ความเห็นเรานะ..
การทำทานที่มีผลมาก.. ที่เรียกว่าทานอุปบารมี.. (ทานที่ทำได้ยาก) ต้องมีองค์ประกอบคือ..
1. ผู้ให้เอง.. ก็ยังจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้นอยู่.. แต่เลือกที่จะให้สิ่งนั้นแก่ผู้อื่น
ด้วยหวังจะสงเคราะห์ผู้อื่นให้เขาได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ให้ไป
2. องค์ประกอบของการทำทานที่ได้ผลมาก.. ครบองค์ประกอบ.. คือ..
. . 2.1 เจตนาบริสุทธิ์
. . 2.2 วัตถุทานบริสุทธิ์
. . 2.3 ผู้รับบริสุทธิ์.. เนื้อนาบุญอันเลิศ.. (ตรงนี้เป็นตัวแปรที่ผู้ให้อาจเลือกไม่ได้)
. . . . . แต่ตามที่มอง ข้อนี้ไม่ค่อยมีผลเท่าไรนัก เป็นเพียงตัวคูณอีกตัวหนึ่งเท่านั้น
. . . . . เช่น พระเวสสันดร ที่บริจาคบุตร ธิดา ให้เป็นทานแก่ชูชก.. ตัวชูชกเอง ก็ไม่ได้บริสุทิ์อะไรมากมาย
. . . . . แต่ก็ยังจัดเป็น ทานอุปบารมี.. และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้บารมีของพระองค์เต็มเปี่ยมได้..
3. วาระของการทำทานที่ได้ผลมาก.. ครบองค์ประกอบ.. คือ..
. . 3.1 ก่อนทำ.. ใจต้องแช่มชื่นในบุญที่กำลังจะทำ..
. . 3.2 กำลังทำ.. ใจต้องแช่มชื่นในบุญที่กำลังทำอยู่..
. . 3.3 หลังจากทำแล้ว.. หมั่นตรึกระลึกถึงด้วยใจที่ปลื้มปีติในทานที่ทำไปแล้ว..
. . . . . ให้ไปด้วยใจที่ไม่ได้รู้สึกเสียดาย.. และปลื้มในทานนั้นอย่างมาก..
ซึ่งทานปกติที่ทำๆกันนั้น.. การรักษาข้อ 3.1, 3.2, 3.3 ถือว่ายากแล้ว
แต่ทานอุปบารมี.. ยากกว่า.. ถึง ยากยิ่งนัก.. จะขอยกตัวอย่างอันนึง..
ลองนึกดูว่า.. หากต้องควักลูกนัยย์ตาให้เป็นทาน เพื่อให้คนอีกคนหนึ่งมองเห็น โดยที่ตนเอง
ต้องเหลือตาเพียงข้างเดียวนั้น.. บุคคลที่จะแข็งใจทำเช่นนั้นได้โดยสามารถข่มความเจ็บปวด
และความรู้สึกมากมายที่ประเด ประดังมาหลังจากนั้นได้.. สามารถรักษาข้อ 3.1, 3.2, 3.3 ได้อย่างดี..
บุคคลผู้นั้นต้องมีใจที่เข้มแข็งเพียงไร..
คนธรรมดาส่วนมากมักทำได้เพียง.. 3.1, 3.2 แต่หากบุคคลที่รับทานอุปบารมีนั้นเป็นคุณพ่อ คุณแม่
หรือบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง.. ก็พอจะรักษาข้อ 3.3 ได้ดีขึ้น..
ทั้งนี้.. ความเห็นส่วนตัวคือ..
การเซ็นต์ชื่อบริจาคอวัยวะให้เป็นทาน.. เมื่อตายไปแล้วใครอยากได้อะไร
ให้มาเอาไปได้ตามสบาย.. ไม่ใช่ทานอุปบารมีเลย.. เพราะมันไม่ใช่ของผู้ให้แล้ว
ผู้ให้ได้เดินทางออกจากกายมนุษย์หยาบไปแล้ว..
