของคุณ อย่างมีสติ ไม่ประมาท และ อย่างมีคุณค่า

คุณต้องระวังเรื่องอาหาร การกิน

คุณต้องหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้อวัยวะของคุณแข็งแรง

คุณต้องไม่มักง่ายในเรื่องเพศ

และอื่นๆ อีกมากมาย

ไม่เช่นนั้น สิ่งที่คุณตั้งใจไว้ทั้งหมด จะสูญเปล่าทันที

เจตนาบริสุทธิ์แล้ว แต่ ไม่มีวัตถุทาน บุญเกิดแต่ไม่ครบองค์ประกอบ ก็ไม่ดีใช่มั๊ยคะ

จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#12 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 05:12 PM

ขอยกเอา พรหมวิหาร 4 ที่พูดถึงมาให้อ่านกัน เป็นความรู้ ติดแข้งติดขานะคะ happy.gif

พรหมวิหาร 4

วิหาร แปลว่า ที่อยู่ พรหม แปลว่า ประเสริฐ คำว่า พรหมวิหาร หมายความว่า เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด ซึ่งมีคุณธรรม 4 ประการ คือ

1. เมตตา
2. กรุณา
3. มุทิตา
4. อุเบกขา

คุณธรรม 4 ประการนี้ นอกจากความเป็นมนุษย์ผู้เประเสริฐแล้ว ยังเป็นอานิสงส์ความสุขแก่ผู้ปฏิบัติถึง 11 ประการ ดังนี้

1. สุขัง สุปฏิ นอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติ
2. ตื่นขึ้นมีความสุข ไม่มีความขุ่นมัวในใจ
3. นอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคล
4. เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา พรหม และภูติผีทั้งหลาย
5. เทวดา พรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
6. จะไม่มีอันตรายจากเพลิง สรรพาวุธ และยาพิษ
7. จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิเป็นปกติ สมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม มีแต่จะเจริญยิ่งขึ้น
8. มีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ
9. เมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
10. ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ผลแห่งการเจริญพรหมวิหาร 4 นี้ จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก
11. มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติ วิปัสสนา และทรงศีลบริสุทธิ์

เมตตา แปลว่า ความรัก หมายถึง รักที่มุ่งเพื่อปรารถนาดี โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จึงจะตรงกับคำว่า เมตตาในที่นี้ ถ้าหวังผลตอบแทนจะเป็นเมตตาที่เจือด้วยกิเลส ไม่ตรงต่อเมตตาในพรหมวิหารนี้

ลักษณะของเมตตา ควรสร้างความรู้สึกคุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ว่า เราจะเมตตาสงเคราะห์ เพื่อนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะไม่สร้างความลำบากให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ความทุกข์ที่เขามี เราก็มีเสมอเขา ความสุขที่เขามี เราก็สบายใจไปกับเขา รักผู้อื่นเสมอด้วยรักตนเอง

กรุณา แปลว่า ความสงสาร หมายถึง ความปรานี ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความสงสารปรานีีนี้ก็ไม่หวังผลตอบแทนเช่นเดียวกัน สงเคราะห์สรรพสัตว์ที่มีความทุกข์ให้หมดทุกข์ตามกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์

ลักษณะของกรุณา การสงเคราะห์ทั้งทางด้านวัตถุ โดยธรรม ว่าผู้ที่จะสงเคราะห์๋นั้นขัดข้องทางใด หรือถ้าหาให้ไม่ได้ ก็ชี้ช่องบอกทาง

มุทิตา แปลว่า มีจิตอ่อนโยน หมายถึง จิตที่ไมีความอิจฉาริษยาเจือปน มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสตลอดเวลา คิดอยู่เสมอว่า ถ้าคนทั้งโลกมีความโชคดีด้วยทรัพย์ มีปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนกันทุกคนแล้ว โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข สงบ ปราศจากอันตรายทัั้งปวง คิดยินดี โดยอารมณ์พลอยยินดีนี้ไม่เนื่องเพื่อผลตอบแทน การแสดงออกถึงความยินดีในพรหมวิหาร คือไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น

อุเบกขา แปลว่า ความวางเฉย นั่นคือ มีการวางเฉยต่ออารมณ์ที่มากระทบความวางเฉยในพรหมวิหารนี้ หมายถึง เฉยโดยธรรม คือทรงความยุติธรรมไม่ลำเอียงต่อผู้ใดผู้หนึ่ง


คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบููรณ์ ศีลย่อมบริสุทธิ์
คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ ย่อมมีฌานสมาบัติ
คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ เพราะอาศัยใจเยือกเย็น ปัญญาก็เกิด

จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#13 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 05:26 PM

