ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

อานิสงส์ของการตักบาตร "กากวฬิยเศรษฐี"


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Roytavan

Roytavan
  • Members
  • 166 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 January 2009 - 05:59 PM

คอลัมส์ ของดีจากพระคัมภีร์ โดย กาญจน์มุนี (Roytavan) นี้เดิมอยู่ใน วารสารกัลยาณมิตร แต่ผู้เขียนจำไม่ได้นะคะว่าฉบับไหน ...แล้วจะเอาเรื่องราวของบุคคลในพระพุทธศาสนา ซึ่งปรากฎอยู่มรพระไตรปิฎก มาลงให้เป็นตอน ๆ นะคะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ

กากวฬิยเศรษฐี

[size="4"]เมื่อใกล้ถึงเทศกาลเข้าพรรษา ผู้เขียนมักคิดถึงบรรยากาศแห่งการทำบุญประเพณีของชาวพุทธ ที่มีการแห่เทียนพรรษา ทำบุญตักบาตร การฟังธรรมเทศนาจากพระภิกษุสงฆ์ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงคุณแห่งพระรัตนตรัยและสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นพุทธบูชา เมื่อกล่าวถึงการทำบุญตักบาตร ผู้เขียนได้คัดย่อเรื่อง “กากฬิยเศรษฐี” จากหนังสือ “กรรมทีปนี” ภาค ๑ ตอนที่ ๒ เขียนโดย พระพรหมโมลี กรรมการเถระสมาคม ในปัจจุบัน มาให้ผู้อ่านได้ศึกษา เพื่อเป็นการจรรโลงใจให้น้อมนึกระลึกถึงคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีความย่อดังต่อไปนี้
สมัยที่องค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนมชีพอยู่ มีชายเข็ญใจผู้หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายกากวฬิยะ ผู้มีวาสนาอาภัพ เพราะเกิดมาในตระกูลที่ยากจน เลี้ยงชีวิตอยู่ในโลกด้วยความยากลำบาก ต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน ไม่มีเวลาที่จะนึกถึงบุญกุศลสิ่งไรทั้งสิ้น วันหนึ่งภรรยาของเขาเตรียมต้มข้าวกับผักดองรวมกันเป็นข้าวยาคูเปรี้ยว เพื่อจะให้เขากินตามประสาจน ขณะนั้น พระมหากัสสปเถระสาวกองค์สำคัญแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านออกจากนิโรธสมาบัติอันประเสริฐพอดี จึงพิจารณาถึงบุคคลที่เข้าข่ายทุกข์ยากเข็ญใจที่ควรจักสงเคราะห์ ครั้นพระผู้เป็นเจ้าพิจารณาไป ก็ทราบด้วยญาณพิเศษว่า กทาชายนายกากวฬิยะกับภรรยา ของเขาซึ่งเป็นคนยากไร้ เป็นผู้สมควรจักได้รับการอนุเคราะห์มากกว่าผู้อื่น เมื่อทราบดังนั้นแล้วพระมหากัสสปเถระ ผู้มีใจกรุณา ก็จัดแจงเตรียมองค์นุ่งสะบงจีวร ถือบาตรเดินมุ่งหน้าเข้าไปสู่ตัวเมือง และไปยืนอยู่แทบใกล้ประตูเรือนแห่งกากวฬิยะบุรุษนั้น