แต่ถามว่าเป็นการทำทานไหม.. ใช่.. เป็นการทำทาน.. แต่ไม่ใช่ทานอุปบารมี..ประการสำคัญ.. สังเกตุว่า.. แม้ควักลูกนัยย์ตาบริจาคไปขณะยังมีชีวิตอยู่..
แต่รักษาวาระจิตทั้ง 3 วาระไม่ได้.. ก็ไม่จัดอยู่ในทานอุปบารมี..
(แต่ที่ดูใน Series พระเวสสันดรน่ะ.. ที่พระองค์แสดงความโกรธชูชก หรือเสียดายที่บริจาคบุตร ธิดาไปน่ะ
ความจริงไม่น่าเป็นเช่นนั้น.. แต่ตามเนื้อเรื่องที่บันทึกกันมาเช่นนั้น.. เพราะต้องการลดช่องว่าง
ของผู้ที่ไม่เข้าใจในวิถีทางของ ปัญญาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า..
เพราะมันเป็นเรื่องล่อแหลมต่อการรับรู้ของมนุษย์ผู้มีกิเลสหนาอยู่นั่นเอง..
ซึ่งเรื่องนี้.. คุณครูไม่ใหญ่ท่านก็เคยเอ่ยขึ้นมานิดนึงเหมือนกันว่า.. ความจริงผู้ที่สั่งสมบารมีมาขนาดนั้น
ขนาดที่อีกชาติเดียวก็จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว.. จิตใจต้องเข้มแข็งมากกว่าใน Series ที่เอามาให้ดูนั้น)
ทั้งนี้ทั้งนั้น.. เรามองว่า.. สรรพทานัง.. ธรรมมะทานัง.. ชินาติ..
การให้ธรรมเป็นทาน.. ย่อมชนะการให้ทั้งปวง..
เพราะอะไร.. ?
เพราะการให้ธรรมเป็นทาน.. หากผู้ได้เสพธรรมนั้นๆแล้ว.. ได้นำธรรมมะนั้นไปใช้..
เช่น.. หากอธิบายเรื่องของการทำทานให้ผู้อื่นเข้าใจ.. แล้วผู้นั้นไปทำเอง.. หรือบอกต่อ กระจายสู่คนหมู่มาก..
ผู้ให้ธรรมเป็นทานนั้น.. ย่อมได้รับผลบุญที่ผู้อื่นได้กระทำลงไป.. จากผลของการฟังธรรมที่ได้บรรยายไปนั้นด้วย
จากคนรู้ธรรมมะเพียง 1 คน.. สมมุติว่ากระจายสิ่งดีๆสู่ 2 คน.. ไปเรื่อยๆ..
จาก 2=>4=>8=>16=>32=>64=>128=>256=>512=>1,024=>2,048=> . . .
ผู้ให้ธรรมมะนั้น.. ย่อมได้รับผลจากการปฏิบัติ หรือบอกต่อ.. ในทุก Step ทุกส่วน..
ซึ่งหากไม่ใช่ 1=>2=>4=> . . แต่เป็น 1=>8=>16=>32=> . . หรือ 1=>100,000=>200,000=> . .
สำหรับการบรรยายธรรมมะให้สาธุชนจำนวนมากนะ.. ลองคิดดูว่าบุญจะขนาดไหน..
ส่วนความเสี่ยงจากการให้ธรรมเป็นทานนั้น.. ก็มีอยู่บ้างคือ..
หากบอกกล่าวธรรมมะผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง.. ก็จะติดวิบากกรรมในส่วนนั้นๆไปด้วย..
ถ้าเปรียบเทียบกับทางโลก.. ก็ต้องบอกว่า.. High Risk.. High Return.. จ๊ะ..