ผมว่า คุณเด็กอนุบาลไม่ได้มีเจตนาจะตอบว่า ไม่ควรบริจาคอวัยวะเป็นทานตอนตายไปแล้วหรอกนะครับ เพียงแต่เธอต้องการชี้เห็นว่า คุณค่าของการบริจาคอวัยวะเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ระดับอุปบารมี นั้นย่อมต่างจากบุญบารมีทั่วๆไปน่ะครับ แต่แม้จะเป็นเพียงบุญทั่วๆไป ก็พึงกระทำ เป็นสิ่งที่ดีครับ

นี่เป็นตัวอย่างของพระบรมโพธิสัตว์ในอดีต นามว่า พระเจ้าสีวิราช ที่การบริจาคอวัยวะเป็นทานของท่านยิ่งใหญ่มหาศาลทีเดียวครับ เรื่องมีอยู่ว่า พระเจ้าสีวราชตั้งโรงทาน 6 แห่ง บริจาคทรัพย์มหาศาลทุกวัน วันหนึ่งพระเจ้าสีวิราชรำพึงกับตนเองว่า เราให้ทาน(ด้วยทรัพย์) เป็นอันมากก็จริง แต่ทรัพย์นั้นไม่ได้ทำให้เราได้อิ่มใจเลย จะมีวิธีใดที่จะสามารถทำทานได้ยิ่งใหญ่กว่านี้หรือไม่ ถ้ามีใครมาขออวัยวะ เลือดเนื้อ ชีวิต เรายินดีสละให้เขาเป็นทาน

ความคิดนั้น ร้อนไปถึงพระอินทร์ จึงแปลงกายมาเป็น คนชราตาบอดทั้งสองข้าง แล้วมาขอดวงตาหนึ่งข้างกับพระเจ้าสีวิราช พระองค์ดีพระทัยมาก ตัดสินใจสละดวงตาให้คนชราทันที หากพระเจ้าสีวิราช บอกคนชราว่า ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ ให้รอไปก่อนนะ ไว้เราเสียชีวิตก่อน วันที่เราเสียชีวิต เราจะบริจาึคให้ท่านเป็นคนแรก ให้คุ้มค่าต่อการที่ท่านรอคอยเลยทีเดียว

ถามว่า หากทำเช่นนี้เป็นบุญไหม ก็เป็นบุญครับ ผมว่าก็ควรทำหากเรายังมีกำลังใจธรรมดาอยู่ แต่พระบรมโพธิสัตว์ท่านมีใจยิ่งใหญ่กว่านั้น ท่านไม่ปรารถนาให้คนชรา รอคอยเลย ท่านจึังตัดสินใจให้ดวงตาเดี๋ยวนั้น ทันที แล้วให้ทั้ง 2 ข้างเลยทีเดียว

นี่จึงเป็นคุณค่าควรแก่การน่าเสริญเสริญของอุปบารมีที่ยิ่งใหญ่น่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#14 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 06:16 PM

อ่า.. เข้ามา งง.. ปน.. เง็ง..

ไม่ว่างพอที่จะมานั่งอธิบายอะไรเพื่อตัวเองหรอกนะ
เพราะเปล่าประโยชน์.. เดี๋ยวจะกลายเป็นอวดอุตลุด โปรโมทตัวเองไปอีก..
แต่เอาเถอะ.. ใครคิดยังไงก็ตามสบาย..
เพราะหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา มันไม่ได้อยู่ที่ใครคิดว่าอีกคนเป็นยังไง..
แต่มันอยู่ที่คนที่คิด พูด ทำ กรรมนั้นๆว่า.. ก่อนทำ กำลังทำ หลังทำ.. ใจเป็นยังไง..
จุดสำคัญมันอยู่ที่.. ใจ.. = เห็น+จำ+คิด+รู้ ของคนๆนั้นเอง
ถามตัวเองดูก็น่าจะรู้ว่า.. หมอง.. หรือ.. ใส..
และคงไม่ต้องบอกหรอกว่าเรา.. หมอง.. หรือ.. ใส.. ชัด.. หรือ.. ไม่ชัด..
เพราะเดี๋ยวก็จะกลายเป็นอวดอุตลุด โปรโมทตัวเองไปอีก..

