ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

แต่งงานกับคนละศาสนาแล้วมีปัญหาจะทำอย่างไรดีค่ะ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 21 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ความสุข....อยู่ที่ใจนะครับ

ความสุข....อยู่ที่ใจนะครับ
  • Members
  • 42 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:นวมินทร์ กทม.

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 04:08 PM

เป็นเรื่องของคนรู้จักผมกะลังเจอปัญหาชีวิตอยู่อ่ะครับเพื่อเพื่อนๆ หรือใครเจอแบบนี้พอจะมีวิธีประคับประคองให้สามารถสร้างบารมีอย่างมีความสุขต่อได้อย่างไรดีครับ wacko.gif

ดิฉันพึ่งแต่งงานกับผู้ที่นับถือคนละศาสนา ซึ่งก่อนหน้าที่จะแต่งงานนั้น ดิฉันอาศัยอยู่กับครอบครัวที่เรียกว่าเป็นครอบครัวคนวัดจริงๆ โดยเข้าวัดปฏิบัติธรรมทุกวันอาทิตย์ ถือศีล 5 เป็นปกติ ศีล 8 วันพระ และวันเสาร์ที่ 3 ของเดือนก็ไปทำบุญปล่อยปลากับชมรมพุทธเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้าทางวัดมีกิจกรรมงานบุญก็ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง ซึ่งครอบครัวของดิฉันจะต้องเข้าไปช่วยเตรียมงานจัดงานกันเสมอเรื่อยมา เมื่อครั้งยังเป็นอามาสมัครก็ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ เรียกได้ว่าครอบครัวของดิฉันเข้าใจเรื่องบุญและบาปกันอย่างดีแท้ทีเดียว

แต่เมื่อแต่งงานมาแล้ว เหตุการณ์ในชีวิตได้เปลี่ยนไป คือดิฉันต้องย้ายเข้ามาอยู่มาครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์และสามีอนุญาตให้มาวัดได้เฉพาะอาทิตย์ต้นเดือนเท่านั้น แต่ดิฉันก็ยอม คิดว่าเป็นหนทางแสวงจุดร่วมสมานจุดต่าง คิดว่าสามีจะเปิดใจยอมรับ และยอมตามดิฉันสักวันหนึ่ง แต่ในทางกลับกันสามีมีนิสัยขี้โมโห เนื่องจากพ่อแม่เลี้ยงดูและตามใจมากมาแต่เด็ก ประกอบกับสามีเป็นคนทิฐิสูงไม่เปิดใจยอมรับศาสนาของดิฉัน โดยเฉพาะเค๊าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องวัดในทางที่ผิดๆมา ทำให้ไม่ชอบวัดเท่าไหร่ ซึ่งเวลาพูดเรื่องวัด ตัวเค๊าไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมใส่เสื้อขาวเวลามาวัด เวลามาส่งก็ไม่ยอมขึ้นไปนั่งด้วย รออยู่ในรถเท่านั้น

ปัญหาสำคัญที่ตามมาคือ ในอนาคตถ้ามีลูก ตัวสามียืนกรานจะให้ลูกนับถือศาสนาคริสต์ โดยจะให้รับศีลแต่เด็ก ดิฉันบอกจะให้ลูกเลือกศาสนาเอง ตัวสามีไม่ยอมและห้ามดิฉันสอนลูกเกี่ยวกับเรื่องวัด และห้ามพาลูกมาวัด โดยสามีแคร์คนที่บ้าน อ้างว่าบ้านสามีนับถือแบบนี้ทั้งบ้าน และอยากให้เห็นแก่แม่ของสามีที่อยากให้หลานนับถือศาสนาคริสต์ แต่สามีกลับไม่นึกถึงจิตใจของดิฉัน

เรื่องศาสนาทำให้ดิฉันกลุ้มใจมาก เหมือนไม่มีที่พึ่ง เพราะย้ายเข้ามาในครอบครัวที่นับถือศาสนาไม่เหมือนกันทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย บางครั้งเมื่อทะเลาะกันเรื่องนี้ดิฉันคิดถึงขั้นอยากเลิกเพราะไม่อยากทนอยู่ แบบสุขมั่งทุกข์มั่งไปตลอดชีวิต เพราะตั้งแต่แต่งงานมาดิฉันก็เคร่งเรื่องการมาวัดน้อยลง ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ไปโบสถ์กับทางบ้านสามี

