ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เมื่อไหร่จะพ้นทุกข์เสียที


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ThDk

ThDk
  • Members
  • 259 โพสต์
  • Location:Struer, Denmark
  • Interests:จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรรหมจรรย์ เพื่อสำรอกราคะ... เพื่อละสังโยชน์... เพื่อถอนอานุสัย.. เพื่อรู้รอบสังสารวัฎอันยืดยาว... เพื่อความสิ้นอาสวะ... เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือ วิชชาและวิมมุติ... เพื่อญาณทัศนะ... เพื่อปรินิพพาน อันปราศจากอุปทาน.

โพสต์เมื่อ 22 March 2009 - 02:58 PM

ณ ศาลาพักร้อนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า ดับเย็น ( นิพพาน )
สองสหายมาเจอกันโดยมิได้นัดหมาย ( เจอโดยวิถีทางของธรรมชาติ )

สหาย -ต กับ สหาย - ล

สหาย-ต เอ้าเพื่อนเป็นไง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทำไมหน้าตาดูไม่ค่อยแฮปปี้เลยง่ะ
สหาย-ล มันเบื่อน่ะ เบื่อเหลือเกิน

สหาย-ต เบื่ออะไรเพื่อนเอ๋ย
สหาย-ล เบื่อชีวิต เบื่อคนที่บ้าน เบื่องาน มันเบื่อไปหมด

สหาย-ต เบื่อก็อย่าไปมีมันซิ มีอะไรแล้วทุกข์ก็อย่าไปมีมัน
สหาย-ล อ้าว พูดอะไรง่ายๆอย่างนั้นล่ะ มันทิ้งกันได้ง่ายๆได้ที่ไหน

สหาย-ต เพื่อนเอ๋ย ฟังให้ดี เราไม่ได้บอกให้เพื่อนทิ้ง แต่เราบอกเพื่อนว่า อย่าไปมีมัน
สหาย-ล ถ้าไม่มีก็ต้องทิ้งนะซิ

สหาย-ต ทิ้งน่ะ ทิ้งแน่ แต่ทิ้งให้ถูก ทิ้งไม่ถูกก็ ไม่พ้นทุกข์
สหาย-ล เอาล่ะๆไม่ต้องพูดมาก เบื่อเหลือเกินแล้ว อะไร อะไร มันไม่เป็นดั่งใจข้าเลย. เพื่อนเอ๋ย ข้าต้องทิ้งอะไร ไม่มีอะไร ช่วยบอกมาเร็วๆด้วย

สหาย-ต ทิ้งความเห็นผิด
สหาย-ล ข้ามีความเห็นผิดหรือ

สหาย-ต ก็ท่านมีทุกข์ มิใช่หรือ. บุคคลที่มีทุกข์ คือ บุคคลที่มีความเห็นผิด. บุคคลที่มีความเห็นถูกต้องตรงตามจริง ย่อมเป็นผู้ไม่มีทุกข์
สหาย-ล ถ้าข้ามีความเห็นถูกข้าจะพ้นทุกข์จริงหรือ

สหาย-ต แน่นอน เพื่อนเอ๋ย
สหาย-ล แล้วข้าจะมีความเห็นถูกได้อย่างไร

สหาย-ต ท่านมีความเห็นอย่างไรใน กายนี้ จิตนี้
สหาย-ล กายนี้ก็ของข้า จิตนี้ก็ของข้า บางทีมันก็สุข บางทีมันก็ทุกข์. มันก็เป็นอย่างนั้นเองแหละเพื่อนเอ๋ย. ใครๆเขาก็เป็นอย่างนี้. ท่านไม่น่าถามเลย.

สหาย-ต ถ้า กายนี้เป็นของท่าน ทำไมท่านไม่บอกกายนี้ว่า เจ้าจงมีสุข ว่างจากทุกข์เถิด.
สหาย-ล ถ้าข้าบอกได้ก็ดีน่ะซิ แต่มันเป็นไปไม่ได้.

สหาย-ต เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ แสดงว่ากายนี้ไม่ใช่ของท่าน มิได้อยู๋ใต้อำนาจของท่าน. เอาล่ะ ลองมาดูที่ จิต บ้าง. ท่านว่าจิตนี้เป็นท่าน เป็นของท่าน จากนี้ไป ท่านจงบอกจิตท่านว่า ท่านปราถนาให้มันเป็นสุข ว่างจากทุกข์เถิด.
สหาย-ล ถ้าข้าทำได้ก็ดีน่ะซิ แต่มันเป็นไปไม่ได้.

