![รูปภาพ](/forum/uploads/profile/photo-thumb-1323.jpg?_r=1373459465)
ทำบุญให้แม่ แม่จะได้บุญหรือไม่
#1
โพสต์เมื่อ 27 March 2009 - 12:06 PM
วันหนึ่ง คุณอนันต์ก็อยากให้คุณแม่ได้บุญจากการสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ จึงใช้ปัจจัยของตัวเองซึ่งมากพอสมควร แล้วขับรถมาถวายครูไม่ใหญ่ที่วัด
แต่คุณครูไม่ใหญ่ไม่รับปัจจัยนี้ โดยท่านบอกคุณอนันต์ว่า "ทำบุญให้ผู้อื่น ผู้อื่นจะได้บุญนิดเดียว เพราะผู้อื่นจะยังไม่ได้ชื่อว่า ตัดความตระหนี่ออกจากใจ"
คุณอนันต์จึงถามต่อว่า "แล้วหากผมนำเงินไปให้แม่ แล้วให้แม่ใส่ซองทำบุญล่ะ"
คุณไม่ใหญ่ตอบว่า "แม่ก็จะได้บุญเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ชื่อว่า ตัดความตระหนี่ออกจากใจ เพราะยังไม่ได้ทำบุญออกมาจากตัวแม่ของคุณอนันต์เอง ทางที่ดีให้คุณอนันต์ กลับไปเล่าเรื่องมหาธรรมกายเจดีย์ให้แม่ฟัง ให้แม่เกิดศรัทธา แล้วมาทำบุญที่วัดด้วยตัวเองดีกว่า"
ถึงตอนนั้น คุณครูท่านถึงจะค่อยรับปัจจัย
คุณอนันต์ จึงได้ข้อคิดที่สำคัญว่า การที่จะได้บุญใหญ่ หลักสำคัญที่สุดเลย คือ ตัดความตระหนี่ออกจากใจ
พวกเราทุกคนอย่าลืมหลักวิชชาสำคัญนี้ ในการร่วมบุญพระธรรมกายประจำตัว หรือบุญอื่นๆ ด้วยนะครับ
#2
โพสต์เมื่อ 27 March 2009 - 01:22 PM
#3
โพสต์เมื่อ 27 March 2009 - 02:28 PM
สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ลูกพระธัมฯ หลานหลวงปู่ หลานคุณยาย
#4
โพสต์เมื่อ 27 March 2009 - 03:17 PM
#5
โพสต์เมื่อ 27 March 2009 - 05:41 PM
แต่ลำบากใจจัง เพราะ Lucky girl เพิ่งทำบุญสร้างองค์พระ ให้น้องสาวที่ยังไม่เข้าใจเรื่องการทำบุญค่ะ เอาไปบอกเขา เขาก็ยังไม่เข้าใจค่ะ จำเป็นต้องทำแทนไปก่อน โดยเอาปัจจัยของเราเอง แล้วใส่ชื่อเขา เพราะกลัวว่า เขาจะไม่มีองค์พระในเจดีย์ แต่ก็ตั้งใจค่ะ ตั้งใจค่อยๆ ทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้เขาไปเรื่อยๆ จนกว่าบุญของเขาจะเปิดใจให้ได้เข้าใจการทำบุญกับเนื้อนาบุญจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร
#6
โพสต์เมื่อ 27 March 2009 - 10:25 PM
สุดยอดเลยครับ อนุโมทนาสาธุครับ
![smile.gif](style_emoticons/default/smile.gif)
" ปราบมาร "
#7
โพสต์เมื่อ 28 March 2009 - 12:30 AM
#8
โพสต์เมื่อ 28 March 2009 - 03:57 PM
![dry.gif](style_emoticons/default/dry.gif)
เราให้กำลังใจใคร กำลังใจนั้นจะบังเกิดขึ้นในตัวของเรา