ยิ่งโดยเฉพาะถ้าในอนาคตมีลูกแล้วตัวดิฉันไม่มีสิทธิหรือถึงขนาดจะจำกัดสิทธิดิฉันขนาดนั๊น ดิฉันรู้สึกไม่สบายใจ กลัวอึดอัดจนทนไม่ไหว ดิฉันไม่คิดว่าเมื่อแต่งงานมาจะเกิดปัญหาอย่างงี้ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีวันยุติ แต่ตัวสามีก็อ้างว่าตั้งแต่แต่งงานกับดิฉันก็รีบกลับบ้าน เลิกไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน โดยเฉพาะเลิกกินเหล้า สูบบุหรี่ เพราะดิฉันไม่ชอบ แต่ตัวสามีกลับไม่ยอมเข้าใจดิฉันในเรื่องศาสนาสักทีซึ่งเป็นเรื่องที่บั่นทอนจิตใจกัน ดิฉันควรทำอย่างไรดีค่ะ ควรเลิกกับสามีมั๊ยค่ะ เพราะถ้ายื้อ ดื้อดึงกันไป เกรงว่าจะยิ่งสะสมปัญหาจากที่รักจะกลายเป็นเกลียดกันหรือเปล่าค่ะ เพราะต่างคนต่างไม่ยอม

#2 hung

hung
  • Members
  • 51 โพสต์
  • Location:19/3 ซ.สาธุประดิษฐ์ 57 บางโพงพาง ยานนาวา กทม. 10120
  • Interests:พระพุทธศาสนา ฟูตบอล

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 04:36 PM

มาวันอาทิตย์ต้นเดือนดีกว่าไม่ได้มานะครับ แล้วปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านแล้วอธิษฐานให้สามีเข้าใจวัด ที่สำคัญใจเราต้องใสใส เข้าถึงธรรมกายแล้วคงจะพบวิธีนะครับ เป็นกำลังใจให้

#3 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 05:22 PM

เจ้าของกระทู้ ลองหาช่องทางให้ เจ้าของเรื่องได้ สนทนากับ คุณ อัญชลี
แม่แก้ว ของน้อง อีลาน จาร์ชัวร์ ที่มีคุณพ่อ ชาวอเมริกัน-ยิว ก็ีดีนะครับ
เพราะจากที่เคยฟังเรื่องราวของคุณ อัญชลี ผ่าน DMC Channel เห็นว่า
คุณ อัญชลี เธอ มีประสบการณ์เรื่องนี้ มากพอสมควร
ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#4 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 05:31 PM

อยากแนะนำให้คิด + ก่อนนะคะ ว่า ยังดีที่ได้มา แถมยังมาส่งด้วยนะคะ ถึงจะไม่ลงจากรถก็ตาม

สักวันนึงเถอะ เค้าอาจจะปวดห้องน้ำ อาจอยากจะดื่มน้ำ อาจจะอยากลงมาดู

หรือ ถ้ามีโอกาส ลองชี้ให้เค้าดูชาวต่างชาติ ที่ต้องนับถือ ศาสนาอื่นแน่ๆที่ผ่านมาในสายตาให้เค้าดูน่ะค่ะ

ได้มาอาทิตย์ละครั้งก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะ ถ้าใจคุณอยู่กับวัด ได้มา หรือ ไม่ได้มาไม่ใช่ปัญหาค่ะ

คนต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ ก็ได้มาวัด แค่อาทิตย์ต้นเดือนนะคะ อย่าลืมนะคะ แต่ใจให้อยู่ที่วัดตลอดก็แล้วกัน

ที่สำคัญ อย่าไปแสดงอาการไม่ชอบใจนะคะ ที่เค้าไม่ใส่เสื้อขาว ที่เค้าไม่เห็นด้วย

เพราะคนที่ไม่เข้าใจ จะมองตรงที่ ทำไมจะมาวัดทั้งที ต้องมีเงื่อนไข คือ เค้าจะมองแต่สิ่งที่เป็นลบไงคะ

