ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

-ข้าวเกรียบกระทู้เก่า : สูตรสำเร็จ (ฟ้าร้าง)


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Kodomo_kung

Kodomo_kung
  • Members
  • 323 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 07 February 2009 - 10:31 AM

อ่านแล้วดีก็เลยคัดมาให้สมาชิกได้อ่านกัน เครดิต ฟ้าร้าง

มี เพื่อนคนนึงเคยบอกว่า เขาอ่านหนังสือเล่มนึง เขาบอกวิธีฝึกช้างของประเทศอินเดียว่า ตอนลูกช้างมันตัวเล็กๆ ยังดื้อ เจ้าของจะผูกมันไว้กับเสาขนาดใหญ่ แล้วล่ามมันไว้กะโซ่เส้นโตๆ แล้วพอมันจะหนีก็หนีไม่ได้ มันพยายามดึงเท่าไรโซ่เส้นนั้นก็รั้งมันเอาไว้ มิหนำซ้ำ ควาญช้างก็ยังจะ เอาตะขอมาสับหัวมันอีก

มันทำอย่างนี้จนเรียวแรงหมด มันก็ไม่สามารถหลุดอกไปได้ จนมันโตขึ้น ตัวใหญ่มหาศาล แต่สัญชาติญานแห่งการเรียนรู้ว่า "มันทำอะไรไม่ได้" ก็ยังฝังอยู่ในสมองของมัน จนมันโตขึ้น มีเรียวแรงที่จะโค่นแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ๆ แต่มันก็ไม่หนีไปไหนเพราะมัน "คิด" ว่า มันไปไหนไม่ได้ เจ้าของแค่ผูกมันไม้กับท่อไม้เล็กๆ มันก็ยืนนิ่งจนไม่ไปไหน

คนเราก็เหมือนกัน ค่ะ ตอนเด็กๆ เราจะเคยถูกถามกันมาบ้าง หรือ เห็น คนนั้นคนนี้บ้าง แล้วบอกกะตัวเองว่า อยากเป็น หมอ มั่ง ทหารบ้าง วิศวกรบ้าง คนรวยบ้าง อะไรสารพัด "แต่" จะมีซักกี่คนที่สามารถ ก้าวตามความฝันของตัวเอง จนถึงทุกวันนี้ได้ เพราะว่า เราเอง จะเจอกับอุปสรรคมากมายในชีวิต ของเราที่ผ่านเข้ามาแล้วทำให้เกิด "ความล้มเหลว" ซึ่งทุกๆครั้ง ความล้มเหลวนี้นำมาซึ่งความเจ็บปวด รวดร้าว รันทดในใจ จนบางครั้ง มันกลายเป็นความเหลวแหลกของชีวิต

และเราก็ไม่กล้าที่จะ "คิด หรือ ทำ อะไรใหม่ๆ เพราะกลัวว่า เราจะผิดพลาด" ซึ่งบางครั้ง ความคิดแบบนี้เราถูกปลูกฝังมันขึ้นมาตั้งแต่ยังเด็กๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยก็ว่าได้ เ่ช่น ในขณะที่เรายังเล็ก เราจะเล่นอะไรก็ตามจะมีเสียงผู้ใหญ่ ดุมาแต่ไกลว่า "อย่า...าาา" สิ่ง เหล่านี้มันกลายเป็นจิตใต้สำนึกลึกๆที่ โปรแกรมไว้ในความคิดเราว่า "เราอย่าทำมัน" ซึ่งบางครั้งเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ทำๆ ตามกันมามันถูกหรือผิด

จนกระทั่งเราโตขึ้นมา เราเรียนหนังสือ เราทำงาน เราคบเพื่อน เราทำโ่น่นทำนี่ "แล้วเราเจ็บ...และ ปวด....กับการกระทำเหล่านั้น" สิ่งเหล่านี้ประกอบกับการที่เราถูกตอกย้ำมาเรื่อย มันกลายเป็นโปรแกรมของคำว่า "ทำไม่ได้" โดยที่เราไม่รู้ตัว

จนนานวันเข้า ความหวัง ความฝัน เป้าหมายที่เรากำหนดไว้ มันเลือนลาง มันค่อยๆจางหายไป แล้วก็บอกกับตัวเอง (หรือปลอบใจ) ว่า "ที่เราเป็นอยู่มันก็โอเคแล้ว ยุคนี้เศรษฐกิจพอเพียง ทำอะไรเจียมเนื้อเจียมตัวไว้แหละดี" แล้วเราก็เหมือนกับช้างตัวโตๆ ที่ถูกผูกไว้กะเสาเล็กๆ แต่ไม่ยอมสลัดมันออกไป แม้ว่าเราจะมีพลัง และศักยภาพภายในแค่ไหนก็ตาม


จากความเดิมตอนที่แล้ว ใครเป็นลูกช้างบ้าง ยกมือขึ้น ?

