ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ชิตังเม กับ 072 คืออะไรเหรอครับ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 20 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ชีวิตงาม

ชีวิตงาม
  • Members
  • 164 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 March 2009 - 08:40 PM

อยากทราบความหมายของ ชิตังเม กับ 072 ครับว่าแปลว่าอะไร เคยอ่านแล้วครับแต่จำไม่ได้

อนุโมทนาบุญกับผู้ให้คำตอบด้วยคำตอบ

#2 Happy Dream

Happy Dream
  • Members
  • 243 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 March 2009 - 09:23 PM

ชิตังเม ==> เราชนะแล้ว !!

0 ==> ศูนย์กลางกาย
7 ==> ฐานที่ 7
2 ==> เหนือสะดือ 2 นิ้วมือ






เราให้กำลังใจใคร กำลังใจนั้นจะบังเกิดขึ้นในตัวของเรา

มันจะขยายเป็นพลังอนันต์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจะยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก



#3 Tree

Tree
  • Members
  • 2076 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2009 - 12:44 AM

สาธุ ครับ

#4 Kodomo_kung

Kodomo_kung
  • Members
  • 323 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 24 March 2009 - 11:26 AM

happy.gif สาธุครับ

#5 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2009 - 01:46 PM

Clear
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#6 sCHer♥™

sCHer♥™
  • Members
  • 100 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2009 - 02:03 PM

สาธุคร่ะ;]]


#7 เดือนฉายงามแสง

เดือนฉายงามแสง
  • Members
  • 214 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2009 - 02:37 PM

ชัดเจนค่ะ


#8 แก้วใสปิ๊ง

แก้วใสปิ๊ง
  • Members
  • 191 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2009 - 03:37 PM

ก็ขอให้จขกท.คุณHappy Dreamและทุกๆท่าน
ได้รับชัยชนะที่072กันทุกคนเลยนะคร้าบ...สาธุ happy.gif

ถ้าอยากได้"จริง"จะได้...แต่ตอนจะได้ไม่"อยาก"


#9 ชีวิตงาม

ชีวิตงาม
  • Members
  • 164 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2009 - 07:35 PM

ขอบคุณมากๆเลยนะครับ สาธุครับ

#10 เอ็ดดี้

เอ็ดดี้
  • Members
  • 24 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2009 - 08:32 PM

สาธุ....คับ

#11 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 25 March 2009 - 12:32 PM

คำว่า เราชนะแล้ว หมายถึง ชนะใจตนเองแล้วนะครับ ไม่ใช่หมายถึง ไปสู้รบปรบมือกับใครที่ไหน แล้วมีแพ้มีชนะ น่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#12 Happy Dream

Happy Dream
  • Members
  • 243 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 March 2009 - 07:43 PM

ถูกต้องที่สุดเลยค่ะ พี่หัดฝัน happy.gif

แวะเข้ามาดูว่ามีใครพอจะให้ความหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกเหนือจากคำว่า "เราชนะแล้ว" จริงๆ ก็เคยสงสัยกับคำถามนี้เหมือนกัน แต่มีอยู่วันหนึ่งได้ยินหัวหน้าชั้นแปลความหมาย ก็เลยพอจะจำได้เท่านี้ค่ะ




เราให้กำลังใจใคร กำลังใจนั้นจะบังเกิดขึ้นในตัวของเรา

มันจะขยายเป็นพลังอนันต์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจะยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก



#13 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 26 March 2009 - 11:51 AM

ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ เกิดจากสมัยพุทธกาล มีพรามหมณ์ท่านหนึ่ง มีผ้านุ่งกับผ้าห่มเพียง 1 ผืน พราหมณ์ได้ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แล้วเกิดจิตศรัทธาอยากถวายผ้าห่ม แต่เกิดจิตตระหนี่ในใจว่า ถ้าถวายแล้วจะไม่มีอะไรห่ม พราหมณ์ต่อสู้กับจิตใจตนเองเช่นนี้ถึง 3 ครั้ง

จนเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์ในครั้งที่ 3 พราหมณ์ได้ตัดใจสละความตระหนี่ นำผ้าห่มของตัวเองถวายแด่พระพุทธเจ้า
พร้อมกับประกาศขึ้นด้วยจิตยินดีว่า "ชิตังเม ชิตังเม ชิตังเม"

พระราชาซึ่งนั่งฟังธรรมะอยู่ด้วย จึงถามพราหมณ์ว่า เจ้าชนะอะไร พราหมณ์เล่าให้ฟังว่า ได้ชนะใจตนเองแล้ว
พระราชาเลื่อมใส จึงพระราชทานทรัพย์ให้พราหมณ์เป็นอันมาก

พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า หากพราหมณ์ชนะใจตนเองได้ตั้งแต่ครั้งแรก จะได้ทรัพย์มากมายยิ่งกว่านี้ขึ้นไปอีก น่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#14 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 March 2009 - 07:04 PM

ที่กล่าวมานั้นเป็นอดีตชาติของ...พระมหากัสสปะ...ซึ่งในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี พระมหากัสสปะท่านได้มาเกิดพราหมณ์ยากจนชื่อ"จูเฬกสาฏก" ได้นางพราหมณียากจนคนหนึ่งเป็นภรรยา จูเฬกสาฏกกับภรรยาต่างผลัดเปลี่ยนกับไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ภรรยาไปฟังธรรมตอนกลางวัน ส่วนจูฬกสาฏกไปฟังธรรมตอนกลางคืน เหตุที่ทั้งสองสามีภรรยาไม่สามารถไปฟังธรรมพร้อมกันได้เพราะมีผ้าห่มออกข้างนอกเพียงผืนเดียว ซึ่งต้องผลัดกันใช้....
.......คืนวันหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่นั้น จูเฬกสาฏกเกิดศรัทธาจึงได้ถวายผ้าห่มที่มีอยู่ผืนเดียวของตนนั้นเป็นพุทธบูชา พร้อมทั้งเปล่งวาจาว่า"ชิตังเม(ข้าพระองค์ชนะแล้ว)"
.. ....ซึ่งชัยชนะที่จูเฬกสาฏกเปล่งวาจาออกมานั้นหมายถึง การชนะความตระหนีในใจของตนเอง เมื่อพระเจ้าพันธุมราชกษัตริย์แห่งเมืองพันธุมดีทรงทราบความ จึงพระราชทานทรัพย์ให้เขาเป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยให้เขาพ้นจากความยากจน จูเฬกสาฏกกับภรรยาแม้จะมั่งมีขึ้นก็ไม่ได้ประมาท ทั้งสองได้บริจากทรัพย์ส่วนหนึ่งบำรุงพระพุทธศาสนาและบุญอื่น ๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต

ถ้าจำไม่ผิด...ทางฝ่ายวิชาการ วัดพระธรรมกาย ได้รวบรวมไว้ใน CD เรื่อง จนข้ามภพ รวยข้ามชาติ...ซึ่งจะมีเรื่องราวของพระมหากัสสปะ 2เรื่อง คือ พราหมณ์จูเฬกสาฎกซึ่งเป็นอดีตชาติที่ยากไร้ และพระเจ้านันทราชเป็นอดีตชาติที่ได้สมบัติอัศจรรย์จากต้นกัลปพฤกษ์ 32ต้น
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#15 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 27 March 2009 - 11:54 AM

คุณ Wish ครับ ในสมัยพุทธกาล ก็มีเรื่องคล้ายๆ กันอย่างนี้เช่นเดียวกันครับ และพระราชาองค์ที่ไปฟังธรรม ก็คือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ด้วยครับ

คือ เรื่องนี้นอกจากเคยเกิดในสมัยก่อนพุทธกาลแล้ว ยังเคยเกิดในสมัยพุทธกาลอีกเช่นกัน เพียงแต่เปลี่ยนตัวบุคคลน่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#16 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 March 2009 - 12:29 PM

ขอบคุณ คุณหัดฝัน มากครับ เป็นแรงบันดาลใจให้ผมค้นคว้าต่อว่ามีเรื่องราวเกิดขึ้นในพุทธกาลนี้ด้วย ซึ่งน่าแปลกมาก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นละม้ายคล้ายกันประดุจว่าบุพกรรมต่างๆนั้นเกิดได้ทุกยุคทุกสมัยราวกับสังสารวัฏ