มันจะขยายเป็นพลังอนันต์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจะยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก
#9
โพสต์เมื่อ 28 March 2009 - 07:32 PM
มะเร็งที่รังใข่ และล่าสุดเมื่อวานนี้ เธอโทรมาอีก บอกว่าตอนนี้เธอปวดท้องที่มดลูกมากๆ แต่พอเธอถ่ายออกมาก็มีเลือด
ไหลออกมา ไปหาหมอๆถามว่ามีใครเป็นมะเร็งบ้าง ดิฉันก็บอกให้เธอไป วัดพระธรรมกายที่เธอรู้จักแล้วไป สร้างองค์
พระธรรมกายประจำตัวซะ แต่เธอยังไม่เข้าใจ ก็เลยตัดสินใจไปทำให้เธอ เมื่อหลายวันก่อนที่เธอบอกว่าเป็นมะเร็ง ค่ะ
และก็คอยเมล์และก็โทรทางไกล เป็นกัลยาณมิตร ให้กับเธอด้วยค่ะ และก็คอยปลอบใจเธอ ให้คิดถึงบุญที่เธอเคยทำมา
และก็สอนเธอ หัดนั่งสมาธิ แต่เธอบอกว่าฟุ้ง ทำไม่ได้จริงๆ แต่ดิฉันก็ทำทุกๆวิธีทางเพื่อ ให้ลูกรับบุญทุกๆบุญที่ดิฉัน
ทำไว้และกำลังทำอยู่ทุกๆวันนี้ ด้วยค่ะ และก็บอกเธอว่านี่คือวิบากกรรมของเธอ ที่เธอทำมา แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจ ไม่
รู้ว่จะพูดให้เธอฟังแบบไหนดี นอกจากอธิษฐานจิต และก็นั่งสมาธิแผ่บุญให้กับเธอค่ะ ทุกๆวันอยากให้เธอตัดใจในการ
ตระหนี่ออกไป แล้วเธอจะได้หายจากโรคร้ายต่างๆ และก็กำลังจะส่งพระของขวัญ เหรียญปราบมาร ที่ได้รับมาจากบุญ
หล่อรูปหลวงปู่เป็นทองคำ ที่ได้ร่วมกับหมู่คณะ DMC TV มอบมาให้ๆ เธอติดตัวไว้ และก็สอนเธอไปว่า ยังไม่เข้าใจก็
ไม่เป็นไร ขอให้เธอท่องคำว่า ( สัมมาอะระหังไว้ ให้ตลอดเวลานะ ) เพราะวันจันทร์ที่ 30 นี้เธอจะเข้าผ่าตัดรังใข่
ที่มดลูกอีกครั้ง ด้วยค่ะ ก็ขอบารมีขององค์พระธรรมกาย ทุกๆพระองค์ ที่ประดิษฐาน อยู่ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุม
ธานี พร้อมทั้งมหาปูชนียาจารย์ หลวงปู่สด จันทสโร หลวงพ่อธัมมชัยโย หลวงพ่อทัตตะ พร้อมคุณ.ยายทั้ง2 ท่าน
ช่วยให้ลูกสาวของดิฉันหาย อย่างอัศจรรย์ และก็ขอให้เธอใจเปิด รับรู้เรื่องสร้างองค์พระและก็การทำบุญต่าง ด้วยเถิด
สาธุ สาธุ สาธุ
#10
โพสต์เมื่อ 28 March 2009 - 09:23 PM
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต อาทิตตวรรคที่ ๕
อาทิตตสูตรที่ ๑
อรรถกถาอาทิตตวรรคที่ ๕
อรรถกถาอาทิตตสูตรที่ ๑
พึงทราบวินิจฉัยในอาทิตตสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๕ ต่อไป :-
บทว่า ชราย มรเณน จ นี้ เป็นหัวข้อแห่งเทศนา. อธิบายว่า โลกคือหมู่สัตว์ถูกไฟทั้งหลาย ๑๑ กอง (ไฟ ๑๑ กองคือ ราคะ, โทสะ, โมหะ, ชาติ, ชรา, มรณะ, โสกะ, ปริเทวะ, ทุกข์, โทมนัส, อุปายาส)
มีราคะเป็นต้นแผดเผาแล้วเทียว.