ฟ้าร้างว่า มีหลายๆ คน ที่ตอนนี้เป็นลูกช้างอยู่ และกำลังคิดจะสลัดโซ่ตรวน แปลงร่างเป็นต้นตระกูลช้าง แม่ช้างนั่นเอง กัน (หากทุกคนทำตามวิธีที่ฟ้าร้างกำลังจะพูดต่อไปในวันนี้) ก็ไม่รู้จะไปสรรหาคำไหนที่จะทำให้เข้าใจว่าสิ่งใดก็ตามที่มันมาแบบไม่บัันยะ บันยัง มันเป็นอย่างไร มากไปกว่าคำว่า โคตรโคตร อีกแล้ว

----------------------------------------------------------------------------------
มาอ่านต่อให้จบตอนกันดีกว่า ว่า "สูตรสำเร็จ" ของทุกสิ่งทุกอย่าง มันคืออะไร
ขอย้ำ...โปรดอ่านจนจบกระทู้ค่ะ

คนที่เขาประสบความสำเร็จ เขาทำกันอย่างไร[/size]
[size="4"]1. ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่เข้าไว้
2. ลงมือทำทันที ณ บัด Now
3. ทำอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ถอนถอย แม้ว่าจะพบกับอุปสรรคอันใดก็ตาม


จะสังเกตได้ว่า ไม่มีใครเลย ที่ประสบความสำเร็จโดยปราศจาก 3 ข้อดังกล่าวนี้

โทมัส อันวา เอดิสัน ผู้ค้นพบวิธีผลิตหลอดไฟฟ้า เคยบอกไว้ว่า
QUOTE
ผม ไม่ใช่คนเก่ง...
แต่ ผม แค่เรียนรู้วิธีที่ผลิตหลอดไฟฟ้าไม่ได้ แค่เพียง 3000 กว่าวิธีเท่านั้นเอง ซึ่งมันทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า มีแค่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้หลอดไฟติด

จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นคนค้นพบวิธีทำหลอดไฟหรอกนะคะ เขาเป็นเพียงคนที่ไปเอาวิธีของคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว มาทำต่อน่ะเอง จนทำให้ไฟติดต่อเนื่องยาวนาน จนนำมาใ้ช้กันในอุตสาหกรรมและครัวเรือน จนเขากลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในยุคนั้นจนสืบต่อมาอีกเป็นพันปี และนอกจากนี้ผลงานของเขา่ได้รับการจดสิทธิบัตรมากกว่า 1000 ชิ้น

อีกอันนึง

ชาย หนุ่มคนนึง เป็นทนายความกิ๊กก๊อก ที่ว่าความไม่เคยชนะเลย วันๆ เอาแต่โอ้อวดตัวเอง ไปวันๆ และก็ใช้เวลาไปเที่ยวตามที่อโคจรทั้งหลาย แต่วันนึงในขณะที่ความคิดเขาตกผลึก เขาได้สลัดคราบของชายเสเพลในอดีต กลายเป็นผู้มีอิทธิพลต่อคนนับล้านทั่วโลก คนกว่า 30 ล้าน คนยินยอมทำตามเขา พระราชา ประธานาธิบดี ผู้นำประเทศทั่วโลกต่างรอคอยที่จะได้ทานข้าวกับเขา แม้ซักมื้อนึง
ชื่อของเขาคือ มหาตมะ คานธี ชายหนุ่มร่างเล็ก ผอมแห้งแรงน้อย แต่หัวใจของเขาแข็งแกร่งประดุจเหล็ก ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรค ใด เป็นบุคคลที่ใช้เวลาทั้งชีวิต แลกมาด้วยเสรีภาพในอินเดีย