ก็พบในธรรมะของหลวงปู่เหรียญ
สำหรับคนจนนั้น ก็สามารถทำบุญกุศลได้ แต่ว่ามันก็ได้ตามกำลังของคนจน จะให้มันเหมือนคนรวยก็ไม่ได้ ขอให้มีศรัทธาปัญญาก็แล้วกัน คนจนในแต่ครั้งพุทธเจ้านั้นก็มีอยู่ถมไป นะ เหมือนอย่างพราหมณ์สองผัวเมีย จนจนว่าหมดทั้งเรือนนั่นมีผ้าห่มผืนเดียว จนถึงขนาดนั้นแหละ บัดนี้เมื่อเจ้าหน้าที่ ทางฝ่ายวัดประกาศชักชวนให้คนในเมืองสาวัตถีนั่นไปฟังธรรมกัน สองผัวเมียก็มาพูดกันว่า ในบ้านเรือนของเรานี่ก็มีผ้าห่มผืนเดียว เข้าใจว่าฤดูหนาวมั้ง มันหนาวน่ะ สองผัวเมียก็มาเจรจากันว่า ใครจะไปฟังธรรมกลางวัน ใครจะไปกลางคืน ฝ่ายภรรยาก็บอกกับสามีว่า ฉันจะไปฟังธรรมกลางวันดอก ให้คุณไปฟังกลางคืนซะ ถ้าผู้ใดไปฟังธรรมก็เอ้า เอาผ้าผืนนั้นน่ะห่มไป ไปฟังธรรม

พอตกกลางคืนมาสามีไปก็เอาผ้า ผืนนั้นห่มไปฟังธรรม เมื่อพระพุทธเจ้ามาแสดงทาน แสดงผลแห่งทานให้ฟังอย่างนั้น ก็เลยเกิดนึกคิดในใจว่า เอ้อ เรานี่แต่ชาติก่อนคงไม่ได้ทำบุญทำทานอะไรมา เกิดมาในชาตินี้จึงยากจนข้นแค้น มดทั่งบ้านมีผ้าห่มผืนเดียวนี้ เอ๊ถ้าอย่างนั้นเราก็จะสละผ้าห่มผืนนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้าเสียเป็นยังไง เรายอมอดหนาวเอา จะไม่ดีรึ จะเป็นบุญกุศล ทำให้ชีวิตของเราเจริญสืบต่อไป ครั้นพอคิดขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว ไอ้ความตระหนี่ความหวงมันก็เกิดขึ้น เอ๋ถ้าให้ทานไปแล้วจะเอาไหนมาห่ม มันก็คงหนาวกระด้างไป พอคิดขึ้นมาอย่างนี้แล้วก็ท้อใจให้ทานไม่ได้ ตอนปฐมยาม หัวค่ำ พระองค์เจ้าแสดงธรรมตลอดคืนนี้ ตามว่านี้ ทรงแสดงไป๊ แสดงไป ฟังไปถึงเที่ยงคืน เอ้า จิตใจก็คึกคักขึ้นมา เอ๊ะ เอาละน้าเราให้ทานนะบัดนี้ พอนึกอย่างนี้แล้ว ไอ้กิเลสตัวนั้นแหละ มันก็แล่นขึ้นมาสกัดไว้ ก็ให้ไม่ได้ตอนเที่ยงคืน ก็ฟังไป ฟังไป พอตอนถึงหัวรุ่ง จึงค่อยตัดสินใจลงได้ พอตัดสินใจลงได้ก็เปลื้องผ้านั้นออกพับ เสร็จแล้วก็เอาไปวางไว้ ใกล้พระบาทของพระศาสดา แล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์ขอถวายผ้าห่มผืนนี้ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยอำนาจบุญกุศลอันนี้ก็ขอให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์พ้นภัยในสงสารนี้ พระองค์ก็ทรงรับเอาผ้าห่มนั้น

