อารมณ์เริ่มแปรปวน หงุดหงิด โมโห แก้ยากมาก ๆ ค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 07 June 2009 - 11:50 AM
#2
โพสต์เมื่อ 07 June 2009 - 02:44 PM
ส่วนเรื่องทางภายนอก...เป็นเรื่องบริหารจัดการ...คน...สินค้า...อาคารสถานที่...ประชาสัมพันธ์...กลยุทธ...ความต้องการลูกค้า...รายรับรายจ่าย
#3
โพสต์เมื่อ 07 June 2009 - 05:22 PM
ลองนั่งสมาธิ เริ่มจากไม่คิด ว่างจากอารมณ์เหมื่อนตอนใกล้จะนอนหลับ
แล้วนึกถึงภาพตอนถวายปัจจัย 20 บาท ร้อยบาทดู แต่ละสตางค์ล้วนเอามาช่วยคนบรรลุธรรมกันทั้งนั้น
ยืนยันตัวจริงเสียงจริงเจ้าของกรณีศึกษากฎแห่งกรรม
http://video.dmc.tv/programs/life_in_samsara/page5.html
หนังสือเรียนธรรมะ DOU http://book.dou.us/d...ya-book-gl.html
GL 101 จักรวาลวิทยา http://book.dou.us/gl101.html
GL 102 ปรโลกวิทยา http://book.dou.us/gl102.html
GL 203 กฎแห่งกรรม http://book.dou.us/gl203.html
GL 305 ปฏิปทามหาปูชนียาจารย์ http://book.dou.us/gl305.html
#4
โพสต์เมื่อ 07 June 2009 - 06:57 PM
#5
โพสต์เมื่อ 07 June 2009 - 07:10 PM
วันนี้อ่านหนังสือ "เส้นทางแห่งคุณค่า เส้นทางอุบาสก" โดย.พระ ดร. นพ.ปวิทัย วชิรวิชโช
ทำให้คิดได้ว่า เรามีชีวิตในภาวะแบบนี้ ยังไม่ใช่เส้นทางที่จะสู่ชีวิตอันประเสริฐ
การครองเรือนสุขน้อยทุกข์มาก
ดังบาลีที่กล่าวใน วัจฉนชาดก บางตอนว่า
ไม่ใช้อำนาจในการลงโทษผู้อื่นก็ดี การครองเรือนก็เป็นไปโดยยาก เมื่อเป็นเช่นนี้ใครเล่าจะครองเรือน
โดยไม่ให้บกพร่อง ให้เกิดความยินดีนั้นยากแสนยาก
ผมเห็นใจนะครับท่าน จขกท. เปิดร้านลูกค้าไม่มี ก็ทุกข์ครับ แต่ไงต้องสู้ต่อไปครับ
คิดเสียว่าบุญเรายังอยู่ก้นแก้วอยู่ หมั่นเติมไปเรื่อยๆ ก็จะสำเร็จ ครับ
เป็นธรรมดาครับ เวลาเราเจอปัญหาหรือแก้ไขไม่ได้...เช่น หุ้นขึ้นหุ้นลง เราไปบังคับมันไม่ได้ แต่เราเห็นมัน
ถ้าไม่ได้อย่างที่คิด เรามักขาด "สติ" สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ "คำถาม"
และคำตอบก็คือ "ความว่างเปล่า"...
ผลที่ได้รับจากความว่างเปล่านั้นก็คือ "ความฟุ้งซ่าน"
บ่อยครั้งที่ใครหลาย ๆ คนฟุ้งซ่านไปกับการคิดอะไรไม่ออกเมื่อต้องเผชิญกับปัญหา...
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรือเรื่องความรัก...
แม้ว่าบางคนพยายามจะเป็นนักแก้ปัญหาที่ดี แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก...
"เหตุผลเดียวที่แก้ปัญหาไม่ได้คือ การใช้อารมณ์และความรู้สึกแก้ไขปัญหา.."
เวลาคนเราใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง...เรามักจะทำอะไรโดยไม่มีมีเหตุผล เหมือนคนบ้า
เหมือนคนปัญญาอ่อน พูดง่าย ๆ ก็คือ "งี่เง่า"...
เลยทำให้คำตอบของทุก ๆ คำถามคือความว่างเปล่า...
ไม่มีทางออกใด ๆ ให้กับปัญหานั้น ลองเปรียบเทียบดูว่า
ระหว่างคนสองคนที่เจอทางตันเป็นกำแพงสูงใหญ่
คนแรกทำทุกวิถีทางที่จะทุบกำแพงนั้น...
ในขณะที่อีกคนพยายามหาวิธีป ีนกำแพงเพื่อจะข้ามไปให้ได้...
อยากถามว่าวิธีไหนจะได้ผลกว่ากัน..