อีกคนนึง

ตา แก่วัยเกษียณ หลังจากเก็บเงินบำนาญในชีวิตข้าราชการก้อนสุดท้าย ก็เอามาเปิดร้านขายไก่ทอด เขาเดินขายสูตรไก่ทอดไปทุกที่ในเมืองของเขา และเมืองใกล้เคียง แม้จะเดินขายสูตรเป็นปีๆ และมากกว่า 1000 แห่งที่เขาไปเสนอขาย ก็ไม่มีคนสนใจเลยแม้สักรายเดียว แต่ในที่สุด มีคน แค่ 1 คน สนใจสูตรของเขา และจากจุดนั้นเอง ทำให้เขาเป็นราชาอาหารจานด่วนชื่อก้องโลก ชาวโลก รู้จักเขาในนาม
ผู้พัน แซนด์เดอร์ หรือ เจ้าของ ไก่ทอด KFC นั่นเอง

สุดท้าย

ในพิธีจบการศึกษาของนักศึกษา วิทยาลัยทหาร ของอังกฤษ อดีตนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล ได้ รับเชิญมาบรรยายในงานนั้น เขาเดินเข้าห้องประชุมด้วยวัย 80 กับชุดสูทสีดำ และหมวกทรงสูงตามสไตล์เมืองผู้ดี ในขณะที่ทุกคนเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงไม้เท้าของตาเฒ่าผู้กรำศึก เขายืนอยู่หน้าไมค์โครโฟน แล้วเริ่มพูดปาถกฐา ของเขาด้วยเสียงอันดังว่า

อย่า......อย่ายอมแพ้ เขาเงียบ นิ่ง ไม่พูดอะไรไป 30 วินาที แล้วพูดต่ออีกว่า
อย่า......อย่ายอมแพ้ เขาเงียบ นิ่ง ไม่พูดอะไรไปอีก 60 วินาที แล้วพูดต่ออีกว่า
อย่า......อย่ายอมแพ้


แล้ว เขาก็เดินก้าวลงจากเวทีทันที โดยไม่พูดอะไรอีกเลย แม้แต่คำเดียว ทุกคนอึ้ง เงียบ ไม่นึกว่าจะเป็นการปราศัยของผู้นำประเทศ แต่ตลอดเวลา 90 วินาที ที่เขากล่าวออกมานั้น ได้ระเบิดจิตใจ ของนักเรียนนายร้อยทั้งหลายให้ ฮึกเหิมยิ่งกว่าคำพูดเป็นร้อย เป็นพัน

นี่คือคนที่ประสบความสำเร็จใช่หรือไม่ ?

ก็ตอบว่าใช่
แล้วคนที่ประสบความสำเร็จคืออะไร
คำตอบคือ คนที่ล้มเหลวมาแล้วอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ยอมล้มเลิกไปก่อนเท่านั้นเอง


------------------------------------------------------------------

ต่อเลยนะครับ Credit to http://bodyfit.exteen.com .... คือไปก๊อบเค้ามาน่ะครับ wanwan012

ถึงยาวหน่อย ....แต่ได้อ่านแล้วต้อง wanwan003


ผม ขอเอาอันเดิมมาด้วยรวมไว้ด้วยเลยนะครับ ที่หายนานเนี่ยเพราะเรื่องตั้ง 45 เรื่องรวมกันแล้วมันยาวมากเลยนะ ผมเลยพยายามลดทอนให้สั้นลงแต่ยังคงอ่านเข้าใจน่ะครับ แต่มันยังยาวอยู่ดี ฉนั้นคราวนี้ผมขอลง 1 - 10 ก่อนครับ
----------------------------------
ออกตัวกันก่อนว่า เมื่อครั้งยังเรียนผมเป็นเด็กที่ไม่ใช่เด็กเรียน หรือคนในกรอบนักหรอก เพราะต้องพยายามหาตังค์ในระหว่างเรียนด้วย เหตุผลก็ไปดูได้จากตรงนี้ แต่โชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตผมคือการได้มีโอกาศรู้จักกับคนกลุ่มหนึ่งที่จาก การทำกิจกรรมในระหว่างเรียน การพบคนเหล่านี้ทำให้มุมมองหลาย ๆ อย่างในชีวิตของผมเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง โดยมันมาจากการพูดคุยกับท่านเหล่านั้น พวกท่านเป็นกลุ่มเศษรฐีใหม่ ที่รวมกลุ่มกันและผมก็มักได้รับความเอ็นดู ให้ไปร่วมฟังการสนทนา อยู่บ่อย ๆ มันจึงเป็นที่มาของ 45 โยคเด็ดในชีวิตผม ซึ่งผมยังคงจดบรรทึกไว้เพื่อ เอาออกมาอ่านอยู่เสมอ เพื่อเตือนใจตัวเอง