พอดีภรรยาของเขาออกมาจากประตูเรือนอันเก่าคร่ำคร่า ครั้นเห็นพระมหาเถระเจ้าผู้มีชื่อเสียงลือชาเป็นที่เคารพสักการะแห่งองค์พระมหากษัตริย์และเศรษฐีทั้งหลาย มายืนบิณฑบาตอยู่หน้าบ้านตน ผู้เป็นคนเข็ญใจเช่นนั้น ก็บังเกิดความปิติใจ มีศรัทธาใคร่จะถวายบิ้ณฑบาตรทานแก่พระผู้เป็นเจ้า ด้วยข้าวยาคูที่ต้มเอาไว้เพื่อสามี ซึ่งขณะนี้ไม่อยู่ออกไปทำงานนอกบ้าน ทันใดที่เกิดศรัทธาขึ้นอย่างแรงกล้า นางจึงรีบออกมาจากเรือนแล้วกระทำการอภิวาทและรับเอาบาตรแห่งพระมหาเถรเจ้าเข้าไปในเรือนใส่ข้าวยาคูเปรี้ยวลงจนหม้อให้สมใจศรัทธา ไม่ได้แบ่งปันไว้ให้นายกากวฬิยะผู้เป็นสามีเลย ครั้นแล้วก็น้อมนำเอสาบาตรนั้นมาถวายแก่พระเถระด้วยความเลื่อมใสเป็นหนักหนา พระมหากัสสปเถระเจ้ารับเอาบาตรแล้วกล่าวคำอนุโมทนาแล้วเดินกลับไปสู่วิหาร น้อมนำเอาข้าวยาคูนั้นไปถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกต่อหนึ่ง
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรับเอาบาตรข้าวยาคูเปรี้ยวนั้นแล้วทรงมีพุทธฏีกาตรัสให้แบ่งแก่พระภิกษุทุกรูปที่อยู่ในวิหารนั้น เมื่อพระภิกษุซึ่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเป็นประธาน ฉันภัตตาหารและข้าวยาคูเปรี้ยวของคนเข็ญใจอยู่ด้วยความอนุเคราะห์ นายกากฬิยะผู้รู้ข่าวว่าภรรยามีศรัทธาถวายอาหารอันเป็นส่วนของตน ให้แก่พระมหากัสสปเถรเจ้าองค์อรหันต์ ก็ดีใจสุดประมาณและติดตามมาจนถึงวิหาร ในขณะที่พระภิกษุสงฆ์ฉันเสร็จพอดี ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสได้รับประทานอาหารอันเป็นส่วนที่เหลือจากพระฉันแล้วอีกด้วย
เพื่อที่จักยังความปรีดาปราโมทย์ให้เกิดขึ้นแก่คนเข็ญใจโดยยิ่ง พระมหากัสสปะเถรเจ้าจึงกราบทูลถามสมเด็จพระบรมครูสัพพัญญูเจ้าขึ้นต่อหน้านายกากวฬิยะนั้นว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคย์ พระพุทธเจ้าข้า ภรรยาของนายกากวฬีย์ผู้นี้ มีศรัทธาถวายบิณฑบาตทานกาลต่อมาเมื่อตัวนายกากวฬีย์เองทราบข่าว ก็มีจิตยินดีปรีดาในอาหารบิณฑบาตทานนั้นเป็นอย่างยิ่ง อานิสงส์แห่งทานของเขาทั้งสองในครั้งนี้จักมีประการใด พระพุทธเจ้าข้า ?”
สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า จึงมีพุทธฎีกาตรัสพยากรณ์ว่า
“ดูกรกัสสปะ ! นับแต่วันนี้ไปได้ ๗ วัน กากวฬีย์บุรุษผู้นี้ จักได้ฉัตรสำหรับเศรษฐี เขาจักได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเศรษฐีจากองค์พิมพิสารราชาบดี ในเมื่อครบ ๗ วันนับจากนี้เป็นต้นไป”
นายกากวฬิยะคนยากไร้ เมื่อได้สดับฟังพุทธฎีกาตรัสดังนั้น ก็พลันน้ำตาไหลด้วยความดีใจ ถวายบังคมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและถวายนมัสการแด่พระมหากัสสปะเถระผู้มีพระคุณและภิกษุทั้งฟหลายกลับไปบ้านแล้วบอกความที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสพยากรณ์นั้นแก่ภรรยาของตน ครั้นนางได้ฟังความที่สามีบอก ก็มีจิตชื่นใจในทานบิณฑบาตรที่ได้ถวายแก่พระมหากัสสปะเถระเจ้าผู้เพิ่งออกจากนิโรธสามบัติเป็นยิ่งนัก
ในกาลนั้นสมเด็จพระเจ้าพิมพิสารราชาธิบดีผู้เป็นใหญ่แห่งนครราชคฤห์ เสด็จราชกิจเพื่อดูขอบเขตแห่งภูเขาและประเทศอันล้อมรอบไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ถัดจากภูเขานั้นไปมีป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งประชากรทั้งหลายพากันขนานนามเรียกว่า “มหาเปตโลก” เป็นสถานที่ซึ่งมีคำเล่าลือกันว่า เป็นที่อาศัยอยู่ของบรรดาผีดุร้าย ยามราตีไม่มีผู้คนใดกล้าเข้าไปที่นั่นเลย เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมาถึงป่ามหาเปตโลก ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นนายโจรนักโทษประหารผู้หนึ่ง ซึ่งถูกลงโทษด้วยการเสียบเป็น ให้ได้รับทุกขเวทนาอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะตายไปเอง พระองค์ก็ทรงเข้าไปไต่ถามความเป็นไป ขณะนั้นนายโจรได้เหลือบเห็นพระเจ้าพิมพิสารก่อนก็ตะโกนขึ้นว่า
“ข้าแต่พระเจ้าแผ่นดิน ! มีอะไรกินบ้างหรือไม่ ถ้ามีก็รีบเอามาไว ๆ ถ้าไม่มีก็อย่าได้เข้ามาใกล้ ข้านี้เป็นโจรใจร้าย ได้รับโทษตามกฎหมายของท่านในครั้งนี้แสนสาหัสฉกรรจ์นัก”
เมื่อทรงได้ยินดังนั้น องค์นฤบดีพิมพิสารโสดาบัน ก็ยิ่งทรงมีพระทัยสงสารเป็นยิ่งนัก แล้วมีราชดำริแก่นายโจรว่า
“ดูกรเจ้าโจรเอ๋ย ! การที่เจ้ารับกรรมในครานี้เป็นผลจากการกระทำของเจ้า แต่เราก็จนใจจริงๆ เพราะไม่มีอาหารสิ่งใดติดมือมาเลย เอาเถิดเมื่อเรากลับถึงเมืองแล้ว จัดให้คนนำอาหารมาให้เจ้า”
แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับสู่พระนยคร ครั้นเมื่อถึงเวลาเสวยพระกระยาหาร พระองค์ก็คิดระลึกขึ้นได้ว่า ทรงรับคำจะนำอาหารไปให้นายโจร ด้วยกลัวว่าจะเสียสัตย์จึงมีพระราชโองการให้จัดหาคนที่สามารถนำเอาอาหารไปให้นักโทษโจรร้ายในป่ามหาเปตโลกได้ภายในราตรีนั้น จะพระราชทานทรัพย์ให้จำนวน ๑,๐๐๐ ตำลึง อย่าว่าจะไปในยามราตรีเลย เพียงแค่ได้ยินคำว่ามหาเปตโลกเท่านั้น คนทั้งหลายก็เกิดความสะดุ้งกลัว ใจคอหวาดหวั่นเหมือนกับใช้ให้ไปหาพระกาฬ ฉะนั้น จึงยากที่จะหาผู้ใดอาสาไปกระทำการ พระองค์จึงให้อำทมาตย์ทั้งหลายไปป่าวประกาศในเมืองเพื่อหาคนใจกล้าไปยังมหาเปตโลกในยามราตรีให้จงได้ ด้วยทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ายกุศลก็เข้าดลจิตภรรยาแห่งนายกากวฬิยะคนเข็ญใจเกิดใจกล้าคิดจักรับอาสา จึงออกมาจากเรือนแล้วเข้าไปแจ้งความแก่อำมาตย์เหล่านั้น และรับทรัพย์ ๑,๐๐๐ ตำลึงไว้
ในกาลนั้น ยังมียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า ทีฆฏผลยักษ์ สิงอยู่ที่ต้นตาลภายนอกมหานครมานานแล้วเห็นภรรยาแห่งนายกากวฬิยะซึ่งแต่งกายเป็นบุรุษ แบกถาดทองใส่อาหารเดินมาในยามวิกาลเช่นนั้นก็ร้องเรียกออกไปด้วยเสียงมนุษย์ว่า
“เจ้าเป็นใคร ! เหตุใดจึงกล้าเข้ามาในอาณาเขตแห่งเรา หาไม่แล้วจะเคราะห์ร้ายรู้หรือไม่เล่า แล้วจะตกเป็นภักษาหารของเรา”
เมื่อนางได้ยินก็เอ่ยวาจาขึ้นด้วยความตกใจว่า “ท่านเป็นใคร ?”