บทว่า ทาเนน ได้แก่ มีเจตนาในการให้ทาน.
บทว่า ทินฺนํ โหติ สุนีภตํ ความว่า เจตนาอันเป็นบุญในการให้ย่อมมีแก่ทายกนั่นแหละ เหมือนสิ่งของอันเจ้าของเรือนนำออกแล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โจรา หรนฺติ
อธิบายว่า เมื่อโภคะอันตนไม่ได้ให้แล้ว แม้โจรทั้งหลายก็ปล้นได้ แม้พระราชาทั้งหลายยังริบได้ แม้ไฟยังไหม้ได้ หรือสูญหายไป แม้ในที่อันตนเก็บไว้แล้ว.
บทว่า อนฺเตน แปลว่า ด้วยการตาย.
บทว่า สรีรํ สปริคฺคหํ อธิบายว่า ร่างกายและโภคะไม่พินาศไปด้วย
สามารถแห่งอันตรายทั้งหลายมีโจรเป็นต้น.
บทว่า สคฺคมุเปติ อธิบายว่า ย่อมบังเกิดในสวรรค์เหมือนสาธุชนทั้งหลาย
มีพระเวสสันดรผู้เป็นมหาราชเป็นต้น.
จบอรรถกถาอาทิตตสูตรที่ ๑
....................................................................
จาก อรรถกถาอาทิตตสูตรที่ ๑ ทำให้เห็นอานิสงส์ของการทำ และไม่ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร
ทั้งกับตนเองและผู้อื่น ขยายความตามพุทธพจน์ได้ว่า
บุญผู้อื่น จะไปเกิดเป็นผู้ที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ แต่ไม่มีพวกพ้องบริวาร "
เพราะว่า " เมื่อบุคคลทำบุญด้วยตนเอง " ชื่อว่าเขาได้รักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ แต่
" เขาไม่ได้ บอกบุญผู้อื่น " ชื่อว่าเขาไม่ได้ติดตามรักษาทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่น
เสมือนปล่อยให้ทรัพย์นั้นถูกไฟไหม้ จนหมดสิ้น ฉะนั้นเวลาไปเกิดในภพชาติใด
จึงมีโภคทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ไม่มีบริวาร เมื่อทำกิจ
การใดๆ ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยยากลำบากมาก ไม่มีคนช่วยเหลือ เพราะขาดพวกพ้อง
เพราะว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติของตนเองไว้ ได้แต่ตามรักษาทรัพย์สมบัติให้คนอื่น ฉะนั้นไปเกิดใน
ภพชาติใด ตนจึงต้องลำบากและยากจนค่นแค้น แต่เวลาจะทำอะไรก็มีคนคอยช่วยเหลือสนับสนุนตลอดเวลา
เพราะว่าไม่รักษาทั้งทรัพย์สมบัติของตนเอง และผู้อื่น บางทีถึงกับขัดขวางคนอื่นไม่ให้ทำอีก ฉะนั้น
ไปเกิดในภพชาติใด ก็พบแต่ความลำบากยากจน ต่ำต้อย ไม่มีพวกพ้องเลย จะทำอะไรก็ลำบากมาก
และไปเกิดกับกลุ่มชนที่มีความลำบากด้วยกัน มีแต่คนรังเกียจ เหมือนดังเรื่องต่อไปนี้
ในสมัยพุทธกาล ที่เมืองสาวัตถี มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่ออานันทะ มีสมบัติมากถึง ๘๐ โกฏิ แต่ว่าเป็น
คนตระหนี่ไม่ทำบุญ ทั้งห้ามบุตรหลานทุกคนทำบุญ เขาสอนบุตรวันละ ๓ เวลาว่า
" อย่าคิดว่าทรัพย์ที่เรามีอยู่นี้มาก ควรทำทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ วัน ไม่ควรให้ทานแก่
ใครๆ เพราะทรัพย์ที่มีมากย่อมสิ้นไปทีละน้อย พึงดูอย่างยาหยอดตา เมื่อหยอดทีละหยดยังหมดได้
พึงดูอย่างการพอกพูนขึ้นของจอมปลวก ที่เพิ่มขึ้นทีละน้อย ยังเป็นจอมปลวกใหญ่ได้ คนครองเรือนก็
ควรเป็นอย่างนี้ "
เขาได้ฝังขุมทรัพย์ใหญ่ไว้ ๕ แห่ง แต่ด้วยความที่ตระหนี่มาก จึงไม่ยอมบอกให้ใครทราบ แม้แต่บุตร
ของตนชื่อ มูลสิริ อานันทเศรษฐีมีชีวิตอยู่อย่างเศร้าหมอง เพราะความตระหนี่ เมื่อเขาตาย มูลสิริได้
ดำรงตำแหน่งเศรษฐีต่อมา
อานันทเศรษฐีเมื่อเขาละโลกไปแล้ว ไปเกิดในครรภ์ของหญิงยากจนคนจัณฑาล หาเลี้ยงชีพด้วยการ
ขอทาน ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา ไม่ว่าจะไปขอทานที่ไหนก็ตาม มารดาจะอดอยากยากจนไปด้วย ที่ว่า
จนแล้วก็ยิ่งกลายเป็นคนจนในหมู่ยาจกทีเดียว รวมทั้งทำให้กลุ่มที่หญิงยากจนคนนี้ไปอาศัยอยู่พลอยยาก
ลำบากไปด้วย ทำให้หมู่คณะสงสัยว่า ต้องมีคนกาลกิณีอยู่แน่นอน จึงได้แบ่งกลุ่มออกเป็น ๒ ฝ่าย และ
ถ้าหญิงมีครรภ์ผู้นี้ไปอยู่ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะตกยากลำบาก ขอทานไม่ได้ทุกครั้ง จนเป็นที่รังเกียจของผู้
อื่น จึงขับนางออกจากกลุ่ม
.......เมื่อนางคลอดบุตร ได้เห็นหน้าบุตรแล้วอยากจะร้องไห้สัก ๕๐ ปี เพราะบุตรของนางพิกลพิการสารพัด
อย่าง มือ เท้า หู จมูก ปาก นัยน์ตา พิการไปหมด เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น น่าเกลียดเหลือเกิน แต่นางก็ไม่
ละทิ้งบุตร ทั้งนี้เพราะความมีเยื่อใย ความรักความผูกพันตามธรรมชาติของแม่ที่มีต่อลูกอย่างแรงกล้า นาง
เลี้ยงบุตรด้วยความฝืดเคือง วันใดที่พาบุตรไปขอทานด้วย วันนั้นจะไม่ได้อะไรเลย ส่วนวันใดทิ้งบุตร
ไว้ที่บ้าน วันนั้นจะได้อาหารพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพอดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น
พ่อแม่จึงปรึกษากันว่า ตั้งแต่ลูกคนนี้เกิดมา ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็พบแต่ความอัตคัดขัดสนตลอดเวลา
แม้กระนั้นก็ยังสู้ทนเลี้ยงดูลูกเรื่อยมา จนกระทั่งลูกสามารถดูแลตัวเองได้ จึงบอกกับลูกว่า " ลูกเอ๋ย เอา
กระเบื้องใบนี้ไป ต่างคนต่างไปเถอะ ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะรักลูกแค่ไหน แต่ถ้าเอาลูกไปด้วยก็คงจะอด
อยากมาก ดังนั้นลูกจงไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองเถิด "
ลูกจึงจำต้องจากไปเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ไม่ว่าจะไปทางไหนก็หาทรัพย์ไม่ได้ เด็กน้อยตะเกียกตะกาย
ขอทานช่วยเหลือตัวเองไปจนถึงบ้านของมูลสิริเศรษฐี ก็ระลึกชาติได้ว่า บ้านนี้เคยเป็นบ้านของตนมาก่อน
และเศรษฐีนี้ คือ ลูกชายของตนเอง จึงเดินไปในบ้านนั้น ฝ่ายลูกของมูลสิริเศรษฐีเห็นเด็กขอทานที่หน้า
ตาน่าเกลียด น่ากลัวเข้าก็ตกใจ จึงให้คนใช้ขับไล่ออกไป
.......ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ ( พระผู้ติดตาม ) เสด็จผ่านไปถึงที่นั้น
พระองค์ทรงชี้ให้ดูเด็กขอทานคนนั้น แล้วตรัสว่า " อานนท์ เด็กขอทานที่มีหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียด
นั้น คือ อานันทเศรษฐี "
ทั้งยังตรัสกับมูลสิริเศรษฐีให้ทราบอีกด้วยว่า นี่คือ อานันทเศรษฐี ซึ่งเป็นพ่อของเขาในอดีตชาติ
มูลสิริเศรษฐีจึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เขาจะทราบได้อย่างไร พระองค์ตรัสตอบว่า เด็กคนนี้
จำที่ฝังสมบัติได้ มูลสิริเศรษฐีจึงให้เด็กขอทานนั้นไปชี้ที่ฝังสมบัติ เมื่อให้คนขุดดู ก็พบว่ามีสมบัติจริงตาม
ที่ชี้
.......จะเห็นได้ว่า การไม่รักษาสมบัติของตนและไม่ตามรักษาสมบัติของผู้อื่น จำทำให้เข้าถึงความวิบัติ
ของรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติต่างๆ ทำให้มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ยากจนค่นแค้นเป็นที่
รังเกียจของคนทั่วไป
ส่วน " บุคคลที่ทำบุญเองและบอกบุญผู้อื่นด้วย ย่อมร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์สมบัติ และ บริวารสมบัติ "
เพราะว่า นอกจากตนเองได้รักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ดีแล้ว ยังติดตามไปรักษาทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่น
ฉะนั้นไปเกิดในภพชาติใด ก็จะมั่งคั่งร่ำรวยและมีพวกพ้องบริวารมาก จะทำสิ่งใดก็สำเร็จได้โดยง่าย
เพราะผู้ที่ได้รับการชักชวนทั้งหลาย ได้เสวยผลบุญเกิดมา มีความสุขความเจริญด้วยโภคทรัพย์สมบัติ
เขาจะระลึกถึงบุคคลที่ตามไปรักษาทรัพย์ของเขาไว้ให้พ้นจากวิบัติ ฉะนั้นจะเกิดกระแสบุญชนิดหนึ่ง
แล่นมาถึงผู้ที่ตามไปรักษาทรัพย์สมบัตินั้นไว้ พร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป จะมีแต่
คนที่ซื่อสัตย์สุจริต บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ มาเป็นบริวาร เป็นมิตรสหาย คนภัยคนพาลเข้าใกล้ไม่ได้
เพราะเดินสวนทางกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ไม่ดีจะไม่เกิดขึ้นเลย จะได้แต่สิ่งที่ดีๆ
ทั้งโภคทรัพย์สมบัติ และบริวารสมบัติทุกอย่าง
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#12
*sky noi*
โพสต์เมื่อ 29 March 2009 - 09:23 PM
#13
โพสต์เมื่อ 29 March 2009 - 10:34 PM
#14
โพสต์เมื่อ 31 March 2009 - 02:29 AM