อย่าลืม! สืบสาน มาฆบูชา
เริ่มโดย thaikids072, Feb 09 2009 11:52 AM
มี 5 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 09 February 2009 - 11:52 AM
9 กุมภาพันธ์ 2552
วันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง
ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง วันมาฆบูชาถือว่าเป็นวันพระธรรม
ขณะที่วันวิสาขบูชาถือว่าเป็นวันพระพุทธ ส่วนวันอาสาฬหบูชา เป็นวันพระสงฆ์
วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 3 หรือประมาณราวเดือนกุมภาพันธ์
แต่หากเป็นปีอธิกมาส (ปีที่มีเดือน 8 สองหน) วันมาฆบูชาจะเลื่อนไปเป็น
วันขึ้น 15 ค่ำกลางเดือน 4 หรือประมาณเดือนมีนาคม
ปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552
วันมาฆบูชา ย่อมาจากคำว่า "มาฆปุรณมีบูชา" แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน 3
คำว่า “มาฆะ” เป็นชื่อของเดือนที่ 3 ของอินเดียโบราณ
ถือเป็น "วันจาตุรงคสันนิบาต" แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ 4
ซึ่งเป็นเหตุการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้นพร้อมกันในสมัยพุทธกาล คือ
1. พระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป ซึ่งจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสถานที่ต่างๆ เดินทางมาเฝ้า
พระพุทธเจ้า ณ เวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
2. พระสงฆ์จำนวน 1,250 รูปเหล่านี้ ล้วนเป็นพระอรหันต์ และได้รับการบวช จากพระพุทธเจ้า
โดยตรง ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา
3. พระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป ต่างมาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยมิได้มีการนัดหมาย
4. วันที่มาประชุม ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันเพ็ญกลางเดือน 3) เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรง
แสดงธรรมเทศนา อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ โอวาทปาติโมกข์
โอวาทปาติโมกข์ คือ
ข้อธรรมย่ออันเป็นหลักหรือหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา 3 ประการ ได้แก่
1. ไม่ทำความชั่วทั้งปวง เว้นจากความชั่วด้วยกาย วาจา ใจ
2. ทำความดีให้ถึงพร้อม ด้วยกาย วาจา ใจ
3. ทำจิตใจให้หมดจดบริสุทธิ์ผ่องใส
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้และสั่งสอนพระธรรมมาเป็นระยะเวลา 45 ปี
พระองค์ทรงปลงมายุสังขาร คือ ตั้งพระทัยว่า "ต่อแต่นี้ไปอีก 3 เดือน เราจักเสด็จดับขันธปรินิพพาน"
การปลงอายุสังขาร ตรงกับวันมาฆบูชาในปีที่พระพุทธองค์มีพระชนมายุ 80 พระชันษา
ด้วยเหตุนี้ ในวันมาฆบูชา ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่มีความสำคัญ
เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า รวม 2 ประการ คือ
เป็นวันที่แสดงโอวาทปาติโมกข์ และ เป็นวันปลงอายุสังขาร
ประวัติการถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
พิธีทำบุญวันมาฆบูชานี้ ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีมาในสมัยใด อย่างไรก็ตามในหนังสือ
"พระราชพิธีสิบสองเดือน" อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
มีเรื่องราวเกี่ยวกับการประกอบราชกุศลมาฆบูชาไว้ว่า
ประเทศไทยเริ่มกำหนดพิธีปฏิบัติในวันมาฆบูชาเป็นครั้งแรกในช่วงรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประกอบพิธีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2394
ในพระบรมมหาราชวังก่อน โดยมีพิธีพระราชกุศลในเวลาเช้า
นมัสการพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวรวิหารและวัดราชประดิษฐ์จำนวน 30 รูป
ฉันภัตตาหารในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เมื่อถึงเวลาค่ำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จฯ ออก ทรงจุดธูปเทียนนมัสการ พระสงฆ์ทำวัตรเย็นและสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์
เมื่อสวดจบทรงจุดเทียน 1,250 เล่ม รอบพระอุโบสถ มีการประโคมอีกครั้งหนึ่ง
แล้วจึงมีการเทศนาโอวาทปาติโมกข์ 1 กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลี และภาษาไทย
ส่วนเครื่องกัณฑ์ประกอบด้วยจีวรเนื้อดี 1 ผืน เงิน 3 ตำลึงและขนมต่างๆ
เมื่อเทศนาจบ พระสงฆ์ 30 รูป สวดรับ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปี
แต่มีการยกเว้นบ้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
เนื่องจากบางครั้งตรงกับช่วงเสด็จประพาสก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชาในสถานที่นั้นๆ ขึ้นอีกแห่ง
นอกเหนือจากภายในพระบรมมหาราชวัง
ต่อมาการประกอบพิธีมาฆบูชาได้แพร่หลายออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวัง
และประกอบพิธีกันทั่วราชอาณาจักร ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นวันหยุดทางราชการด้วย
เพื่อให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพได้ไปวัด เพื่อทำบุญกุศลและประกอกิจกรรมทางศาสนา
ในวันมาฆบูชา มีประเพณีและกิจกรรมอันดีงามต่างๆ
ที่พวกเราชาวพุทธทุกคนปฏิบัติสืบต่อกันมาคือ ทำบุญตักบาตร
อุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับ ไปวัดเพื่อรักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา
และเจริญสมาธิภาวนา ร่วมเวียนเทียนรอบพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธปฎิมาในพระอุโบสถ
ด้วยการเดินเวียนขวาสามรอบ ในเวลาเย็น-ค่ำ ที่วัดใกล้บ้าน
ช่วยกันสืบสานประเพณีอันงดงามในวันมาฆบูชา
ร่วมทำบุญรักษาศีล, ฟังพระธรรมเทศนา และเจริญสมาธิภาวนา
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของพวกเรา ทุก ๆ ท่าน ครับ
........
thaikids072
#2
โพสต์เมื่อ 09 February 2009 - 02:18 PM
สาธุ...
#3
โพสต์เมื่อ 09 February 2009 - 11:19 PM
สาธุ ครับ
#4
โพสต์เมื่อ 10 February 2009 - 12:02 AM
อนุโมทนาบุญ สาธุค่ะ
#5
โพสต์เมื่อ 10 February 2009 - 10:51 AM
ขออนุโมทนา สาธุ ครับ
เพราะเป้าหมายของพวกเราคือ "ที่สุดแห่งธรรม"
#6
โพสต์เมื่อ 11 February 2009 - 02:31 PM
สาธุ กับธรรมทานครับ
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC