![รูปภาพ](/forum/uploads/photo-thumb-16704.jpg?_r=1219070782)
พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า
#1
โพสต์เมื่อ 03 November 2008 - 09:10 PM
"พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน 'พระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า' มีอายุเพียง 5,000 ปี (ถึง พ.ศ.5000) พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงวิบัติของพระพุทธศาสนาไว้ว่า หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน 500 ปี จะไม่มีภิกษุณีผู้มีศีลครบหรือถูกต้อง 1,000 ปี จะไม่มีพระอรหันต์หรือมนุษย์คนใดที่เหาะเหินเดินอากาศได้ (พระมาลัยเป็นองค์สุดท้าย) 3,000 ปี จะไม่มีพระสงฆ์ทำสังฆกรรมร่วมกัน ไม่มีศาสนสถาน เหลือเพียงพระพุทธและพระธรรม 4,000 ปี ผู้ที่เป็นพระสงฆ์จะทำเพียงแขวนผ้าสีฝาดบนใบหูเท่านั้น และ 5,000 ปี พระศาสนาก็จะอันตรธานไป ทุกๆ อย่าง รวมทั้งพระบรมสารีริกธาตุไม่ว่าจะมาจากที่ใดในมหาโกฏิแสนล้านจักรวาล ก็จะมารวมกันที่จุดที่เคยเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์*แล้วอันตรธานไป
"มนุษย์จะมีอายุขัยลดลงทุกๆ 100 ปี ตั้งแต่พระพุทธปรินิพพานถึงตอนนี้ มนุษย์อายุขัยลดลงไป 2,500 หาร 100 = 25 ปีเหลือ 75 ปีแล้ว ความสูงของมนุษย์ก็เช่นกัน ในสมัยพุทธกาล มนุษย์มีความสูง 16-18 ศอก (8-9 เมตร) แต่ตอนนี้สูงเพียง 3 ศอกกว่าๆ เท่านั้น เมื่อมนุษย์อายุลดเหลือ 5 ปี 10 ปี (อีกประมาณ 5,500-6,000 ปี) มนุษย์ก็จะสูงเพียงครึ่งศอก ขนาดยังต้องสอยมะเขือกิน แต่งงานกันตั้งแต่ 3 ขวบ 5 ขวบ จิตใจเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ เห็นคนอื่นเป็นสัตว์ร้าย เข่นฆ่ากันเอง เพียงใบไม้ใบหญ้าก็ใช้ฆ่ากันได้ มีเพียงผู้ทรงศีลเท่านั้นที่จะอยู่รอด เมื่อมนุษย์เลวตายหมด โลกก็จะวิบัติ มนุษย์ดีๆ ก็จะหลบเข้าไปอยู่ในถ้ำ มีความรักใคร่ต่อกัน สัตว์ต่างๆ มากัดกินศพ ฝนตกประมาณ 7 วัน หรือนานกว่านั้น ชำระเอาศพอสุภะของมนุษย์เลวๆ เมื่อท้องฟ้าแจ่มใส มนุษย์ก็จะออกมาตั้งบ้านเรือน ทำความดีกันใหม่
"เมื่อมนุษย์ทำความดี อายุก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 5 ปี 10 ปี เป็น 20 ปี 50 ปี 100 ปี 1,000 ปี 10,000 ปี 100,000 ปี ล้านปี โกฏิปี (10 ล้านปี) ปโกฏิปี (100 ล้านปี) จนถึงอายุ 1 อสงไขย (10^140 ปี) เมื่อมนุษย์อายุขัยเกินแสนปี จิตใจก็หลงระเริงประมาทในความตาย อายุขัยก็ลดลงจนมาถึง 84,000 ปี ซึ่งเป็นอายุขัยที่มนุษย์เจริญที่สุด ลดลงมาอีก จนถึง 80,000 ปี
