วิธีการทำ
===========
กรรมวิธีการหล่อพระพุทธรูปในสมัยโบราณนั้น อาจแบ่งออกได้เป็น "ฝีมือช่างราษฎร์" กับ "ฝีมือช่างหลวง" ฝีมือช่างราษฎร์จะเป็นกลุ่มของชาวบ้านที่มีศรัทธาจะสร้างพระพุทธปฏิมาส่วนใหญ่มิได้เคร่งครัดในส่วนผสมของโลหะเท่าใดนัก เมื่อทราบข่าวจะมีการหลอมหล่อพระพุทธรูปมักจะนำโลหะมีค่าจากบ้านเรือนของตนมาเป็นวัตถุดิบร่วมกันทำบุญสร้างพระพุทธรูป ช่างที่ดำเนินการจะนำหุ่นขี้ผึ้งที่ปั้นไว้ตั้งอาหัวลง เมื่อเทน้ำโลหะลงไปธาตุที่หนักที่สุดซึ่งได้แก่ทองคำ จะลงไปตกตะกอนอยู่ส่วนล่างสุด คือส่วนเศียรพระพุทธรูป ดังนั้น พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ส่วนใหญ่จะมีพระเศียรเปล่งปลั่งสุกใสกว่าส่วนอื่น
ส่วนการหล่อโดยฝีมือช่างหลวงนั้น จะเห็นอัตราส่วนผสมของโลหะเป็นพิเศษ กรรมวิธีโดยทั่วไปคล้ายคลึงกัน หากเพิ่มความละเอียดประณีต โดยเริ่มจากการ "ขึ้นหุ่น" หรือ "ปั้นหุ่น" ชั้นในขององค์ระด้วยดินเหนียวผสมทราย แกลบ ตามส่วน ดินที่มักนิยมใช้เรียกว่า "ดินขี้งูเหลือม" มีสีเหลือง โดยกำหนดสัดส่วนไว้สำหรับหุ้มขี้ผึ่งอีกชั้นหนึ่ง หลักจากนั้นใช้ขึ้ผึ้งผสมกับชันเพื่อให้แข็งตัวมาตีแผ่ออกเป็นแผ่นหนาเท่ากับเนื้อทองที่ต้องการ นำแผ่นขี้ผึ้งหุ้มรูปหุ่นให้หมดทั้งองค์ ลงมือปั้นแต่ขี้ผึ้งให้ประณีต ฝีมือช่างจะแสดงออกจากการปั้นขี้ผึ้ง
หลังจากนั้นจะมีการติด "สายชยวนขี้ผึ้ง" เพื่อช่วยให้ทองแล่นได้ตลอด โดยต้องคำนึงถึงช่องว่างที่จะเป็นส่วนให้อากาศภายในระบายออกได้ทันเมื่อเททอง ก่อนที่จะนำเอาขี้วัวละเอียดผสมกับดินนวลทาลงบนหุ่นขี้ผึ้งเพื่อให้ผิวทองเรียบงาม หลังจากนั้นใช้ดินอ่อนฉาบรักษาดินขี้วัวไว้แล้วใช้ดินที่ปั้นหุ่นองค์พระชั้นในพอกทับอีกชั้นหนึ่ง
จากนั้นช่างผู้ทำการหล่อพระพุทธรูปจะทำการตรึงหมุดเหล็ก หรือ "ทวย" คือการแทงเหล็กแหลมเข้าไปในหุ่นขี้ผึ้งให้ทะลุเข้าไปถึงชั้นในเพื่อยึดโครงสร้างองค์พระให้แข็งแรง มิให้แตกร้าวขณะเททอง ก่อนที่จะใช้เหล็กมัดเป็นโครงหุ้มดินพอกไว้อีกชั้นหนึ่ง ที่เรียกว่า "รัดปลอก"
ต่อจากนั้นจะทำการพลิกเศียรพระพุทธรูปลงดิน เอาฐานองค์พระขึ้น โดยใช้นั่งร้านยกพื้นไม้ให้รอบสำหรับเดินเททอง ค้ำยันหุ่นด้วยเหล็กให้แน่นหนา แล้วจึงเริ่มสุมไฟเผาไล่หุ่นขี้ผึ้งรอบองค์พระ ในขณะเดียวกันก็เริ่ม "สุมทอง" ที่เตรียมไว้พร้อมกันไปด้วย โดยมีเบ้าหลอมต่างหาก