พราหมณ์ก็ดีอกดีใจหลาย ก็จึงได้เปล่งวาจาออกมา "ชิตังเม ชิตังเม ชิตังเม" สามครั้ง ว่าเราชนะแล้ว เราชนะแล้ว เพิ่นว่า ขณะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลก็มานั่งฟังธรรมอยู่ กับพุทธบริษัทนั้น ก็จึงเรียกพราหมณ์คนนั้นมาหาแล้วถามดูว่า ท่านเอาชนะอะไรถึงว่า กล่าววาจาออกอาจหาญ ถึงปานนี้ ว่างั้น พราหมณ์นั้นก็ทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ข้าพระองค์เอาชนะความตระหนี่ ความหวงแหน ในผ้าห่มผืนนั้นได้ ถึงกับได้เอาถวายพระศาสดาเลย ดีใจหลายจึงได้เปล่งวาจาอย่างนี้ออกมา ว่างั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็อนุโมทนา สาธุการด้วย แล้วบัดนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็มีความเลื่อมใสในพราหมณ์คนนั้นว่าเป็นนักเสียสละอันยอดเยี่ยม จึงได้สั่งให้ราชบุรุษ ให้เสมียนคลัง ไปเอาผ้ามามอบให้แก่พราหมณ์คนนั้นอีกสี่ผืน เอ๊า พอรับจากพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้แล้วก็เอาไปถวายแด่พระพุทธเจ้าหมดเสียเลย พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นอย่างนั้น นะ ก็สั่งให้เสมียนคลังไปเอามาอีกแปดผืน พราหมณ์ก็เอาไปถวายพระพุทธเจ้าหมดทั้งแปดผืนเลย บัดนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศล สั่งให้เอาผ้ากำพล ที่มีราคาตั้งแสน กหาปนะ ก็หมายเข้าใจว่าก็แสนบาทนี้แหละ สองผืนเลยบัดนี้มาให้แก่พราหมณ์ เมื่อพราหมณ์ได้รับแล้ว ก็คิดว่า อื้ม ถ้าหากว่าเราจะ เอาถวายพระศาสดาในขณะนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็จะเสียพระทัย จะทรงตำหนิเรา เอาแหละ ตอนนี้เราก็จะต้องรับเอาไว้เสียก่อน ต่อไปค่อยคิดกันใหม่

พราหมณ์นั้นก็รับเอาผ้าสองผืนนั้นไว้ พอเลิกลาจากการฟังธรรมไป เสร็จแล้ว พราหมณ์นั้นก็เลยเอาผ้ากำพลสองผืนนั้น ผืนหนึ่งเอาทำขึงเป็นเพดาน ตรงที่พระองค์ทรงประทับนั่งแสดงธรรม ผืนหนึ่งเอาไปทำเพดานที่ฝ้าคันธกุฎี ห้องที่พระองค์เจ้าประทับนั่งรับแขก วันต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกศลไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถึงพระคันธกุฎี ก็ไปเห็นผ้ากำพลผืนนั้น ก็จึงทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงตรัสว่า พราหมณ์คนนั้นแหละ เอามาขึงไว้ที่นี้ ว่างั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลก็นึกชื่นชมยินดี ในพราหมณ์ผู้นั้นอย่างแรงกล้า แหม พราหมณ์คนนี้ก็ช่างเป็นนักเสียสละเอาซะจริงๆ เอาละ ถ้าอย่างนั้นเราจะประทานสมบัติให้พราหมณ์คนนี้ ให้มัน เรียกว่าเป็นคนมั่งมีขึ้นมาเลย เมื่อกลับพระราชวังแล้วก็สั่งให้ ราชบุรุษไปนำเอา พราหมณ์นั้นไปเฝ้าที่พระราชวัง ก็ได้สั่งให้ราชบุรุษ เอ้า จัดการนำเอาสิ่งของ มามอบให้แก่พราหมณ์คนนี้ สิ่งละสี่ ละสี่ สมมุติว่า อย่างช้างก็สี่เชือก ควายก็สี่ตัว วัวก็สี่ตัวงี้แหละ เงินทองก็เห็นจะเป็นสี่อะไรก็ไม่รู้แหละ สี่ชั่งหรือว่าสี่แสนก็ไม่รู้ เรียกว่าสมบัติสิ่งละสี่ ละสี่ แต่สำคัญละก็บ้านส่วย สี่หมู่บ้าน สี่หมู่บ้านนั้นได้มอบให้แก่พราหมณ์นี้ได้เก็บภาษีอากรเอา มาใช้สอยเลย เอ้า ภรรยาก็สี่คน บัดนี้นะ เป็นอย่างงั้นไป พราหมณ์นั้นก็เลยกลายเป็นคนมั่งมีศรีสุขในปัจจุบันนั้น