ยังไงก็กราบอนุโมทนาบุญกับธรรมมะใสๆของทุกท่านด้วยจ้า..
สาธุ สาธุ สาธุ.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#15 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 13 September 2008 - 09:26 AM

เอ๋ เพิ่งเข้ามาอ่านแล้วก็รู้สึกว่า

โดนเข้าใจผิดอีกแล้วหรือ เปล่าเนี่ย

koonpatt ไม่ได้ว่าใครนะคะ

แค่เชียร์ ให้ท่านทั้งหลายบริจาคอวัยวะนะเนี่ย

ก็คืออยากจะบอกว่า การบริจาค ก็เป็นการกระทำที่ต้องความเพียรด้วยอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ไม่ใช่แบบว่า ลงชื่อไปเฉยๆ ว่าบริจาค แต่ ไปกินเหล้าเมายา

หรือ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำเท่านั้นเอง

โธ่ ทำไมคิดลบกันจังเลยคะ

คนรุ่นใหม่ต้องคิดบวกกันสิคะ

ถ้าคุณเด็กอนุบาลหน้าใสใจดี เข้าใจ koonpatt ผิด

จะโทษ คุณหัดฝันนะคะเนี่ย เพราะจั่วหัวมาอย่างนั้น

ใครมาอ่าน ก็ต้องคิดว่า koonpatt ว่าอะไร คุณเด็กอนุบาลหน้าใสใจดี นะเนี่ย glare.gif glare.gif glare.gif

( อะ.......ล้ออออ......เล่งงงงงงง )

แล้วคุณเด็กอนุบาลหน้าใสใจดีคะ

QUOTE
ไม่ว่างพอที่จะมานั่งอธิบายอะไรเพื่อตัวเองหรอกนะ
เพราะเปล่าประโยชน์.. เดี๋ยวจะกลายเป็นอวดอุตลุด โปรโมทตัวเองไปอีก..
แต่เอาเถอะ.. ใครคิดยังไงก็ตามสบาย..
เพราะหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา มันไม่ได้อยู่ที่ใครคิดว่าอีกคนเป็นยังไง..
แต่มันอยู่ที่คนที่คิด พูด ทำ กรรมนั้นๆว่า.. ก่อนทำ กำลังทำ หลังทำ.. ใจเป็นยังไง..
จุดสำคัญมันอยู่ที่.. ใจ.. = เห็น+จำ+คิด+รู้ ของคนๆนั้นเอง
ถามตัวเองดูก็น่าจะรู้ว่า.. หมอง.. หรือ.. ใส..
และคงไม่ต้องบอกหรอกว่าเรา.. หมอง.. หรือ.. ใส.. ชัด.. หรือ.. ไม่ชัด..
เพราะเดี๋ยวก็จะกลายเป็นอวดอุตลุด โปรโมทตัวเองไปอีก..


แปลว่าอย่างไรหรือคะ rolleyes.gif

อ่านข้อความของ koonpatt หรือยัง หรือ อ่านแค่จั่วหัวของคุณหัดฝัน

แล้วข้อความข้างบนเนี่ย อ่านแล้ว เหมือนประชด แกม ว่ากันยังไงก็ไม่รู้เนาะ happy.gif happy.gif happy.gif

แต่ก็อย่างที่ว่าล่ะค่ะ koonpatt ไม่ได้คิดอะไรด้วย ไม่หมองด้วย

ได้อธิบายแล้ว และถ้าคนที่เข้ามาอ่านเข้าใจถึง ความสำคัญของการบริจาคอวัยวะมากขึ้น

ก็ใสปิ๊ง แล้วค่ะ แถมฟูด้วย

ก็จะอธิบายเพิ่มแหล่ะ เพราะมีเวลาอยู่บ้าง เจ้านายไปกินข้าวพอดี

คือ อยู่ที่บ้านนี่ koonpatt ก็รณรงค์เรื่องการบริจาคอวัยวะอยู่ค่ะ

เวลาใครถามว่า บริจาคอวัยวะ ดีอย่างไร ได้บุญตรงไหน

ก็จะตอบไปประมาณนี้น่ะค่ะ แล้วก็จะถ่ายเอกสาร แบบฟอร์มการบริจาคอวัยวะ

ใส่กล่องวางไว้หน้าบ้าน ลูกค้าเข้ามา ก็หยิบได้เลย

พอ น้องเค้าถาม ก็เลยตอบไปตามปกติ

แล้วคุณเด็กอนุบาลหน้าใสใจดี อย่าไปคิดว่าตัวเองสิคะ

ถ้าเรารู้เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องที่ดีๆ อย่างที่คุณอธิบายมาข้างบน ก็ดีอยู่แล้ว

ทำไมต้องไปคิดว่าเป็นการ อะไรนะ อวดอุตลุด หรือ โปรโมทตัวเอง

เข้ามาตอบคำถามเรื่องแบบนี้ เราโปรโมทบุญ โปรโมทพระธรรม ต่างหาก

ถ้าสามารถทำได้ เรา " ต้อง " ทำค่ะ

การเข้ามาตอบในบอร์ด ไม่ใช่การคุยโทรศัพท์ ที่รู้กันแค่ 2 คน

ทำไม koonpatt ต้องตอบยาว เพราะหวังผลว่า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เรารู้ (ซึ่งก็รู้อยู่น้อยๆ นี่แหล่ะค่ะ biggrin.gif )