1. 23 พฤษภาคม 2542
ผมไปนั้งในกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มหนึ่งในฐานะเด็กที่มาช่วยงาน ทุกคนกันสนุกมาก แล้วก็หันมาถามผมว่า "แล้วจบไปจะไปทำงานอะไร" ..... ผมคิดไว้ตั้งแต่เป็นเด็กจะไม่ทำงาน ผมตอบไปว่า "ผมจะสร้างงานเองครับ" หลังผมตอบ ทุกคนเงียบมองหน้ากัน แล้วปล่อยก๊าก อย่างเฮฮาออกมา ผมถึงกับหน้าถอดสี นี่ความคิดกูมันน่าขำ อย่างนั้นเลยเหรอวะ ? แต่แล้วผมก็ถูกคนที่นั้งอยู่ข้าง ๆ ตบหลังเบา ๆ ทั้งที่คนตบยังหัวเราะอยู่ "ดี...พี่ชอบความคิดเธอมาก ทุกคนที่นั้งอยู่ที่โต๊ะนี้ก็เคยคิดอย่างเธอนี่แหละ" มันทำหัวใจผมพองโตเลยล่ะ



2. ปลายมิถุนา 2542
ผมเริ่มเป็นที่ถูกชะตาของผู้ใหญ่กลุ่มนี้ พวกท่านมักชวนผมไปเดินเล่นด้วยเวลาไปตีกอล์ฟ หรือไปทำบุญ หรือไปทำการกุศล แต่ไม่ใช่ในฐานะเด็กมาช่วยงาน พวกท่านมักบอกกับทุกคนว่า ผมเป็นลูกหลาน วันนั้นผมถูกชวนไปงานเลี้ยงรับปริญญาเอก ลูกสาวเพื่อนของท่าน งานทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ในงานมีข้าราชการชั้นผุ้ใหญ่หลายคน มีแต่คนที่ ดร. รศ. ผศ. ศ. หรืออะไรก็ไม่รุ้อีกเยอะแยะ มันน่าชื่นชมมากสำหรับคนเรียนไม่เก่งอย่างผม ในตอนกลับผมได้มีโอกาศคุยกับท่่านเยอะหน่อยเพราะเป็นการขับรถข้ามจังหวัด ใรการสนทนาเยอะแยะที่เกิดขึ้น ผมพูดขึ้นว่า "ผมอยากจะเรียนสูง ๆ อย่างนั้นบ้างจัง" ผมก็ถูกถามสวนกลับมาทันที "ใหนว่าจะสร้างงานไง" ผมก็แปลกใจนะ "เพราะเรียนสูง ๆ ไปสร้างงานไงครับ" ท่านก็ถามกลับแบบเป็นคำตอบในตัวมาเลย "แล้วเห็นอาจารย์ สอนวิชาเศษรฐศาสตร์ กับวิชาการลงทุน หรือการเงิน ทำธุรกิจแล้วรวยกันบ้างมั้ย พวกนั้นจบ ด็อกเตอร์กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ?" เออแหะ... แต่ผมก็ต้องถามเพราะผมยังสงสัยด้วยวัยของผม ผมถูกที่บ้านสอนมาตลอดเรืองการเรียนว่ามันทำให้เรารวย "อ้าว ! .... งั้นเราก็ไม่เรียนก็ได้สิครับ" ผมว่าท่านก็ใจดีนะครับ ผมเองมาคิดถึงตัวเองในวันนนั้นยังว่าตัวเองน่าลำคาญเลย "วุฒิการเรียนน่ะ จำเป็นสำหรับลูกจ้างเท่านั้นแหละ เคยเห็นใบประกาศที่ใหนกำหนดวุฒิเจ้าของกิจการหรือเปล่าล่ะ" "งั้นก็ไม่จำเป็นต้องเรียนสิครับ ?" "ไม่ใช่ทั้งหมด...... การเรียนน่ะไม่สำคัญเท่าการศึกษาหรอก เรียนต้องรอคนสอน ศึกษาคือหาเอง คนเราก็จำเป็นต้องเรียน ไม่งั้นจะศึกษาได้ไง แต่ถ้าจมอยู่กับการเรียน เราจะไม่รู้จักศึกษาอไรเลย" ผมอาจเขียนตกไปบ้าง แต่ท่านพูดประมาณนี้จริง ๆ มันให้ผมเห็นอะไร เปลี่ยนไปอีกแล้ว



3. ช่วงนี้ผมต้องทำงานส่งอาจารย์ ใหนจะงานชมรม ใหนจะงานส่วนตัวที่รับเค้ามาทำ ใหนจะเวลาต้องให้กิ๊ก(ก็คนปกติคนหนึ่งต้องมีบ้างแหละ) แค่ 3-4 อย่างมาพร้อม ๆ ผมก็แทบจะบ้า แต่ผมก็ต้องมาแปลกใจเมื่อเห็น เฮียคนหนึ่งในกลุ่มผุ้ใหญ่ที่ผมรู้จัก ทำงานตั้งมากมายหลายอย่าง แล้วยังสำเร็จทุกอย่าง แล้วยังเห็นแกก็มีเวลาไปทำบุญ ไปบริจาคของช่วยคน ทั้งยังไปเล่นกีฬาออกกำลัง แล้วยังมีเวลาให้ครอบครัวที่อบอุ่นได้อีกตะหาก กระทั่งวันหนึ่งผมมีโอกาสได้พูดคุยกับเฮีย หลังการเอาวัสดุก่อสร้างไปช่วยชาวบ้านซ้อมสะพานที่โดนน้ำซัดพังไป(พวกข้าราช มีไว้ทำไมผมก็ยังแปลกใจ) เสร็จธุระเรากลับมาเดินเล่นด้วยกันอีก 9 หลุม ได้โอกาสผมเลยต้องถามสิ่งที่สงสัยมานาน "เฮียครับ ผมเห็นเฮียทำอะไรบ้างก็ไม่รู้นับอย่างแทบไม่ถ้วน แล้วเฮียเอาเวลาที่ใหนไปทำครับเนี่ย" "คนทุกคนมีเวลาเท่ากันนั่นแหละ เฮียก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากับทุกคน เฮียเห็นคนส่วนมากชอบบ่นว่าไม่มีเวลา แต่พอมีเวลา เฮียก็ไม่เห็นเขาทำอะไร นอกจาก ฆ่าเวลา" จบปัญหาคาใจไปเลยครับ กระจ่างชนิดที่มีแสงออกมารอบตัวผมตอบนั่นเลย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่เคยฆ่าเวลาอีกเลย(บางทีก็เผลอบ้างแหละครับ) จนผมถูกคนรอบ ๆ ข้างมองว่าเป็นตัวประหลาดก็บ่อย ๆ


4. ตอนนี้อยู่ปี 4 แล้วผมต้องทำงานมากขึ้น ทั้งงานเพื่อการเรียน งานเพื่อเงิน และงานเพื่อหัวใจ ผมแทบไม่ได้เห็นหน้าเพื่อน ๆ ร่วมชั่นเรียน เพราะนอกจากเวลาที่ผมต้องไปเรียนแล้ว และเวลาที่เธอมาเรียน(ผมชอบไปเพื่อมองเธอ) ผมก็จะไม่เข้าไปที่ภาควิชาเลย ผมเริ่มเหนื่อย ผมเริ่ม เบื่อ ผมเริ่มท้อ วันหนึ่งผมได้มีโอกาสปรับทุกข์กับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เพราะผมขอติดรถไปต่างจังหวัดกับท่านด้วย "ผมล่ะเหนื่อยมากเลยครับอา คนอื่นได้หยุดพักผ่อนเสาร์ อาทิตย์ ได้ไปเที่ยว แต่ผมทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้" เราคุยกันมาหลายประโยค ตลอดเส้นทายนับร้อยกิโลที่ผ่านมา แต่พอผมเริ่มแสดงอาการท้อ ท่านก็สั่งให้คนขับรถขับข้าลง "วันหยุด ใครกำหนดล่ะหนวด(ผู้ใหญ่หลายท่านเรียกผมแบบนี้เพราะผมมีหนุดเคราเยอะบางที ยุ่งกับงานจนไม่ค่อยได้โกน เลยมักถูกเรียกว่าหนวด) " "ก็เรานี่แหละครับอา" "อืมใช่.... แล้วเรายังจะไปเป็นทาสสิ่งที่เราสร้างขึ้นรึไง ?" เหมือนโดน อา กระโดดถีบ ยอด อก เลยครับผมเลิกบ่นเรื่องนี้ในทันที และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเลยครับ


5. ความท้อที่ยิ่งใหญ่ : ผมหมดไฟอย่างสิ้นเชิงหลังจากรู้ชะตาว่า ผมคงไม่ได้จีบหญิงคนนั้นที่ผมหวัง ถึงจะทำงานหนักแค่ใหนก็ตามที ผมหยุดทำงานในสุดสัปดาห์ ไปเดินเล่นกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เพราะระหว่างเดินเล่นกันผมมักได้ฟังท่านเล่าอะไรดี ๆ ให้ฟังเสมอ แต่ครั้งผมถามก่อนเลย "คุณลุงครับ ผมจะทำยังไงกับอนาคตผมดีครับเนี่ย ผมฝันไกลไปหรือเปล่าก็ไม่รู้" "ฉันจำได้ว่า นายพูดว่าจะสร้างงาน ไม่ไปของานใครทำ มันก็ดีแล้วนี่ ทำไมเหรอ คิดจะเลิกแล้วเหรอ" "ผมกลัวผมทำไม่ได้สิครับ" "รู้ว่าจะล้มเหลวก็ต้องทำต่อ" "อ้าว ! ทำไมล่ะครับ แบบนี้ก็เสียเวลาเปล่าสิครับ" "ถ้านายเลิกสิเสียเวลาชีวิตไปเปล่า ๆ ถ้ามันดีแล้วทำไปเถอะ นายหวังไกลเกินคนอื่น ก็ต้องเหนื่อยเกินคนอืน เป็นธรรมดา คนอื่นตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ 10 กม. อีกไม่นานพวกเขาก็จะประสบความสำเร็จ แต่นายตั้งไว้ 100 กม. นายอาจล้มเหลวจนลุกไมได้ตอน กม. ที่ 50 ที่นั่นก็แปลกว่านายมาไกลกว่าคนอื่นมากแล้ว จำไว้นะ ความล้มเหลวของยอดคนน่ะ ยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จคนธรรมดา เสมอ" คิดแล้วผมล่ะทุเรศความอ่อนแอตัวเองในตอนนั้น


6. พอผมเริ่มทำงาน มีผุ้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำให้ผมเป็นลูกจ้างลองดูซักครั้ง แล้วโลกจะกว้างขึ้น "ทำไมล่ะครับพี่ ผมตั้งเป้าของานใครทำนะ ผมจะสร้างงาน" "ใช่นั่นอุดมการณ์ของแก แต่แกรู้มั้ย อุดมการณ์น่ะทำให้มุ่งมั่นแบบนี้ก็ดีแล้ว แต่บางครั้งอุดมการณ์ก็ทำให้โลกทัศน์ของแกแคบลงเลื่อย ๆ ได้เหมือนกันนะ รองทำในสิ่งที่ไม่ยากหรือคบกับคนที่เขาคิดต่างกับเราดูสิ" ok เลย ผมไปสมัครงานเป็นลูกจ้างในวันต่อมาเลย แล้วก็จริง ๆ นั่นแหละมันให้อะไรมากเลย