"ในยุคนั้น แผ่นดินราบเรียบไม่มีภูเขา ไม่มีหลุมแอ่ง ฝนตกจะตกทุกๆ 15 วัน มักจะตกตอนใกล้รุ่ง ผืนแผ่นดินชมพูทวีปมีความอุดมสมบูรณ์ดี ต้นไม้ใบหญ้าผลิดอกออกผลบานสะพรั่ง ลูกดกเต็มต้น แม่น้ำลำคลองทั้งหลายไหลสม่ำเสมอ ไม่เชี่ยวไม่ช้า มีกระแสน้ำขึ้นลงสลับกัน สัตว์ทั้งหลายที่เป็นคู่กัดกันในปัจจุบัน เช่น แมวกับหนู งูกับพังพอน ในยุคพระศรีอาริย์จะเจริญไมตรีไม่มีบาดหมาง ไม่มียุง ปลวก แมลงสาบ สัตว์นำพาหะทั้งหลาย
"ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี มนุษย์มีความสูงประมาณ 80 ศอก ผิวพรรณดั่งทองคำ หล่อสวย คนแก่มีรูปร่างหน้าตาราวอายุ 20 ปี(ในสมัยนั้นก็เท่ากับ 4 หมื่นปี) ไม่มีผู้ใดพิกลพิการ เป็นยุคทอง เป็นสัตยุค* ไม่มีโจรขโมย ไม่ต้องมีตำรวจ ไม่มีการลงโทษ ไม่มีคุก การเมืองสงบสุขดี ไม่มีการคอรับชั่น ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข รักเดียวใจเดียว ไม่มีการทะเลาะกันในครอบครัว ในยุคนั้นไม่ต้องทำมาหากิน สามารถสอยเอาทรัพย์สินอาหารได้จากต้นกัลปพฤกษ์ทิพย์ ไม่มีรวยหรือจน ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกอย่างเป็นเครื่องทิพย์หมด ข้าวเมล็ดเดียวลงดินแล้วสามารถกลายเป็นพืชพันธุ์นานาชนิด มนุษย์สามารถเข้าใจธรรมได้เร็ว จะได้ไปสวรรค์ทุกคน ปราศจากโรคภัย ชาวชมพูทวีปมีเพียง 3 โรคเท่านั้น คือ ความแก่ ความอยากกิน และความไม่อยากกิน
"เมืองพาราณสีในปัจจุบันนี้ จะเปลี่ยนชื่อเป็นมัณฑารนคร ในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยประมาณอสงไขย กว้างยาวด้านละ 12 โยชน์ แล้วต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นเกตุมดี(หรือเกตุมบดี) ในยุคที่มนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี กว้าง 1 โยชน์ยาว 16 โยชน์ เป็นราชธานีของชมพูทวีป เป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งและมีความอุดม สมบูรณ์ มีต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้นทั้ง 4 ประตูเมือง ประตูเมืองสร้างจากแก้ว 7 ประการล้อมรอบนคร 7 ชั้น เทพบุตรนาม 'มหานฬกาลเทวบุตร' จะจุติลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ*พระนามว่า 'พระเจ้าสังขจักร์' ปกครอง เกตุมดี ยามที่พระองค์ทรงประสูติ ปราสาททองอันแล้วด้วยแก้ว 7 ประการ ก็ได้ผุดขึ้นมาจากแม่น้ำคงคา ซึ่งในสมัยพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า(พระ พุทธเจ้าพระองค์แรกแห่งภัทรกัปนี้) เป็นของ 'พระเจ้ามหาปนาท' เมื่อพระองค์สิ้นบุญแล้ว ปราสาทก็จมลงไปในแม่น้ำ เมื่อผู้มีบุญมากอย่างพระเจ้าสังขจักร์มาอุบัติ ปราสาทนั้นก็ผุดขึ้นมา พระองค์ทรงปกครองภายในปราสาทนั้น