คุณลองคิดดูนะคะว่า เค้าน่ารักกับคุณขนาดไหน ไม่ชอบใจ แต่ก็พามา แล้วถึงกับนั่งรอเนี่ย

เปรียบเทียบกับคนอื่นดู คุณยังโชคดีนะคะ


QUOTE
ปัญหาสำคัญที่ตามมาคือ ในอนาคตถ้ามีลูก ตัวสามียืนกรานจะให้ลูกนับถือศาสนาคริสต์ โดยจะให้รับศีลแต่เด็ก ดิฉันบอกจะให้ลูกเลือกศาสนาเอง ตัวสามีไม่ยอมและห้ามดิฉันสอนลูกเกี่ยวกับเรื่องวัด และห้ามพาลูกมาวัด โดยสามีแคร์คนที่บ้าน อ้างว่าบ้านสามีนับถือแบบนี้ทั้งบ้าน และอยากให้เห็นแก่แม่ของสามีที่อยากให้หลานนับถือศาสนาคริสต์ แต่สามีกลับไม่นึกถึงจิตใจของดิฉัน


อย่าเพิ่งไปกังวลล่วงหน้าค่ะ เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ลูกของคุณจะคิด และตัดสินใจเอง เมื่อเค้าโต เค้าจะเห็นเองว่า

พ่อเป็นอย่างไร แม่เป็นอย่างไร ถ้าพ่อดี เค้าก็จะไปตามพ่อ ถ้าแม่ดีกว่าเค้าจะไปตามแม่

กระแสบุญ และ ความเป็นแบบอย่างอันดี จะดึงดูดลูกคุณเอง

โรงเรียนเดี๋ยวนี้ มีชมรมพุทธศาสนาอยู่แล้วค่ะ กิจกรรมก็ดี น่าสนใจได้คุณเป็นกำลังหนุนที่บ้านอีกแรง

ลูกของคุณ เค้าจะเลือกได้ แถมยังต้องเก่งและดีแน่ๆ ค่ะ

koonpatt เอง เรียนโรงเรียนศาสนาคริสต์ ตั้งแต่ อนุบาล จนจบมัธยมต้น

ที่บ้านก็ไม่ได้มีใครนิยมเข้าวัดเลย ในที่สุด koonpatt ยังเจอทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเลยค่ะ

การยอมไปโบสถ์ก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะคะ ทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดีอยู่แล้ว ต่างกันที่รายละเอียด

ดีด้วยซ้ำค่ะ เค้าจะได้รู้สึกดี กับคุณ รู้สึกดีกับศาสนาพุทธ ว่าไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนต่อต้านศาสนาอื่น

และอาจทำให้เค้ายอมตามใจคุณขึ้นมาได้ค่ะ


QUOTE
แต่ตัวสามีก็อ้างว่าตั้งแต่แต่งงานกับดิฉันก็รีบกลับบ้าน เลิกไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน โดยเฉพาะเลิกกินเหล้า สูบบุหรี่ เพราะดิฉันไม่ชอบ


อยากจะบอกว่า คุณเจอคนดีเข้าให้แล้วล่ะค่ะ นี่เท่ากับเค้า ถือ ศีล 5 ไปแล้วนะคะเนี่ย เพียงแต่

ยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง

ใจเย็นๆ นิดค่ะ คนมากมาย เป็นฝ่ายต้องยอมทั้งชีวิต สามีก็ยังไม่เลิกอบายมุขแม้แต่อย่างเดียวเลย

แต่ของคุณ แค่คุณไม่ชอบ เมื่อแต่งงานกัน เค้ายังเลิก เพื่อคุณ

เหลือแต่ต้องให้เวลาเค้าบ้างค่ะ ตอนนี้ อาจจะมีพวกช่างยุ กำลังกล่อมเค้าว่า ยอมคุณเสียเหลือเกิน

เค้าอาจจะต้องรักษาพื้นที่เล็กๆ ของเค้าไว้เพื่อรักษาฟอร์มก่อน ไม่งั้นเค้าจะมารอคุณที่วัดทำไมคะ

คุณอาจจะไม่รู้ พอคุณขึ้นมา คิดว่าเค้าอยู่ในรถ เค้าอาจจะแอบขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้นะคะ