7. เป็นลูกจ้างมา 6 ที่ใน 1 ปี ... ผมทำหลายที่พร้อมกันน่ะครับ ไม่ใช่ออกงานบ่อยนะ ผมก็สังเกตุเห็นอย่างหนึ่งในสังคมการทำงาน ที่แก่งแย่งชิงดี จนผมได้กลับไปพบกับผู้ใหญกลุ่มนี้ เพราะทุกคนไปในงานวันเกิดของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งกลุ่มนี้ "เห้ย.. เป็นไงวะ รองทำงานเหมือนที่ ไอ้...แนะนำหรือยัง" "ทำแล้วครับเฮีย" "ดูสีหน้าตอบสิ พี่ว่าดูจะไม่ชอบเอามาก ๆ เลยสิท่า"ผุ้ใหญ่อีกท่านแซวต่อ "ก็มันน่าเบื่อนี่คครับ ทะเลาะกัน ขายกัน แทงข้างหลังกัน เพื่อแลกกับเงินไม่กี่บาทน่ะครับ" "นี่แหละหนวด มันคือสัตว์สังคมล่ะ ทุกคนน่ะอยากอยู่เหนือคนอื่นเสมอ แต่วิธีที่ทำให้เราอยู่เหนือคนอื่นมันมีแค่สองวิธี วิธีแรกคือพัฒนาตัวเองจนสูงขึ้นไป ส่วนวิธีที่สองคือดึงให้คนอื่นตกต่ำลงไปกว่าเรา ........ แล้วคนส่วนมากเลือกใช้วิธีที่สอง" อืม.... เข้าใจ สัตว์สังคมเลยแหะ smiley"


8. ปีที่ 2 ผมเริ่ม เอาเงินเก็บตัวเองที่มีเก็บออมไว้มาหัดลงทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ ..... ผ่านไปจนกระทั่งหมดปีที่สอง ผมล้มเหลวในทุกการลงทุน ! ..... ยังดีที่ทุกสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนผมยังมีโอกาศได้พี่พบเลี้ยงในสนามลงทุนของผม ผมไปเดินเล่นกันแต่เช้าเหมือนทุกครั้ง "เห้ยเป็นไงวะ คราวนี้ผลประกอบการเป็นไง ?" คำตอบก็เหมือนทุกครั้ง "เหมือนเดิมครับ" "เออดี ๆ งั้นปีนี้รวมแล้ว 5 อย่างแล้วสิ" "ครับ... T_T" พี่ก็ว่าดีทุกครั้งนั่นแหละ จะบ้าตาย "แล้วเมื่อไหร่ผมจะสำเร็จบางล่ะพี่" "ก็เอาไว้เอ็ง เจ๊งจนสาแก่ใจนั่นแหล่ะ" นั้น... ยังมาตอบกวนซะงั้น ฟาดด้วยหัวไม้ดีมั้ยเนี่ย "โหพี่.... คำตอบพี่ทำผมท้อแล้วนะเนี่ย" "555 .... พี่ตอบจริง ๆ นะโว้ย ก็พี่เห็นเองไม่เบื่อที่จะเจ๊งซักที จะทำอะไรก็เอาเงินไปวาง แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไป ไม่ได้ไปใส่ใจอะไรกับมันนี่หว่า การลงทุนน่ะไม่เหมือนการหยอดกระปุกออมสินนะ ไอ้บ้า!" ก็เพราะแบบนี้แหละครับ การลงทุนครั้งต่อมาของผมถึงได้ ไม่เจ๊ง


9. ผมเริ่มลงทุนทำธุรกิจแล้วได้กำไรเป็นครั้งแรก ผมดีใจมาก ๆ ผมรอวันไปเดินเล่นครั้งหน้ากับผุ้ใหญ่ในคราวหน้า "ผมได้กำไรแล้วครับ ดูท่ามันจะพาตัวเองไปได้แล้ว" "อืม...ดีแล้ว ว่าแต่เธอจะทำอะไรต่อล่ะ" "ผมกะจะดูตัวนี้รอดก่อนครับ เดี่ยวล้มอีกจะแย่เอา" "ไม่ต้องรอหรอก ลงมือเลย ได้จะได้รู้ไงว่า ถ้าต้องทำหลายอย่าง จะต้องดูแลมันยังไง" "เอ้า !... มันเพิ่งสำเร็จนะครับเฮีย... ถ้ามันล้มขึ้นมาจะทำไงล่ะครับ" "ก็ดีสิ จะได้ประสบการณ์ไง" เวรกำ...พยายามมาตั้งนานสูญเงินเก็บไปค่อนล้านไม่เห็นคุณค่าความพยายามผมเลย เหรอเฮีย T_T "ทำเถอะอายุเท่านี้เรียนรู้ให้ครบซะ พอโตขึ้นจะได้เป็น เด็กน่ะเดินได้เพราะเขาลองเดินเองนะ ไม่ใช่เพราะดูพ่อแม่เดินให้ดูอย่างเดียว" แต่ผมก็บ้ายุแหะ ทำตามเค้าบอกเฉยเลย