"ในยุคนั้น ชมพูทวีปมีนคร 84,000 นคร มีเกตุมดีเป็นราชธานี เจ้าเมือง 84,000 พระองค์ และจากชนบทประเทศทั้งหลายจะทำการบูชาพระเจ้าจักรพรรดิ"
ต่อไปจะกล่าวถึงพระศรีอาริย์
"พระศรีอริยเมตไตรย เป็นพระราชบุตรของสุตพรามณ์ มหาพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก มีพระมารดาพระนามว่า นางพรหมวดี(เมตตา)พราหมณี
ความหมายของพระนาม "พระศรี+อารีย์+เมตตา พระพุทธเจ้าผู้อารีและเมตตา หรือผู้เป็นบุตรของนางเมตตา"
" 'พระนาถเทวราชบรมโพธิสัตว์' ผู้ซึ่งประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต จะลงมาจุติเป็นพระศรีอริยเมตไตรยในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 เวลาใกล้รุ่ง (ต้องลงวันนี้ทุกพระองค์ และ อยู่ในพระครรภ์ของพุทธมารดา 10 เดือน และจะประสูติตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 พอดี) โดยมีเทวดาพรหมทั้งหลายอัญเชิญลงมา พร้อมกับโปรยดอกไม้ของทิพย์ต่างๆ กล่าวสรรเสริญพระบรมโพธิสัตว์ ในช่วงเวลาที่พระองค์จุติลงสู่พระครรภ์ของมารดา เพียงชั่วดีดนิ้วเดียว จะเกิดเหตุอัศจรรย์ 32 ประการ ได้แก่
1.
หมื่นโลกธาตุสั่นสะท้าน
2.
หมื่นโลกธาตุสว่างไสวไปทั่วด้วยแสงแห่งพระบารมี
3.
คนตาบอดกลับตา
4.
คนหูหนวกกลับหูดี
5.
คนเป็นใบ้สามารถพูดได้
6.
คนหลังค่อมกลับมีตัวตรง
7.
คนเป็นง่อยหลุดจากความเป็นง่อย
8.
สัตว์หลุดจากที่จองจำ
9.
ไฟนรกทั้งปวงดับสนิท (สัตว์โลกันตนรกมองเห็นซึ่งกันและกัน)
10.
สัตว์นรก เปรต อสุรกายมีความสุข อิ่มบุญ หายหิว หมดทุกข์
11.
สัตว์เดรัจฉานไม่มีภัย
12.
สัตว์ทั้งหลายปราศจากโรค หายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง
13.
สรรพสัตว์สามารถพูดได้
14.
ช้างทั้งหลายร้องสรรเสริญ
15.
เครื่องดนตรีทุกอย่างส่งเสียงไปทั่วแม้จะไม่มีใครเล่น
16.
เครื่องประดับที่แม้ไม่มีมนุษย์มาสัมผัสก็เปิดรับ
17.
ทิศทั้งปวงแจ่มใส
18.
เกิดเสียงดนตรีประโคมเสียงดังสนั่นไปทั่วบรรณพิภพ
19.
ลมเย็นพัดโชยมามอบความร่มเย็นให้แก่สรรพสัตว์
20.
เกิดฝนตกให้ความชุ่มฉ่ำแก่สรรพสัตว์
21.
มีน้ำพุพุ่งทะยานมาจากพื้นดิน
22.
นกทั้งหลายพากินหยุดบิน
23.
แม่น้ำทุกสายหยุดไหล
24.
น้ำทะเลมีรสหวาน
25.
พื้นพิภพดาษดาไปด้วยดอกบัว 5 สี
26.
ดอกไม้ทั้งปวงบานสะพรั่ง ไม่ว่าจะอยู่บนบก สวรรค์ นรก หรือใต้น้ำ หรือที่ไหนๆ ในจักรวาล
27.
ดอกไม้บานตามต้นไม้ กิ่งไม้ เถาวัลย์ ปะการังต่างๆ
28.
มีดอกบัวผุดขึ้นมาจากก้อนหินก้อนละ 7 ดอก
29.
มีดอกบัวตกลงมาจากท้องฟ้า
30.
ดอกบุปผาชนิดอื่นๆ ตกมาจากนภากาศทั่วทุกแห่งหน
31.
มีเสียงทิพย์บรรเลงไปทั่วบรรณพิภพ
32.
ทุกจักรวาลหมื่นโลกธาตุหอมไปด้วยกลิ่นดอกไม้และเครื่องหอม
"เมื่อพระพุทธองค์ประสูติ ก็จะบังเกิดเหตุอัศจรรย์ทั้ง 32 ประการดังนี้เช่นกัน แล้วยังมีปราสาทแก้ว 3 หลังผุดขึ้นมาจากพื้นดินเนื่องด้วยผลบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมา นามว่า สิริวัฒนะ ปสิทธัตถะ และนันทกะ (บ้างก็ว่ามีอีกหลังหนึ่ง คือ วัฒนะ) ปราสาททั้งหมดนั้น ผุดขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่สำราญของพระโพธิสัตว์ ภายในปราสาทมีสนมนารีแวดล้อม 100,000 นางพร้อมกับปราสาทนั้น เพื่อมาเป็น 'บาทบริจาริกา' ปรนนิบัติรับใช้พระโพธิสัตว์
"พระโพธิสัตว์มีพระนามว่า 'อชิตพรามหณ์' พระองค์มีพระชายาพระนามว่า 'พระนางจันทมุขี' มีพระราชบุตรพระนามว่า 'พราหมณ์วัฒนกุมาร' เมื่อพระองค์ครองฆราวาส 8,000 ปี ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่(แก่แบบคนในยุคเรานี้) คนเจ็บ(เจ็บปวดมากๆ เห็นแล้วน้ำตายังไหล) คนตาย(เน่าเหม็น น่ารังเกียจ) และพระองค์ก็ทรงเห็นนิมิตของสมณะ อันเป็นทางดับทุกข์ เมื่อพระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกผนวชแล้ว ปราสาที่พระองค์ทรงประทับอยู่ก็จะลอยไปในนภากาศ เหล่านางสนมผู้คนอื่นๆ เสนาอำมาตย์ พราหมณ์รับใช้ก็จะไปกับปราสาทนั้นด้วย เปรียบประดุจพระยาสุวรรณหงส์โบยบิน
"ปราสาทลอยไปทั่วชมพูทวีป เทวดาทั้งหลายในแสนโกฎิจักรวาล ชวนกันถือเครื่องสักการะบูชาพระองค์เหาะมาในเวหา พื้นดินเต็มไปด้วยมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายทำการบูชาพระองค์ ทั้งพระมหากษัตริย์จาก 84,000 เมือง และชาวชนบททั้งหลาย เทวดา อินทร์ พรหม ยักษ์ นาค คนธรรพ์ ทำการบูชาและคุ้มครองพระองค์ ผู้ใดประสงค์จะออกบวชด้วยก็จะลอยไปตามปราสาท
"เมื่อเสด็จถึงป่าอิสิตนมฤคทายวัน ซึ่งเป็นจุดที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ที่นี่(เชื่อกันว่าที่นี่ผืนดิน หนาที่สุด เป็นที่เดียวที่สามารถรองรับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้ หากไปตรัสรู้ที่อื่น โลกธาตุจะแตกสลาย) ยังร่มไม้ต้นนาคะ หรือต้นกากะทิง ปราสาทก็จะลอยหายไป ทิ้งเอาบุคคลที่ตามมาด้วยไว้ แล้วท้าวมหาพรหมก็นำเอาเครื่องอัฐบริขารทั้ง 8 มาให้พระองค์ พระองค์ทรงตัดพระเกศาด้วยพระขรรค์แก้ว พระอินทร์อัญเชิญพระเกศาไปประดิษฐานยังพระมหาเจดีย์จุฬามณี พระพรหมนำเครื่องทรงไปประดิษฐานในพรหมโลก แล้วคนอื่นๆ ก็ได้บวชตามๆ กันทุกคน (พระพุทธเจ้าบางพระองค์ก็มีผู้บวชตาม บางองค์ก็ไม่มี อย่างเช่นพระพุทธโคดม) ออกบิณฑบาตทุกวัน
"พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรประมาณ 7 วัน รับข้าวมธุปายาส และทรงบำเพ็ญเพียรใต้ต้นกากะทิง บรรดาเทวดาทั้งหลายมาเฝ้ารอการตรัสรู้และโบกพัดเล่นดนตรีบูชาของหอมแด่ พระองค์ ทรงตรัสรู้ปุพเพสันนิวาสญาณคือการรู้อดีตชาติต่างๆ ของพระองค์เองและของผู้อื่นในปฐมยาม ทรงตรัสรู้ทิพยจักษุญาณคือการรู้การเกิดดับของสัตว์ทั้งหลายในขณะนั้นใน มัชฌิมญาณ และทรงตรัสรู้พระโพธิญาณทรงเห็นอริยสัจสี่คือทุกข์ สมุทัย นิโรจ และมรรค ตรัสรู้และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในบันดล!
"เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้นั้น พระวรกายของพระองค์สูง 88 ศอก(44 เมตร) กว้าง 25 ศอก(12.5 เมตร) ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุ(เข่า) วัดได้ 22 ศอก(11 เมตร) ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระนาภี(สะดือ) วัดได้ 22 ศอกเช่นกัน ตั้งแต่พระนาภีถึงพระรากขวัญ(กระดูกไหปลาร้า)ทั้ง 2 ประมาณ 22 ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญจนถึงยอดพระเศียรที่สุดยอดพระอุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้นประมาณ 22 ศอกเสมอกันทั้ง 4 ส่วน พระรากขวัญแต่ละอันนั้นยาว 5 ศอก(2.5 เมตร) พระหัตถ์ทั้งสองยาวได้ 10 ศอก(5 เมตร) กว้าง 5 ศอก พระพาหา(แขน) ยาว 25 ศอก พระอังคุลี(นิ้วมือ) ยาวได้ 5 ศอก ฯ
"พระศอ(คอ)โดยกลมรอบยาวประมาณ 5 ศอก ยาวก็ 5 ศอก พระโอษฐ์(ปาก)เบื้องบนและเบื้องล่างยาวได้ 10 ศอกเสมอกัน พระชิวหา(ลิ้น) ยาว 10 ศอก พระนาสิก(จมูก) สูงยาวได้ 7 ศอก(3.5 เมตร) ดวงพระเนตรทั้งสองกว้าง 7 ศอก แววพระเนตรยาวประมาณ 5 ศอก พระขนง(คิ้ว)แต่ละข้างยาวได้ 5 ศอก พระกรรณ(หู)ทั้งสองข้างยาวได้ 7 ศอก ดวงพระกาฬเนตร(ตาดำ) กลมโดยรอบประมาณ 25 ศอก พระอุณหิตเวียนขวารอบๆ พระเศียรเป็นเปลวพระพุทธรัศมีนั้นโดยกลมรอบวัดได้ 25 ศอก ฯ
"ส่วนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นมีปริมณฑล(อาณาเขตทรงพุ่มและราก)ไปได้ 120 ศอก(60 เมตร) มีกิ่งใหญ่ 5 กิ่งยื่นออกไปยาว 120 ศอก แต่ต้นขึ้นไปสุดปลายกิ่งยาวได้ 240 ศอก(120 เมตร) ใบเป็นสีเขียวทั้งหมด มีดอกขนาดเท่ากงจักรรถ แต่ละดอกมีเกสรทะนานหนึ่ง มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปได้ไกล 500 โยชน์ (8,000 กิโลเมตร) ผลิบานหอมฟุ้งปานดอกของต้นปาริชาตทิพย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์"
พระอัครสาวกเบื้องขวา มีนามว่า พระอโสกเถระ
พระอัครสาวกเบื้องซ้าย มีนามว่า พระสุพรหมเถระ
พระอัครสาวิกาเบื้องขวา มีนามว่า พระปทุมาเถรี
พระอัครสาวิกาเบื้องซ้าย มีนามว่า พระสุมนาเถรี
พระอุปัฏฐาก มีนามว่า พระสีหเถระ
อุบาสกพุทธอุปัฏฐาก 2 คน มีนามว่า สุทัตตคหบดี และสังฆหบดี
อุบาสิกาพุทธอุปัฏฐาก 2 คน มีนามว่า นางยสปวดี และนางสังฆอุบาสิกา
"พระฉัพพรรณรังสีทั้ง 6 ของพระองค์สว่างไสวไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ จะบังเกิดต้นข้าวสาลีเลี้ยงชาวชมพูทวีปจนอยู่เย็นเป็นสุข
"ความเป็นพระพุทธเจ้าทรงประเสริฐกว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมาก ขนาดพระเจ้าสังขจักร์ยังทรงเลื่อมใส ทรงออกผนวชในพระพุทธศาสนาของพระองค์จนสำเร็จพระอรหันต์"
#2
โพสต์เมื่อ 03 November 2008 - 09:29 PM
#3
โพสต์เมื่อ 03 November 2008 - 09:35 PM
#4
โพสต์เมื่อ 03 November 2008 - 10:43 PM
หามาให้อ่านอีกนะครับ
#5
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 12:11 AM