คุณเล่าให้ฟัง koonpatt ยังรู้สึกถึงความรักที่เค้ามีต่อคุณเลยค่ะ

แต่ตอนนี้ เรื่องศาสนาอาจเป็นเรื่องของครอบครัว ไม่ใช่ส่วนตัวเค้าคนเดียวไงคะ

เลยยังเป็นปัญหาอยู่ ใจเย็นๆค่ะ แล้วบุญจะช่วยคุณเอง

จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#5 usr23724

usr23724
  • Members
  • 120 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 05:40 PM

ยังโชคดีกว่าผมหน่อยนึงครับที่คุณสามียังพามาวัด แม่ผมสิห้าม!!มาวัด วันอาทิตย์ต้นเดือนยังไม่ได้เลยครับ แต่ก็แอบๆมาบางครั้ง เศร้า

#6 สัมมาอะระหัง

สัมมาอะระหัง
  • Members
  • 235 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:computer,dhamma

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 07:57 PM

ลองคิดในเชิงบวกดูบ้างครับ บางทีเพื่อนของคุณอาจได้มีโอกาสสร้างบารมีเหมือนนางวิสาขาก็ได้ ที่บ้านสามีแต่เดิมไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัย แต่ด้วยการทำหน้าที่กัลยาณมิตรอย่างแข็งขัน (ไม่แข็งกร้าว) แต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและปรารถนาดี ท้ายสุด ถ้าเพื่อนคุณเองมีศรัทธาในพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึงที่ระลึกอันสูงสุดจริง เชื่อว่าจะสามารถค่อยๆเคลื่อนทิฏิของสามีมาอยู่ในฝั่งที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาได้ บุญนี้ก็ต้องอาศัยความอดทนและจริงจังของเพื่อนคุณแล้วล่ะครับ และอย่าลืม ให้อธิษฐานจิตทุกคืนให้สามีเขาเห็น (และได้ยิน ในภายหลังที่เขาเริ่มใจเปิดบ้าง)อย่างสม่ำเสมอ เพราะในแนวปฏิบัติของคริสต์เขามีเรื่องการอธิษฐานอยู่แล้ว เขาจะได้ไม่รู้สึกขัดตา แต่อาจจะรู้สึกอยากรู้ว่า เราอธิษฐานอะไรของเรานะ ทำไมยังเป็นชาวพุทธอยู่ ถ้าวันไหนได้โอกาสบอกเขาแล้วว่าอธิษฐานอะไร ก็ตอบเขาไปว่า "อธิษฐานว่า ขอให้เราต่างได้มีโอกาสเปิดใจศึกษาศาสนาของทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียม อย่างผูมีปัญญา อย่างผู้ที่คิดจะอยู่ร่วมหัวจมท้ายกันไปนานๆ ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์(คริสต์) และ บุญในตัวของเราทั้งสองรวมถึงบารมีแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและมหาปูชนียาจารย์ (พุทธ) ชี้นำการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของชีวิตให้แก่ครอบครัวของเรา ด้วยเถิด"
ศีล..เป็นเบื้องต้น เป็นที่ตั้ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดีทั้งหลาย และเป็นประธานแห่งธรรมทั้งปวง บุคคลใดชำระศีลให้บริสุทธิ์แล้ว จะเป็นเหตุให้เว้นจากความทุจริต จิตจะร่าเริงแจ่มใส และเป็นท่า หยั่งลงมหาสมุทร คือ นิพพาน

#7 Ozeria

Ozeria
  • Members
  • 879 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 08:51 PM

เอาใจช่วยนะคะ

อยู่ในบุญมาก ๆ ค่ะ



สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ

ลูกพระธัมฯ หลานหลวงปู่ หลานคุณยาย

#8 Smallville072

Smallville072
  • Members
  • 42 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:สมุทรปราการ

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 09:25 PM

เอาใจช่วยด้วยครับ ทำบุญเเล้วอธิษฐานจิตครับ

#9 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 September 2008 - 09:44 PM

ค่อยๆปรับทิฐิและศรัทธา คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง

โอกาสอยู่ที่เวลาของคนเรา หากเกิดความทุกข์ ย่อมพร้อมเปิดใจแสวงหาหนทางดับทุกข์ที่ถูกต้อง