อย่างเราเนี่ย.. ที่มาอธิบาย มาตอบๆอะไรเนี่ย.. ก็เสี่ยงเอาการอยู่..
เพราะ Patturn การกระจายจะเป็นแบบใดก็ตาม.. (ตามตัวอย่างข้างบนหรือแปลกแตกต่างจากนี้ก็ได้)
แต่จะเปลี่ยนตัวคูณจาก บวก เป็น ลบ.. น่ากลัวไหมล่ะ.. ?
ดังนั้น.. ถ้าไม่มั่นใจในระดับหนึ่ง.. จะไม่ตอบเลย.. เพราะเสี่ยง..
พอตัดสินใจตอบแล้ว.. ก็ต้องเน้นถ้อยคำให้สื่อสารออกไปให้ถูกต้องด้วย.. ไม่งั้นก็เสี่ยงอีก..
อันนี้กระซิบเบาๆนะ..
(แต่ถ้าชัวร์ ชัด ใช่.. แล้วกล้าตอบออกไป.. แม้จะสวนกระแสคนหมู่มาก..
แม้คำตอบนั้นอาจทำให้ใครหลายคนเกลียด.. ก็ช่างมัน.. ยอมแลก.. (รักในสิ่งหนึ่ง.. มากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง..)
เพราะเล็งเห็นผลดีที่จะเกิดกับคนหมู่มาก และอายุพระศาสนานะ.. อานิสงส์มากจริงๆ..
ผลของมันจะทันตาเห็นเลยล่ะ.. คือ.. เห็นองค์พระทันที.. แบบไม่ต้องมีใครพล็อตเรื่องให้เลย.. เชื่อเถอะ..
คำถามตรงนี้คือ.. ถ้าคนทั้งโลกเกลียดคุณ.. แต่องค์พระชัดแจ่มกระจ่าง.. คุณจะเลือกวิถีทางนั้นไหม.. ?)
(กระซิบเบาที่สุดแล้วนะเนี่ย..)
ส่วนการเป็นเพียงทีม Support ในการให้ธรรมมะเป็นทาน..
เช่น การอุทิศตนเป็นทีมงานของวัด.. บุญก็จะลดหลั่นกันลงมาตามสัดส่วน.. และอีกตัวแปรที่ต้องคำนึงถึงคือ..
ข้อ 2.1, 2.2, 2.3, 3.1, 3.2, 3.3
อีกประการคือ.. การอุทิศตนเป็นทีมงานของวัด.. บุญที่ได้
นอกจากเรื่องการใช้แรงกาย ความคิด ปัญญา ฯลฯ เป็นทานแล้ว..
ยังมีในเรื่องของ ศีล.. และ ภาวนา.. ด้วย.. ถูกไหม..
คงไม่มีใครอุทิศตนเป็นอุบาสิกาเพื่อเข้าไปลุยงานหยาบ โดยไม่ถือศีล ๘ และไม่นั่งสมาธิ.. จริงไหม.. ?
ดังนั้น.. การเอาเรื่องทานทั้งหลายที่กล่าวถึง.. มาเปรียบเทียบกัน..
มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะตอบ.. เพราะต้องคำนึงถึงปัจจัย องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องหลายส่วน..
แต่คิดไปก็เท่านั้น.. พยายามทำบุญให้ได้ทุกบุญ.. ไม่ให้ตก ไม่ให้หล่นแม้แต่เพียงบุญเดียวจะดีกว่าจ๊ะ..
"คิด.. ไม่สู้ ทำ"
(ข้างล่างนี้.. กันเหนียว..)
ทั้งนี้ทั้งนั้น.. หากสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวตอบไป.. มีสิ่งใดผิดพลาดประการใด..
ต้องกราบขออภัย ในความรู้อันน้อยนิดของข้าพเจ้า.. ขอทุกท่านอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด..
และกราบขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ และท่านผู้รู้จริงด้วยเทอญ.. สาธุ สาธุ สาธุ..