หากคนเข้ามาอ่านมาก จำนวนคนที่เข้าใจก็จะมากตามไปด้วย

เท่านั้นเองค่ะ

ขอโทษนะคะ หากทำให้เข้าใจผิด

แต่ยังยืนยันค่ะ ไม่ได้คิดอะไรที่ไม่ดี และไม่ได้ว่าใครเลย

คุณหัดฝัน คุณเด็กอนุบาลหน้าใสใจดี เข้าใจ koonpatt ด้วยนะคะ red_smile.gif red_smile.gif red_smile.gif




จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#16 253555

253555
  • Members
  • 66 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 01:59 PM



นู๋มะกินเหล้าสูบบุหรี่หรอกค่ะ เปงคนวัดเนี้ยแหละ

ตอนแรกก้อมะได้คิดรัยมากมายเวลาบริจาค ก็แค่อยากช่วยคนเท่านั้นเอง

บริจาคเลือดก็เพราะทำแล้วปลื้ม เกิดมาทั้งทีได้ทำประโยชน์กันคนอื่น

บริจาคดวงตาก็ตั้งใจเป็นหลายวัน เพราะแม่ก็อเปงเบาหวานขึ้นตา ส่วยตัวเองก็มีปัญหานิดหน่อย

มันก็เหมือนเป็นแรงบันดาลใจ

บริจาคอวัยวะก็คิดแค่เราตายแล้ว เอาอะไรก็เอาไปไม่ได้ เอาไปฝังเล่นเฉยๆ

เอาอวัยวะมาให้คนที่เขาต้องการแม้จะช่วยชีวิตได้ไม่นาน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ช่วยเลย

ตอนนี้ก็อยากบริจาคไขกระดูกมากๆ แต่ก็ไปยังไม่ได้

ไม่งั้นเราก็แย่ซะเอง เหมือนกัน

เคยถามพี่คนนึงว่าทำไมไม่ค่อยมีคนบริจาคกันเท่าไหร่

พี่เค้าก็มะรู้มั้ง อันนี้มะแน่จัย

อีกอย่างก้อคิดด้วยว่าถ้าไม่บริจาค เดี๋ยวเกิดหมอขโมยตัดไปเวลาเราตาย

ไปให้คนอื่นมันก็ไม่ดี เหมือนกันมันไม่ปลื้ม555+

อย่างถ้าลองเป็นใคร ถ้ามีคนมาบอกว่าขอซื้อเลือดเพื่อให้ลูกเขา

มันก็รู้สึกไม่ดี เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เวลาให้เขาฟรีๆ ปลื้มมากๆๆ


#17 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 08:33 PM

เข้ามา งง อีกที..
คืองี้นะ..

คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยจ๊ะ
เพราะเรารู้สึกธรรมดาอยู่ตลอดเวลา และไม่ได้โกรธอะไรใครเลย.. จริงๆนะ..
เพราะไม่ว่าจะดี หรือ ร้าย.. มันก็คือ เรื่องทางโลกอ่ะจ๊ะ..
ซึ่งมีฉากหลังอีกทีนึง.. เราไม่คิดอะไรกับเพื่อนมนุษย์หรอกจ๊ะ..
เพราะบางที.. เรื่องที่ไม่มีอะไรเลย.. เขาผู้นั้น(ที่อยู่ฉากหลัง)ก็ทำให้มนุษย์ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกันได้..

เราไม่เคยใส่ใจเลย.. ความจริงเราก็ไม่คิดจะกลับมาดูกระทู้ที่เราตอบไปแล้วหรอก.. แต่วันนี้มันว่างอ่ะ..
เราสื่อตรงไปตรงมาแล้ว.. "ใครคิดยังไงก็ตามสบาย.." อันนี้มันชัดอยู่แล้วจ๊ะ..
หมายถึง.. จะดี หรือ ร้าย.. เราล้วนเฉย.. ไม่สนใจอ่ะจ๊ะ.. ไม่ยินดี.. ไม่ยินร้ายจ๊ะ..
และก็ไม่ได้ว่าใครเลยจ๊ะ.. แม้กระทั่งตัวเอง..
เพราะขณะตอบทุกครั้ง เราเห็นองค์พระกายมหาบุรุษจ๊ะ.. OK ไหม.. ?
สบายใจได้แล้วเด้อ.. happy.gif

ไม่กลับมาอ่านแล้วเด้อ.. ขอให้สบายใจกันถ้วนหน้า.. นั่งสมาธิกันดีกว่า.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#18 253555

253555
  • Members
  • 66 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 September 2008 - 11:46 AM

อ้อ โทษที