ยังไงครองเรือนแล้วก็อย่าลืมฆราวาสธรรม ศึกษาได้จากหนังสือครอบครัวอบอุ่น
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#10 กุ้งรพ.หัวหิน

กุ้งรพ.หัวหิน
  • Members
  • 201 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 September 2008 - 09:12 AM

เค้าให้ไปโบสถ์เราก็ไป แล้วเราก็สัมมาอะระหัง(ในใจ)ไป เค้าน่ารักออกนะคะ ยังอุตส่าห์มาส่งที่วัด ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะคะ
เวลาเค้าอ่านพระคัมภีร์ก็เลือกอ่านคำสอนที่น่ารัก เหมือนเราฟังคุณครูสอนเรื่องดีดี
แต่เราไม่เปลี่ยนศาสนา เราไม่ว่าเค้าซักวันนึงทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆนะคะ
ลูกนั้นถ้าเค้าบังคับให้ไปรับศีลก็ให้ไป ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เค้าไม่ได้ให้ตัดหรือเจาะอะไรให้ลูกเจ็บซักหน่อย แล้วเราก็ค่อยๆสอนลูก ให้ประพฤติดี รักษาศีล ศาสนาเค้าก็สอนให้คนเป็นคนดี เราก็เลือกฟังเลือกทำตรงที่เราชอบ ธรรมะก็ปฏิบัติไป
ทุกอย่างจะดีขึ้นนะคะ ใจเย็นๆ อย่าพึ่งบังคับเค้ามาก
รักเค้า ดีกับเค้า ปรนนิบัติเค้าทุกอย่าง กราบเค้าก่อนนอน ทุกอย่างจะดีขึ้นนะคะ
เอาใจช่วยนะคะ

#11 ความสุข....อยู่ที่ใจนะครับ

ความสุข....อยู่ที่ใจนะครับ
  • Members
  • 42 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:นวมินทร์ กทม.

โพสต์เมื่อ 16 September 2008 - 12:27 PM

ขอบคุณทุกคนเลยนะครับที่ช่วยกันเสนอแนะแนวทางดี ๆ รวมทั้งเป็นกำลังใจให้ด้วย ขอบคุณนะครับ
ผมส่ง Link ไปให้เจ้าของเรื่องได้อ่าน เค้าปลื้มมากและขอบคุณทุกคนทุกคำแนะนำเลยนะครับ


#12 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 16 September 2008 - 04:28 PM

ความจริงยังไม่ต้องรีบไปกังวลกับศาสนาของสามี หรือของลูกหรอกนะครับ ตอนนี้ทางวัดไปตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทางวัดจะไม่เคยกังวลเลยว่า ผู้มาปฏิบัติธรรมจะนับถือศาสนาอะไร

เพียงแค่ให้ลองมานั่งสมาธิปฏิบัติธรรม ผ่อนคลายความเครียดดูก่อน
พอเขาปฏิบัติธรรมแล้ว เขาก็เข้าใจศาสนาพุทธได้เอง ยิ่งถ้าเขาได้ปฏิบัติจนเข้าถึงผู้รู้ภายใน เดี๋ยวเขาก็จะร่วมด้วยช่วยกันกับเราเองนั่นแหละครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#13 บุญเย็น

บุญเย็น
  • Members
  • 812 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:thailand

โพสต์เมื่อ 17 September 2008 - 01:36 PM

ยอมมาส่งถึงวัด แต่ไม่ยอมลงจากรถ
ผมว่า น่าจะเปิดใจแล้วนะครับ แต่ยังมีฟอร์มอยู่เท่านั้นเอง เฮอๆๆ
อาจจะทำเป็นไม่ยอมรับ เพราะกลัวเสียฟอร์มก็ได้นะครับ
ถ้าไม่เอาจริงๆ คงไม่ยอมแม่แต่จะมาส่งแล้วนะครับ

อีกไม่นาน ก็คงยอมใส่ชุดขาว แล้วก็ สาธุ รับบุญเองนะครับ ผมว่านะ
สาธุๆๆ ขอให้คลี่คลายโดยพลันนะครับ เอาใจช้วยครับ
นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก

#14 usr21270

usr21270
  • Members
  • 21 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 September 2008 - 02:59 PM

The same of me.My husband is least than your.He smoke and drink wine, beer,and said nobody can say what I want to do .But he come with me at Wat Thai in Italy only to see!!!!