10. แน่นอนครับ ผมล้มอีกครั้ง ทั้งกิจการใหม่พร้อมกิจการที่เพิ่งสำเร็จไป รอบนี้เซ็งแบบโคตร ๆ กะไม่อะไรอีกแล้ว พอดีไปได้งานประจำที่รายได้ดีมาก ๆ งานหนึ่ง ผลเลยหลงลืมคำพูดตัวเองไปซะแล้ว ผลไม่ได้ไปออกรอบทุกสัปดาห์ที่ 3 กับทุกคนมา 4 เดือนแล้ว เพระาผมกำลังสนุกกับงาน และไม่อยากไปหาทุกท่านตอนนี้ เพราะผมคงโดนต่อว่าเอา ในที่สุดผมไปพบกับผุ้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง "อ้าว... สวัสดีครับคุณอา" "อืมสวัสดี.... หายหน้าหายตาไปใหน ทุกคนถามถึงกันนะ รู้มั้ยนายไม่อยู่ทุกคนมีเวลาเดินคุยกันน้อยลงนะ " คือผมตีลูกเข้าป่าบ่อย ๆ น่ะครับ ก๊วนผมก็เลยช้ากว่าชาวบ้านเค้า "ปะ ..ไปนั้งโต๊ะเดียวกับเฮียก็ได้ ลูกค้าเฮียกลับกันหมดแล้ว" เรานั้งคุยกันมาราว ๆ 3 ชั่วโมงแล้ว ซึ่งจาการสนทนานี้ทำให้ผมตัดสินใจลาออกในอีก 4 เดือนต่อมา เพราะผมประโยคหนึ่ง "ชีวิตคนเรา ทำงานรอวันเกษียน ซึ่งนั่นเป็นการเกษียนจากรายได้ แต่เขาลืมนึกไปว่ามนุษย์เราไม่มีใครเลยที่เกษียนจากรายจ่าย"

ไฟล์แนบ



#2 อาม่า

อาม่า
  • Members
  • 218 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 February 2009 - 12:43 PM

อ่านกระทู้นี้ ไฟลุกพรึ่่บเลย.....



#3 chai189

chai189
  • Members
  • 275 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 February 2009 - 02:37 PM

อืมมมมมม..คุ้มค่ากับการเสียเวลาอ่านครับ
เอาไปเลยเต็มสิบ...เหมาะกับตอนนี้เลย..ต้องมีกำลังใจและคิดเป็น

#4 tnawut

tnawut
  • Moderators
  • 2398 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Laksi
  • Interests:Internet, Computer, Electronic, Security, Merit, Meditation, อินเตอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, ทำบุญ, ปล่อยปลา, บูชาเจดีย์, ฝันในฝัน, DOU, หมู่บ้านปฏิบัติธรรม, บวช, บรรพชา, Web, CU, Chula

โพสต์เมื่อ 07 February 2009 - 09:23 PM

smile.gif

ได้ประโยชน์เยอะเลยครับ

#5 Happy Dream

Happy Dream
  • Members
  • 243 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 February 2009 - 12:27 AM

QUOTE
"ชีวิตคนเรา ทำงานรอวันเกษียน ซึ่งนั่นเป็นการเกษียนจากรายได้ แต่เขาลืมนึกไปว่ามนุษย์เราไม่มีใครเลยที่เกษียนจากรายจ่าย"


โดนใจจังเลยประโยคนี้ กำลังมีความคิดเบื่อหน่ายกับชีวิตการทำงานมากๆ เลย

อยากอ่านตอนต่อๆ ไปจังเลยค่ะ happy.gif




เราให้กำลังใจใคร กำลังใจนั้นจะบังเกิดขึ้นในตัวของเรา

มันจะขยายเป็นพลังอนันต์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจะยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก



#6 Tree

Tree
  • Members
  • 2076 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 February 2009 - 12:34 AM

ดีจังเลยครับ

#7 ดอกอุบล

ดอกอุบล
  • Members
  • 926 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 February 2009 - 03:14 PM

อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจสู้ชีวิตมากขึ้นเยอะเลย