เมื่อขี้ผึ้งละลาย หรือที่เรียกกันว่า "สำรอก" จึงเริ่มเททอง น้ำทองจะไหลลงไปแทนที่ขี้ผึ้งรอบองค์พระ โดยเดินเททองบนนั่งร้านกรอกลงไปตามสายชนวนขี้ผึ้งซึ่งติดเอาไว้ก่อนแล้วนั้น ช่องหรือสายชนวนนี้จะเปรียบเสมือนท่อน้ำทองให้ไหลไปทั่วองค์พระปฏิมา
เมื่อเททองสมบูรณ์แล้วจะปล่อยให้หุ่นพิมพ์เย็นลงแล้วจึงแกะดินที่ปั้นเป็นหุ่นออกให้หมด ยกองค์พระให้ตั้งขึ้นเริ่มขัดถูผิวให้เรียบตัดหมุดหรือ "ทวย" รวมทั้งสายขนวนออก หามีตำหนิก็จะมีการนำเศษทองที่เหลือตอกย้ำให้เสมอกัน หากปรากฏเป็นช่องว่างมากก็เททองเพิ่มให้เต็ม ที่เรียกว่า "เทดิน" บางครั้งจะใช้ยาซัดโลหะตามกรรมวิธีโบราณผสมลงในเบ้าหลอมด้วยเพื่อซัดเศษโลหะออกจากน้ำทอง ซึ่งจะทำให้ได้เนื้อโลหะบริสุทธิ์
ในบางครั้งจะมีการลงรักปิดทองจนทั่วองค์พระ โดยใช้ "รักสมุก" คือรักผสมผงถ่านบดละเอียด ป้ายรักสมุกกับองค์พระให้ทั่วและเรียบทิ้งไว้ให้แห้ง ก่อนขัดด้วยหินละเอียด จากนั้นชโลมด้วย "รักน้ำเกลี้ยง" และใช้ ทาองค์พระเพื่อปิดทองอีกครั้งหนึ่ง
พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปที่เกิดจากการสร้างในลักษณะดังกล่าวโดยฝีมือ "ช่างหลวง" ที่มีฝีมือการหล่อพระถึงขั้นสุดยอดทำให้ได้องค์พระซึ่งมีพระพุทธลักษณะงดงาม ทองคำแล่นบริบูรณ์ตลอดองค์โดยใช้เนื้อทองคำธรรมชาติบริสุทธิ์ ที่เรียกกันว่าทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา และแสดงให้เห็นถึงความแยบยล สามารถถอดองค์พระออกเป็นส่วน ๆ ได้ถึง 9 ส่วน โดยมีกุญแจกลเป็นเครื่องมือในการถอดประกอบ นับเป็นฝีมือช่างชิ้นเอกอันยากจะหาฝีมือสกุลช่างใดทัดเทียมได้
จาก
http://www.soonphra....picdetailid=147ข้อมูลเพิ่มเติมทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขา คือ ส่วนผสมที่มีทองคำสูงมาก
ทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขา คือ ทองที่มีค่ารองจากทองนพคุณหรือทองเนื้อเก้า ซึ่งโบราณตั้งมาตราไว้ตั้งแต่ทองเนื้อสี่ถึงทองเนื้อเก้า
มาตรฐานทองคำไทยโบราณตั้งไว้ตั้งแต่ทองเนื้อสี่...ทองคำหนัก 1 บาท จะมีค่า 4 บาท ทองเนื้อเจ็ด ทองคำ 1 บาท จะมีค่า 7 บาท ส่วนสองขา หมายถึง 2 สลึง
จากฐานองค์พระขึ้นไปเนื้อทองบริสุทธิ์ 40 % พระพักตร์มีเนื้อทอง 80 % ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ 99.99 %
น้ำหนักพระทองคำกว่า 5 ตัน ถ้าใช้อทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีทางรับน้ำหนักได้ จึงสร้างเป็นทองผสม เป็นทองเนื้อเจ็ด
ปี 2498 มีการตีมูลค่าอยู่ที่ 14 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทย 294 ล้านบาท