นี้ที่แสดงมานี่ เพื่อให้เป็นที่ระลึกนึกคิดของผู้ฟังทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่ากิเลสตัณหานี่ มันเหนียวแน่นเอาเสียจริงๆ นั่นแหละสำหรับผู้มีปัญญา มีศรัทธา มีปัญญาอย่าง พราหมณ์สาดก คนนี้น่ะ แม้เข้าจะเป็นคนจน แต่เขาก็มีปัญญา เชื่อบุญเชื่อบาปได้ ดังนั้นนะเมื่อเขารู้ว่า เขาเป็นคนจน เพราะไม่ได้ทำบุญมาแต่ก่อน เมื่อในปัจจุบันชาตินี้ ถ้าหากว่าไม่ทำบุญอีกก็จะยิ่งต่ำลงไปกว่านี้ ก็จึงตัดสินใจสละของที่ติดตัวอยู่เท่านั้น ผ้าห่มผืนเดียว ถวายพระพุทธเจ้าได้ นี่ ยากที่บุคคลจะทำได้อย่างนี้ นั่นแสดงว่าพราหมณ์ได้สละความโลภ ความตระหนี่ ออกจากจิตใจได้ พราหมณ์นั้นมีพร้อมหมด ให้ทานก็มี ศีลก็มี ภาวนาก็มี บัดนี้ ก็จึงสามารถทำบุญที่สำคัญ ที่บุคคลส่วนมากทำไม่ได้ ก็เพราะไม่มีครบสามอย่าง เหมือนอย่างพราหมณ์คนนั้น พราหมณ์คนนั้นเพื่อนมีครบทั้งสามอย่าง ถ้าไม่มีภาวนาเนี่ย ไฉนจะเอาชนะความตระหนี่ ความหวงแหนได้
QUOTE
พระศาสดาทรงตรัสว่า ถ้าพราหมณ์คนนี้ตัดสินใจสละผ้าห่มผืนนั้น ถวายพระองค์ตอนหัวค่ำ จะได้รับทานจากพระเจ้าปเสนทิโกศล สมบัติสิ่งละ สิบหก สิบหกอย่างนู้น ถ้าหากว่าพราหมณ์คนนี้ไปตัดสินใจ ถวายผ้าห่ม แด่พระศาสดาตอนเที่ยงคืน ก็จะได้รับพระราชทานสมบัติ จากพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น สิ่งละแปด ละแปด แต่บัดนี้ พราหมณ์นั้นไม่สามารถที่จะสละได้ ทั้งสองยามนั้น ไปสละเอาได้ยามที่สามนู้น หัวรุ่งนู้น อานิสงส์มันก็เลยอ่อนลง ก็จึงได้รับพระราชทานสมบัติจากพระเจ้าปเสนทิโกศล สิ่งละสี่ ละสี่ เท่านั้นเอง


ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
http://www.watthasun...ead.php?tid=841

ของ อ.เรณู ทัศณรงค์
http://www.oknation....entry-2/comment

ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#17 Happy Dream

Happy Dream
  • Members
  • 243 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 March 2009 - 04:09 PM

โอ้โห.. ได้อ่านเรื่องราวดีๆ จากคุณหัดฝัน และคุณ WISH แล้วทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยค่ะ

ต่อไปนี้ เวลาหัวหน้าชั้นกล่าวนำ "ชิตังเม" จะได้ตะโกนได้เต็มปากเต็มคำให้ปลื้มปิติใจยิ่งๆ ขึ้นนะคะ

อนุโมทนาบุญกับเรื่องราวดีๆ ที่นำมาเผยแพร่ด้วยค่ะ __/|\__




เราให้กำลังใจใคร กำลังใจนั้นจะบังเกิดขึ้นในตัวของเรา

มันจะขยายเป็นพลังอนันต์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจะยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก



#18 ชีวิตงาม

ชีวิตงาม
  • Members
  • 164 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 April 2009 - 03:41 PM

กระจ่างขึ้นอีกเยอะครับ สาธุนะครับกับทุกท่านที่ให้คำตอบ

#19 *ไตรภูมิ*

*ไตรภูมิ*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 19 April 2011 - 09:27 AM

1.ทำไมต้องปิดเจดีย์ด้วยครับ
2.คือการจารึกชื่อเราไว้ที่ฐานในองค์พระฯ แล้วนำไปประดิษฐานรอบเจดีย์ใช่หรือไม่
3.แล้วเวลามีพิธีการสำคัญเรายังจะใช้เจดีย์อยู่หรือไม่
ไม่เข้าใจจริงๆ ค่ะเพราะไปอยู่ต่างจังหวัดมา ไม่ได้ดูDMC มาหลายเดือน
4.ผมมีองค์พระอยู่แล้ว จะต้องนำไปไว้ที่เจดีย์ใช่หรือไม่ครับ หรือต้องเช่าองค์พระใหม่

อนุโมทนาบุญในคำตอบครับ

#20 สาหร่าย

สาหร่าย
  • Members
  • 123 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 19 April 2011 - 10:35 PM

1.ทำไมต้องปิดเจดีย์ด้วยครับ
เพื่อจะได้ปลดกังวล การสร้างเจดีย์ตอนนี้คือการสร้างองค์พระส่วนที่เหลือให้ครบ เมื่อครบตามที่วางไว้
ก็คือการสร้างเจดีย์นี้สำเร็จแล้ว สร้างองค์พระครบ 1 ล้านองค์แล้ว ที่เราเรียกกันว่าการปิดเจดีย์นั่นเอง
ที่จริงเจดีย์นี้ตั้งโครงการไว้ 2 ปี แต่นี่ก็ล่วงเลยมา 17 ปีแล้วค่ะ
ตอนนี้จึงอยากให้การสร้างเจดีย์นี้สำเร็จ เพื่อที่ว่าจะได้ลุยงานด้านอื่นๆ ต่อ
ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก เป็นต้น

2.คือการจารึกชื่อเราไว้ที่ฐานในองค์พระฯ แล้วนำไปประดิษฐานรอบเจดีย์ใช่หรือไม่
ใช่ค่ะ

3.แล้วเวลามีพิธีการสำคัญเรายังจะใช้เจดีย์อยู่หรือไม่
ไม่เข้าใจจริงๆ ค่ะเพราะไปอยู่ต่างจังหวัดมา ไม่ได้ดูDMC มาหลายเดือน
ปิดเจดีย์ ไม่ใช่ปิดแบบไม่ใช้ แต่หมายถึง ปิดการสร้างองค์พระเนื่องจากจารึกชื่อที่ฐานครบ 1 ล้านองค์แล้ว
เท่ากับว่าเจดีย์เสร็จสมบูรณ์ เป็นศุนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ใช้ได้เหมือนปกติ สร้างพระ สร้างคนดียิ่งๆ ขึ้นไป

4.ผมมีองค์พระอยู่แล้ว จะต้องนำไปไว้ที่เจดีย์ใช่หรือไม่ครับ หรือต้องเช่าองค์พระใหม่
องค์พระที่คุณมีอยู่ คือ องค์ที่ได้รับมาสำหรับเป็นที่ระลึกนึกถึงบุญสร้างองค์พระรึเปล่าคะ ถ้าใช่ก็เป็นคนละองค์กับที่มีชื่อของคุณที่ฐานค่ะ
องค์นั้นจะประดิษฐษนอยู่ที่เจดีย์แล้วค่ะ

แต่ถ้าคุณยังไม่เคยสร้าง กรณีนี้คือ ถ้าต้องการร่วมบุญนี้ทางวัดมีองค์พระที่จะจารึกชื่อท่านที่มาร่วมบุญอยู่แล้ว ไม่ต้องนำมาเองค่ะ โดยองค์พระนี้จะงดงามมาก มีลักษณะครบถ้วนตามลักษณะมหาบุรุษค่ะ

#21 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 16 June 2011 - 03:07 PM

ผมสงสัยคำแปล บทสวดสรรเสริญ หลวงปู่สดฯ ครับ ท่อนที่2 วรรคที่ 2 ที่ว่า ชินะบุตรชิโนดม
ชินบุตร คือ พระสงฆ์ ส่วนชิโนดม คือ ผู้ที่สูงสุด ..... แปลว่า พระสงฆ์ที่สูงสุด พอจะมีท่านใดอธิบายให้เข้าใจได้ไหมฮะว่ายังไง