#15 usr25186

usr25186
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 September 2008 - 06:28 AM

DIVORCE IS THE BEST WAY FOR U NOW.DONT CARE THE PERSON THAT NOT UNDERSTAND US BY ALLOW HIM LIKE THAT, U MARRIED HIM FOR WHAT REASON .MONEY.LOVE OR ????????????????????????????? ASK YOURSELF.THEN MAKE YOURWISH FOR FINDING SOMEONE WHO WILL BE YOUR SOULMATE.

#16 เศรษฐีหน้าใส

เศรษฐีหน้าใส
  • Members
  • 177 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 September 2008 - 12:37 PM

แต่งซะแล้ว ต้องอดทนครับ ก็ต้องไปโบถส์กับเขาด้วย และชวนเขามาวัดด้วย ถ้าจะให้ดี ควรหาเวลาไปพนาวัฒน์ นั่งสมาธิยาวๆ แล้วเขาจะเห็นว่า ศาสนาไม่ใช่อุปสรรค ในการอยู่ร่วมกัน เพราะทุกคนมีศูนย์กลางกายเหมือนกัน

#17 kamonwan

kamonwan
  • Members
  • 9 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 September 2008 - 06:10 PM

ลองชวนเขาไปเที่ยวที่สวนป่าหิมะวันต์ จ.เลย (The middle way meditation retreat Program) มีชาวต่างประเทศไปนั่งสมาธิที่นั่นจำนวนมากค่ะ และเป็นศาสนาอื่นที่ไม่ใช่นับถือศาสนาพุทธนะค่ะ เมื่อปฏิบัติเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ผลสุดท้ายก็เจอสิ่งเดียวกันค่ะ

อยากให้ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งรีบเลิกกันค่ะ เก็บความรู้สึกดีๆ เอาไว้และแสดงให้เขาเห็นว่า การปฏิบัติตามแนวพุทธนั้น จะช่วยให้ครอบครัวที่มีศาสนาแตกต่างกันมีความสุขได้เช่นกันค่ะ ในขณะเดียวกันอย่ารังเกียจศาสนาของเขาค่ะ

เคยคุยกับคนไทยที่แต่งงานกับชาวอิสลาม และถามเขาว่า เวลาสวดมนต์ตามแบบศาสนาอิสลามเค้าวางใจที่ไหน เขาตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เห็นศาสนาเขาบอกไว้ ก็เลยให้คำแนะนำไปว่า ก็ลองวางใจไว้ที่ศูนย์กลางกายตรงกลางตัวซิ เขาก็บอกว่า จริงซินะ ต้องลองทำดู ก็เลยอยากจะแนะนำให้เจ้าของ case ไปโบสถ์ สวดมนต์ตามธรรมเนียมของเขาค่ะ แต่การวางใจตอนสวดมนต์ให้วางตามแนวพุทธ เมื่อใจสงบก็พบสิ่งเดียวกันค่ะ คุณครูไม่ใหญ่พูดเสมอๆ ค่ะ และอยากแนะนำให้ลองหาเพลงของวัดที่เป็นภาษาอังกฤษไปเปิดให้เขาได้ยินบ้างซิค่ะ ก่อนเปิดก็อย่าเพิ่งบอกว่า เพลงอะไรจากที่ไหน แต่ทำว่า เราเปิดฟังของเราเอง เพราะ เพลงของคุณครูไม่ใหญ่ มีนัยสำคัญทุกเพลงค่ะ อยากให้ลองใช้เพลงซึ่งเป็นภาษาสากลค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ หลายๆ ท่านให้คำแนะนำที่ดีมากๆ เลย ค่ะ


#18 อริย 072

อริย 072
  • Members
  • 440 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 September 2008 - 08:07 PM



เอา อย่างนี้นะ แยกให้คิดง่ายๆ ว่า..

สิ่งที่ควรคิด(ใหม่)คือ
อะไรที่เราจะปรับปรุง ตัวของเราให้ดีขึ้น เรื่องบุญ (เฉพาะที่ไม่เกี่ยวกับเขา) ได้อีกไหม
อะไร ที่เราจะดูแลสามีของเรา ให้มีความสุข กว่านี้ได้อีกไหม

สิ่งที่ยังต้องทำ(ให้ได้ต่อไปก่อน)คือ
ต้องพยายามไปวัดทุกวันอาทิตย์ ต้นเดือน
ต้องพยายามไปวัดทุกวันบุญใหญ่

ส่วนถ้าจะเพิ่มเวลาไปวัด
ให้เข้าใจ ทั้งเขา และ มโนปณิธานของเรา
แล้วค่อยๆ หาจังหวะคุย โดยหาข้อแลกเปลี่ยนให้เขาทดแทนสิจ๊ะ
ถามเลยว่าอยากได้อะไรล่ะ
เช่นไปร่วมงานศาสนาของเขาแลกกัน ฯลฯ
...
สามี ภรรยา ให้คุยกันแบบยิ้มแย้ม ขำๆ
เพราะมีความรักเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
ความรัก และ ความดีของเรา
..จะทำให้เขาใจอ่อน เมตตา เราในที่สุด
และเขาเองก็ทึ่งว่า ที่วัดสอนยังไง
เราจึงน่ารักเช่นนี้
ต่อไปก็จะคุยง่าย..ตามใจ

เรื่องทิฐิความเชื่อ อย่ารีบ อย่าใจร้อนจะไปเปลี่ยนใคร
ต้องเคารพ ให้เกียรติเขา เขาจะได้ให้เกียรติเรากลับ
..
ให้เราเลิกรักวัด เรายังไม่เปลี่ยนง่ายๆเลย..นี่นา ใจเขาใจเรา
อย่าเพิ่งคิดว่า ก็ฉันคิดถูก เธอผิดสิ
รอตอนจังหวะดีๆ ส่วนใหญ่คนเราจะละทิฐิ
ก็ตอนอ่อนแอ เจ็บป่วย ผิดหวัง
ตอนนั้น จึงค่อยๆเสนอ แบบนุ่มนวล
ดีกว่าไหมจ๊ะ
...
ลองทำดู แล้วมาบอกข่าวดีเพื่อนๆนะ




#19 usr21270

usr21270
  • Members
  • 21 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 September 2008 - 04:22 AM

Thank you for every opionion.I should the best way for family,not for destroy,no one perfect should look and find the best inner him and Lung Poo said ...no one too old too change .....

#20 usr25101

usr25101
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 September 2008 - 08:32 PM

ยิ้มแย้ม เยือกเย็น ยืดหยุ่น ยกย่องกับเขา แล้วอธิษฐานนะคะ ให้เชื่อมั่นในบุญ และอานุภาพของมหาปูชนียาจารย์ เพื่อนหนูเป็นคนศาสนาอื่น ยังเปลี่ยนใจมาบวช แล้วรับบุญเป็นอาสาสมัครเลยค่ะ...มีเรื่องอยุ่ตอนหนึ่งของคุณอัญชลี ตอนที่อยากให่ร้องอีลาน จาชัวบวชสามเณรเมื่อ2เดือนที่ผ่านมา คุณพ่อของน้องเขาไม่เข้าใจ คุณแม่ เลยใช้วิธี นิ่งๆ ยิ้มๆ แบบเยือกเย็น ท่าทางที่เศร้าศร้อย ดูไม่สบายใจ มำให้พ่อบ้านเป็นห่วงมากๆ สุดท้ายเขาก็คิดได้ว่า เขาเลือกที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้แล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอ เป็นเหคุให้คุณแม่เอาชนะใจพ่อบ้านได้อย่างใสๆ น้องทั้ง2คนเลยได้บวช...อธิษฐานเข้านะคะ ทุกๆอิริยาบท ที่เรานึกได้ เราอาจจะเคยสั่งสมบุญเป็นคู่บุญคู่บารมีกันมาก่อนก็ได้ นึกว่ากำลังจะได้บุญใหญ่ในการทำหน้าที่กัลยาณมิตร กับคนที่เราเอง ก็เลือกเขา มาเป็น คู่ของชีวิต เด๋วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองเพราะ เขาก็ต้องรักเราบ้างอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเขาอาจจะรักเรามากกว่าทิฐิในตัวเขาเองก็ได้ ...เป็นกำลังใจให้นะคะ