#6
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 05:13 AM
#7
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 08:07 AM
#8
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 10:04 AM
#9
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 10:43 AM
![smile.gif](style_emoticons/default/smile.gif)
![laugh.gif](style_emoticons/default/laugh.gif)
สาธุ
#10
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 10:58 AM
กราบอนุโมทนาบุญด้วยจ้า.. สาธุ สาธุ สาธุ..
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#11
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 11:11 AM
ตามบทความด้านบนที่กล่าวว่า
"เมื่อมนุษย์ทำความดี อายุก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 5 ปี 10 ปี เป็น 20 ปี 50 ปี 100 ปี 1,000 ปี 10,000 ปี 100,000 ปี ล้านปี โกฏิปี (10 ล้านปี) ปโกฏิปี (100 ล้านปี) จนถึงอายุ 1 อสงไขย (10^140 ปี) เมื่อมนุษย์อายุขัยเกินแสนปี จิตใจก็หลงระเริงประมาทในความตาย อายุขัยก็ลดลงจนมาถึง 84,000 ปี ซึ่งเป็นอายุขัยที่มนุษย์เจริญที่สุด ลดลงมาอีก จนถึง 80,000 ปี"
อ้างอิงมาจากที่ไหน เพราะว่าเคยได้ยินมาแบบนี้เหมือนกัน
แต่พอมาอ่านพระไตรปิฏกฉบับธรรมทาน
ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 11 ข้อ 47 กล่าวเอาไว้ว่า
" ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุเจริญ
ขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ
๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี
บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี
บุตรของคนมีอายุ ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฯ "
ส่วนพระไตรปิฏกเล่มที่ 11 ข้อที่ 48 (ข้อถัดมา) กล่าวว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่า
เมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก "
ตกลงอายุของมนุษย์จะเพิ่มเป็น อสงขัยปีก่อนแล้วลงมาเป็น 80,000ปี แล้วถึงมีพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้
หรืออายุเพิ่มเป็น 80,000 ปี แล้วก็มีพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้เลยกันแน่
ใครทราบช่วยบอกหน่อย
และขอข้อมูลอ้างอิงด้วยนะครับ
#12
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 11:35 AM
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#13
โพสต์เมื่อ 04 November 2008 - 06:25 PM
แต่ขอโทษครับ...ผมดันลืมที่มาแล้วครับ....
#14
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 07:32 PM
สำหรับธรรมทาน ได้ความรู้ดีมากค่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 05 November 2008 - 09:42 PM
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
#16
โพสต์เมื่อ 08 November 2008 - 05:08 PM