การแก้ปัญญหาที่ดีจึงควรมีสติเป็นตัวช่วยเสมอ...
เจอปัญหาก็อย่าเพิ่งมุทะลุ...อย่าโวยวาย...อย่าทำให้ตัวเองเครียดกับปัญหานั้น ๆ
ทุบกำแพง ก็เหมือนทำร้ายตัวเองทางอ้อม เหนื่อยก็เหนื่อย เจ็บตัวอีกต่างหาก
ลองถอยหลังออกมาทีละก้าว ๆ เราจะได้มีเวลาสำรวจดูว่า
กำแพงนั้นสูงใหญ่แค่ไหน กว้างแค่ไหน ลึกแค่ไหน มีหนทางปีนป่ายข้ามมันไปได้อย่างไร...
ทุกปัญญหาย่อมมีทางออกเสมอ..เหมือนคำกล่าวที่ว่า..
"จะกลัวความมืดไปทำไม...พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว..."
บางทีปัญญหาก็ต้องอาศัยเวลามาเป็นตัวขับเคลื่อน ให้เกิดความคิดที่จะหาหนทางแก้ไข..
เมื่อเราคิดอย่างถี่ถ้วน..เราจะรู้ว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ทำอะไรก่อน ทำอะไรหลัง...
และเราควรจะใช้เวลาแก้ไขปัญหานั้นมากน้อยเพียงใด...
เร็วไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ช้าไปก็อาจทำให้ปัญหานั้นบานปลาย และแก้ไม่ได้...
เชื่อมั่นเถอะว่า...มีสติเมื่อไหร่ เราก็จะพบทางออกเมื่อนั้น...
บางทีทางที่มันตันก็จะช่วยสอนให้เรารู้ว่า...
ถ้าไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต เราก็จะไม่ประมาทกับการแก้ไขปัญหา
และเมื่อใดที่เรารู้จักแก้ไขปัญหาด้วยความรอบคอบ เราจะรู้จักคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเอง...
อ่านเจอข้อความดี ๆ จากหนังสือฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง
ของอาจารย์สมชาติ กิจยรรยง เขากล่าวไว้ว่า...
"ปัญหา ทำให้เราเข้มแข็ง
เวลาทำให้เราเชี่ยวชาญ
สถานการณ์ ทำให้เรารู้จักแก้ไข
การตัดสินใจ ทำให้เรารู้ว่าถูกหรือผิด
ความคิด ทำให้เราเลิศทางปัญญา..."
หากวันนี้พบเจอทางตัน...ถอยหลังก้าวออกมาอย่างมีสติ...
แล้วเราจะค้นพบอะไรบางอย่าง...อะไรที่ว่านั้น...
มันอยู่ในความคิดที่นิ่งสงบของเราแล้วนั่นเอง...
ผมมีปัญหาของคนในโลกนี้มาฝาก จขกท.และทุกๆ ท่าน ลองดูปัญหาของพวกเขา เทียบกับเราดูครับ
ไฟล์แนบ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#6
โพสต์เมื่อ 08 June 2009 - 09:24 AM
#7
โพสต์เมื่อ 08 June 2009 - 10:37 AM
อย่าลืม อธิษฐานให้
ใจของเราผ่องใส ไร้ซึ่ง ความเครียดเซ็งเศร้าเบื่อกลุ้ม ด้วยค่ะ
ให้เห็นทุกข์ เข้าใจในทุกข์ที่เห็น โดยไม่ต้องไปประสบเองค่ะ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#8
โพสต์เมื่อ 09 June 2009 - 01:02 PM
แนะนำให้นำเงินติดตัวไป เพื่อไปเสียค่า อาแปะเจี๊ย ให้กับตัวเอง ด้วยการ
ปิดร้านแล้ว ไปเที่ยว พักผ่อน นั่งสมาธิ ตามรีสอร์ทสวยๆ วิวทะเล หรือ ภูเขา ดีกว่า พอใจใส,ใจสบายแล้วค่อยมาเปิดใหม่
ระหว่างทางอาจจะได้พบกับ ทางออก ของปัญหา หรือแนวทางแก้ไขให้กับตัวเอง หรืออาจได้ องค์พระใสๆติดตัวมา
ดีกว่า เสียค่า อาแปะเจี๊ย ให้กับ อารมณ์เริ่มแปรปวน หงุดหงิด โมโห ไป ฟรีรีรีรรีรีรีวววววว(นอกนึกดูดีๆครับ เสียมากกว่านี้อีก)
เสียดายจังงงงงงง
#9
โพสต์เมื่อ 13 June 2009 - 11:25 AM
เลยได้ ข้อคิด ดี ๆ จาก นักเรียนอนุบาล เถลิงเกียรติ
ขออนุโมทนาบุญค่ะ