#21 คุณรู้มั๊ย คุณนั้นเคยตาย

คุณรู้มั๊ย คุณนั้นเคยตาย
  • Members
  • 335 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:บุญ หยุดนิ่ง นั่งสมาธิ ฟุตบอล คอมพิวเตอร์

โพสต์เมื่อ 20 September 2008 - 02:07 PM

บุญเท่านั้นที่ช่วยได้ happy.gif
หลับตาเบาๆ ผ่อนคลายสบาย ให้ใจหยุดนิ่ง ที่ศูนย์กลางกาย

นิ่งๆ นุ่มๆ นานๆ

#22 ความสุข....อยู่ที่ใจนะครับ

ความสุข....อยู่ที่ใจนะครับ
  • Members
  • 42 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:นวมินทร์ กทม.

โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 03:37 PM

สวัสดีค่ะเพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลาย
ดิฉันคือคนในกระทู้เองค่ะ
ดิฉันขอขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำดีๆนะค่ะ มีประโยชน์มากเลยค่ะ เวลาที่ดิฉันรู้สึกท้อแท้ใจ เมื่อได้กลับมาอ่านข้อความให้กำลังใจต่างๆ ทำให้ดิฉันมีกำลังใจมากขึ้น ไม่รู้สึกโดเดี่ยวอีกแล้ว และยิ่งทำให้รู้ว่ายังมีคนที่เข้าใจดิฉันอยู่มากมาย

ดิฉันเข้าใจว่า การแต่งงานก็ย่อมมีปัญหาเหมือนที่หลวงพ่อบอกค่ะว่าอยู่คนเดียวก็มีปัญหาของตัวเอง แล้วยิ่งอยู่กันสองคน ปัญหาก็ยิ่งมากขึ้นคูณสอง การมีครอบครัวเปรียบเหมือนการถือคบเพลิงเดินทวนลม จะลมแรงมาก แรงน้อย ยังไงเปลียวไฟก้ยังมากระทบผิวหนังให้รู้สึกระคายเคืองบ้าง
ข้อนี้ดิฉันทราบดี และไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องแต่งงาน เพื่อนๆอาจจะสงสัยว่าแล้วทำไมดิฉันจึงแต่งงาน
ก่อนหน้าที่ดิฉันจะแต่งงานดิฉันเป็นเด็กดี เชื่อฟังที่หลวงพ่อสอนทุกอย่าง ไม่นอกลู่นอกทางไม่เคยมีแฟน อยากอยู่ประพฤติพรมจรรย์ แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะสามีของดิฉันเป็นคนที่ดิฉันแอบปลิ้มมากๆมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่มีเหตุการณ์ให้ต้องจากกันไป และไม่เคยเจอกันอีกเลย จนเวลาผ่านเลยนานมากๆๆ จนดิฉันโต ก้มีเหตุการณ์ทำให้เค๊าก็กลับมาหาดิฉัน และเราจึงได้แต่งงานกันในที่สุด
สามีของดิฉันเป็นคนดีทุกอย่าง ตามใจดิฉัน เพียงแต่เรื่องศาสนาเป็นเรื่องที่เรามีความคิดไม่เหมือนกัน ทำให้บางครั้งดิฉันรู้สึกไม่สบายใจแต่ไม่รู้จะทำยังไง เล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ ไม่มีใครเข้าใจ แต่โชคดีที่ได้การแนะนำกระทู้ของทางวัด ที่มีเพื่อนกัลยาณมิตรดีๆ มาช่วยให้กำลังใจ ทำให้ดิฉันมีกำลังใจที่จะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้กับสามีและครอบครัวของสามีต่อไปนะค่ะ
ดิฉันขอขอบคุณทุกท่านอย่างใจจริงและดิฉันจะพยายามหมั่นระลึกนึกถึงบุญ นึกถึงหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย ให้ท่านได้ช่วยให้ดิฉันและสามีได้เป็นครอบครัวแก้ว ครอบครัวธรรมกาย ในอนาคตอันใกล้นี้นะค่ะ

ขอบคุณค่ะ^^