สหาย-ต นี่แหละ ความจริงของกายนี้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ. นี่แหละ ความจริงของจิตนี้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ. มันเป็นของโลก มันเป็นธรรมชาติ มันเกิดจากากรปรุงแต่ง. ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ปรุงแต่งกันเข้าเป็นกายนี้. เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ ปรุงแต่งกันเข้าเป็นจิตนี้.
ถ้าปราศจากการปรุงแต่ง ธาตุดิน อยู่เดี่ยวๆ ธาตุอื่นๆก็อยู่เดี่ยวๆด้วย กายนี้ก็หามีไม่.
ถ้าปราศจากการปรุงแต่ง เวทนาธาตุ อยู่เดี่ยวๆ ไม่รวมกับ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ หรือ วิญญาณธาตุ ต่างธาตุ ต่างไม่มารวมประชุมกัน จิตก็หามีไม่.
เปรียบได้กับ ผ้าหนึ่งผืน ที่ปรากฎขึ้น เพราะการนำเอาด้ายแต่ละเส้นมาทอเข้าด้วยกัน แต่ถ้าแยกด้ายแต่ละเส้นออก ผ้าที่เคยปรากฎอยู่ก็จักอันตรธานหายไป ตั้งอยู่มิได้.
หากแยกธาตุทั้งสี่ ออกทีละธาตุ กายนี้ก็ตั้งอยู่มิได้.
หากแยกธาตุทั้งสี่ออก จิตนี้ ก็หามีไม่.
แล้วอะไรเล่าที่เป็นทุกข์ ทั้งหมดเป็นเพียงธรรมธาตุที่มารวมกัน แล้วเกิดอาการของธรรมชาติ ตามสิ่งปรุงแต่ง.

สหาย-ล ข้าเห็นกายแล้ว ข้าเห็นจิตแล้ว ธรรมชาตินี้แจ่มแจ้งแล้ว. การรวมตัวของธาตุต่างๆ เป็นของหนัก เปรียบเสมือนการถือผ้าผืนผนึ่ง.
เมื่อมีการดึงด้ายแต่ละเส้นออก แล้วพิจารณาเพียงด้ายเส้นเดียว เป็นของแบา.
การวางด้ายลง เป็นความว่าง เพราะไม่เห็นผิดว่า ด้ายนี้เป็นเรา ผ้านี้เป็นเรา.
ผ้าเป็นธรรมชาติ ที่เกิดจากการรวมตัวของด้ายที่ทอ. ข้าเห็นผ้า ข้าเห็นด้าย. ข้าเห็นความหนักของผ้า ข้าเห็นความเสื่อมของด้ายแต่ละเส้น ข้าเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอันแท้จริง ของผ้า และเส้นด้าย. นี่เอง ที่เรียกว่าทุกข์.

สหาย-ต ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้ใดเห็นสัจจธรรม ( ความจริงของรูปธรรม - นามธรรม ) ผู้นั้นเห็น ตถาคต.
ทุกข์ มีเพื่อดู เพื่อรู้. รู้จริงจึงวางจริง วางจริงก็ว่างจริง ว่างจริงก็ไม่มีทุกข์จริงๆ มันเป็นอย่างนี้เอง ดับไม่เหลือ. อย่าเข้าใจว่าต้องขว้างทิ้ง หรือ หนี โลก คน สัตว์ สิ่งของ ขอเพียงเห็นถูกต้องตรงตามเป็นจริง ของธรรมชาติเขา เราก็ว่างจากทุกข์ได้ ด้วยประการฉะนี้.

เวลาที่เหลือก็ใช้ผ้าที่มี อยู่่เช็ดเอาความเห็นผิดออกจากจิตของเพื่อนมนุษย์ เพื่อจะได้ไม่หลงเข้ามาสู่โลก ไม่หลงไปนรก ไม่หลงไปสวรรค์ ตราบใดที่ยังวนเวียนในสังสารวัฎ ตราบนั้นก็ยังไม่พ้นทุกข์.

การเห็นองค์พระพุทธะ โดยวิธีนี้มิต้องอาศัยการนั่งหลับตา เป็นการเห็นด้วยวิปัสนาญาณ เห็นได้ในทุกอริยาบถ เห็นธรรม(กาย-จิต)แล้ว มองให้ลึกลงอีก จนเห็นสัจจธรรม(ไตรลักษณ์ที่อิงแอบในธรรมทั้งสอง) แล้วมองให้เห็นที่สุดของสัจจธรรม จนเห็นความดับไปของธรรม(กาย-จิต) เมื่อธรรมทั้งหลายดับ ที่เหลือ คือ นิจจัง สุขัง อัตตา ( สิ่งนี้ไม่มีความเกิด ไม่ม่ความดับ เป็นผู้รู้ ผู้เห็น )

โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน

โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่

โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง

โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.

- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้


#2 สุรชัย (กัปตัน)

สุรชัย (กัปตัน)
  • Members
  • 407 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 March 2009 - 11:20 PM

สาธุครับ

#3 เด็กโรงเรียนวัด

เด็กโรงเรียนวัด
  • Members
  • 107 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 March 2009 - 11:27 PM

สาธุครับ