“เราเป็นยักษ์ เป็นบริวารแห่งท้าวเวสสุวรรณเทพบุตราธิบดี แล้วท่านเป็นใครล่ะ ?”
“เราเป็นราชทูตแห่งพระเจ้าพิมพิสาร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เราไปที่ป่ามหาเปตโลก ด้วยพระราชกิจรีบร้อน”
“อ๋อ…ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เมื่อครู่ท่านว่าท่าสนจะไปยังป่ามหาเปตโลก เราก็มีกิจของเราอย่างหนึ่ง ใคร่ขอวานท่านผู้เป็นราชทูตให้ช่วยกิจเราอย่างหนึ่งด้วยเถิด เมื่อท่านไปใกล้ป่ามหาเปตโลก ท่านจงตะโกนร้องประกาศด้วยเสียงอันดังว่า บัดนี้ ! นางกาลีผู้เป็นธิดาแห่งท่านสุมนะเทวราชซึ่งเป็นภรรยาแห่งทีฆฏผลยักษ์ ได้บุตรเป็นเพศชายแล้ว ! ท่านจงประกาศตามที่เราสั่งนี่แหละ ถ้าคำป่าวประกาศของท่านรู้ไปถึงสุมนะเทวราชด้วยประการใดก็ตาม เราจะให้ขุมทรัพย์ ๗ ขุม ที่เราเฝ้าอยู่ในบริเวณนี้แก่ท่าน”
เมื่อนางรับคำทีฆฏผลยักษ์แล้ว นางก็เดินไปร้องป่าวประกาศไปด้วยจนใกล้ถึงป่ามหาเปตโลก ขณะนั้น สุมนะเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่ายักษ์ทั้งหลายในป่ามหาเปตโลก ได้ให้โอวาทแก่บริวารยักษ์จบลงแล้ว ก็มียักษ์ผู้มีศักดิ์น้อยตนหนึ่ง เข้าไปกราบเรียนว่า
“บัดนี้ ! นางมษุษย์ผู้หนึ่งเดินทางมุ่งหน้ามายังป่ามหาเปตโลกและป่าวร้องว่าพระธิดาแห่งท่านให้กำเนิดบุตรชายแล้ว”
เมื่อสุมนะเทวราชได้ทราบข่าวดังนั้น ก็ให้บริวารยักษ์เหล่านั้ยนไปนำนางสตรีดังกล่าวเข้ามาถามไถ่ รวททั้งมีบัญชาให้บริวารยักษ์ไปสอบถามความจากทีฆฏผลยักษ์บุตรเขย เพื่อความแน่ใจด้วย เมื่อทราบว่าเป็นจริงดังกล่าว ก็มีใจผ่องแผ้วเป็นหนักหนาและกล่าวกับนางว่า
“ดูกรนางมนุษย์ ! ท่านผู้เป็นราชทูตแห่งพระเจ้าพิมพิสารราชาบดี อุตส่านำเอาอาหารมาให้ผู้ใกล้ตายในป่ามหาเปตโลก นับว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีใจกล้าหาญ มิหนำซ้ำยังนำข่าวหลานชายซึ่งเป็นข่าวดีมาสู่เรา ฉะนั้นเราจึงใคร่ตอบแทนท่าน สมบัติอื่นใดที่จะเหมาะสมแก่มนุษย์เช่นท่านนั้นเราหามีไม่ นอกเสียจากขุมทรัพย์อันเป็นของคนโบราณซึ่งฝังใต้ร่มไทรนี้ อันมีเราเป็นผู้ดูแลรักษาอยู่ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อเรา เราจึงใคร่ยกให้ท่านผู้เป็นมนุษย์ พรุ่งนี้จงมาขุดเอาไปเถิดเราอนุญาตให้จนหมดสิ้น”
เมื่อนางอำลาท้าวสุมนะเทวราชแล้ว ก็นำเอาถาดอาหารเดินเข้าสู่ป่ามหาเปตโลกและนำเอาอาหารป้อนสู่ปากนักโทษเสียบ ให้เขาได้บริโภคตามความปรารถนาด้วยความเมตตาสงสาร และนำเอาถาดทองเปล่ากลับมาสู่พระราชวัง กราบบังคมทูลประพฤติเหตุทั้งปวง รุ่งขึ้นสมเด็จพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นใหญ่ ตระเตรียมเกวียนหลายเล่มและออกเดินทางสู่บริเวณขุมทรัพย์ โดยมีสตรีผู้กล้าเป็นผู้นำทาง เมื่อเจ้าพนักงานพากันขุดตามที่นางชี้บอกก็พบทรัพย์สมบัติมหาศาลของแผ่นดินดังที่นางกล่าวไว้ เมื่อขุดสมบัติเสร็จสิ้นแล้ว พระเจ้าพิมพิสารก็ได้ประชุทมหมู่พฤฒามาตย์ราชปุโรหิตาจารย์ทั้งหลาย ทรงปรึกษาราชกิจว่าควรจักทำประการใด ราชปุโรหิตาจารย์ทั้งหลายลงมติกราบทูลว่า
“นางควรจักได้รับ ฉัตรเศรษฐี แต่ด้วยนางเป็นสตรี จึงควรพระราชทานฉัตรเศรษฐีให้แก่สามีของนางตามเยี่ยงอย่างประเพณี เพื่อที่นางจักได้เป็นใหญ่ในเรือนเสวยความสุขโดยความเป็นเศรษฐีสืบไป”
พระราชาทรงเห็นด้วยกับคำกราบทูลนั้น จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้นาบกากวฬิยะเป็นเศรษฐีประจำแผ่นดิน มีพระราชทินนามว่า “ธนเศรษฐี” แล้วทรงพระราชทานฉัตรเศรษฐีให้แก่เขาเป็นเกียรติยศ
ด้วยความตั้งใจที่จะบริจาคทานแม้จะทุกข์ใจยากเข็ญสักเพียงใด ท่านทั้งสองก็ยังเลื่อมใสศรัทธายึดมั่นในคุณแห่งพระพุทธองค์ นับเป็นตัวอย่างของพุทธศาสนิกชนอันดี ดังนั้นในฐานะที่เราท่านทั้งหลายก็เป็นลูกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เราควรรวมมือร่วมใจกันประสานสามัคคีประกอบความดีให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ร่วมกันสานต่ออายุพระศาสนาเพื่อลูกหลานผู้เป็นอนาคตของชาติ ให้รู้จักระลึกถึงคุณแห่งพระรัตนตรัย และด้วยเดือนนี้เป็นเดือนแห่งวันอาสาฬหบูชาเทศกาลเข้าพรรษา ผู้เขียนขอเชิญสาธุชนทุกท่านร่วมกันสั่งสมบุญสร้างบารมี ด้วยการสร้างลานกระเบื้องรอบมหาธรรมกายเจดีย์ร่วมกัน เพื่อจะได้เป็นถาวรวัตถุพุทธสถานอันจะดำรงไว้ซึ่งอายุแห่งพระพุทธศาสนาสืบไป

กาญจน์มุนี (Roytavan)[/size]

#2 chai189

chai189
  • Members
  • 275 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 January 2009 - 08:21 PM

สา....ธุ

#3 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 January 2009 - 10:12 PM

อนุโมทนาในธรรมทานครับ
ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#4 สุรชัย (กัปตัน)

สุรชัย (กัปตัน)
  • Members
  • 407 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 January 2009 - 01:40 AM

ขออนุโมทนาบุญครับ

#5 ปานสิญา

ปานสิญา
  • Members
  • 128 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 08:00 PM

อนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ
 "ไม่มีอะไรใหม่  ต้องแสวงหาอีกแล้ว  เพราะใจของฉัน  มีพระแก้วใส"

#6 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 January 2009 - 04:05 PM

นับเป็นผลบุญอันอัศจจรรย์ทันตาเห็น...จากการถวายทานแด่พระอรหันตเจ้าผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ...เช่นเดียวกับนายปุณณะ
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#7 *you*

*you*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 08 December 2010 - 03:18 PM

อนุโมทนาครับ