มีคำถามครับขอผู้รู้ช่วยตอบที
#1
โพสต์เมื่อ 07 October 2009 - 02:43 PM
1 หลังจากผมอ่านบทความเเล้วปรากฎว่าบทความดูคลุมเคลือพิกล
2 สังเกตได้ว่ามีทั้งผู้สนับสนุนเเล้วก็ผู้เเย้งข้อคิดเห็น
คำถามนะครับ
1. ผมควรไปโพสกระทู้ของเวปดังกล่าวเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คลุมเคลือให้เขามองเห็นข้อเท็จจริงหรือไม่
2. ผมควรปล่อยเลยตำเลยเหมือนกับคำพังเพยที่ว่า ทองเเท้ไม่เเพ้ไฟหรือไม่
3. ถ้าจากสอคำถามในข้างต้น ไม่เป็นการสมควรทั้งคู่ผมควรทำอย่างไรดีครับ
(ความคิดของตัวผมเองเเล้วเศร้าใจน่ะที่เห็นเเบบนี้เเละหวังว่าคงไม่เป็นการผิดกฎนะครับเพราะผมไม่ได้เเนบลิ้งมาน่ะ)
#2 *innerspot*
โพสต์เมื่อ 07 October 2009 - 02:49 PM
#3
โพสต์เมื่อ 07 October 2009 - 02:52 PM
1. หากมั่นใจในพระเดชพระคุณหลวงปู่ หลวงพ่อ และคุณยาย และหมู่คณะของเรา เราอย่าหวั่นไหวครับ
2. อีกอย่าง ในเวปที่คุณเข้าไปอ่าน ตามความรู้สึกคุณคือดูชอบกล แม้คุณจะอธิบายเขายังไงเขาก็ไม่เชื่อคุณหรอกครับ เพราะต่างคนต่างมีความคิดเชื่อมั่นในครูอาจารย์ของตน
ฉะนั้น ลูกพระธัมฯ ว่าอย่างไรว่าตามกัน
#4
โพสต์เมื่อ 07 October 2009 - 03:16 PM
สรุปว่าผมควรนิ่งเฉยสินะ -*-
ปากมันคันยุ๊กยิ๊กง่ะ ><
#5
โพสต์เมื่อ 07 October 2009 - 05:47 PM
เลยตัดสินใจว่าต่อไปจะไม่เสพข่าวพวกนี้อีกค่ะ
#6
โพสต์เมื่อ 07 October 2009 - 06:35 PM
ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก
บุรุษผู้ถูกนินทาโดยส่วนเดียว หรือถูกสรรเสริญโดยส่วนเดียว
ไม่มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีในบัดนี้”
คาถาธรรมบท โกธวรรคที่ ๑๗
“บุคคลไม่พึงใส่ใจคำแสลงหูของชนเหล่าอื่น
ไม่พึงแลดูกิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำของชนเหล่าอื่น
พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำของตนเท่านั้น”
คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
“โทษของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ส่วนโทษของตนเห็นได้ยาก
เพราะว่าบุคคลนั้นย่อมโปรยโทษของคนอื่น ดุจบุคคลโปรยแกลบ
แต่ปกปิดโทษของตนไว้ เหมือนพรานนกปกปิดอัตภาพด้วยกิ่งไม้ ฉะนั้น”
คาถาธรรมบท มลวรรคที่ ๑๘
#7
โพสต์เมื่อ 07 October 2009 - 06:39 PM
#8
โพสต์เมื่อ 07 October 2009 - 07:05 PM
สรุปคือ " ปล่อยเขาไปเถิด " ครับ อย่าไปอะไร ไม่ต้องทำ ไม่ต้องตอบโต้ ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้นครับ
" ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีต่อไป " แค่นี้ล่ะครับ
สักวันจะไม่มีใครสักคนที่เคลือบแคลงสงสัยในหลวงพ่อ หลวงปู่ คุณยาย และวิชชาธรรมกาย
" จิตสดใส เมื่อใจสิ้นระแวง เหมือนดวงจันทร์ส่องแสง ในคืนวันเพ็ญ "
พวกเรามาดูอะไรดีๆทุกวันที่ DMC เถอะครับ >> " คุ้มค่าทุกนาที ดูดีเอ็มซี แล้วไปถึงที่สุดแห่งธรรม " ครับ
" ปราบมาร "
#9
โพสต์เมื่อ 07 October 2009 - 10:28 PM
- ปกติเราพบปะใครก็ต้องบอกว่า รู้หน้า ไม่รู้ใจ....ในเว็บต้องบอกก่อนครับว่า ไม่รู้หน้า ไม่รู้ใจ
- หากท่าน เจ้าของพื้นที่เหล่านั้น ไม่เปิดใจรับ ไม่ศรัทธา แม้กล่าวชี้แจงความจริง คงจะไม่เป็นที่ยอมรับ จักเป็นการเสียเวลาโดยเปล่า พลาดพลั้งไป ใจไม่นิ่งพอ อาจเกิดวาทะ โต้คารม เกิดโทสะขึ้นมาก็เป็นได้นะครับ
- สมัยพระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านถูกกล่าวหายิ่งกว่านี้อีกครับ ท่านกล่าวเพียงว่า...คนเช่นเรา ใช่จะไร้เสีย ซึ่งปัญญา ชั่วก็รู้ ดีก็เห็น เราจะฆ่าตัวเราเองเพราะความปรารถนาลามกทำไม ที่เขาพูดหาว่าเราอย่างนั้น บางคนคงจะไม่รู้จักคำว่า "ธรรมกาย" มีอยู่ที่ไหน หมายเอาใคร เขาอาศัยความไม่รู้ มาว่าเรา ผู้ตั้งใจปฏิบัติชอบ เมื่อผู้ไม่รู้ติเตียนเรา ความไม่รู้ของเขาจะลบล้างสัจธรรมของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ถ้าจะลบก็ลบได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าดวงแก้วของพระพุทธศาสนาก็จะเปล่งรัศมีให้ผู้มีปัญญาเห็นด้วยสายตาของตนเอง...ธรรมจะต้องชนะอธรรมเสมอ เราไม่เดือดร้อนใจ เพราะ ธรรมกาย ของพระพุทธศาสนาเป็นของแท้ ไม่ใช่ของเก๊ หรือ ของเทียม ธรรมกาย จะปรากฏเป็นของจริงแก่ ผู้เข้าถึงธรรม เรื่องอย่างนี้เราไม่หวั่น เราเชื่อในคุณพระพุทธศาสนา"
- แม้จะมีบุญ แต่การปรามาสผู้เข้าถึงธรรมในระดับลุ่มลึก เป็นการก่อวจีทุจริตอย่างใหญ่หลวง หากวิบากส่งผล จักต้องแบกภาระไว้เป็นตันทีเดียว
- อย่างไรก็ตาม อย่ามองว่า ท่านเหล่านั้น คือ คู่อริ หรือ ศัตรู เพราะ คู่แข่งที่แท้จริงของเรา คือ เวลา ศัตรูที่แท้จริงของเรา คือ พญามาร ผู้อยู่หลังฉาก ชักใยให้เกิดความขัดแย้งนี้
#10
โพสต์เมื่อ 08 October 2009 - 08:54 AM
ทั้งๆ ตัวคนที่วิจารย์เองก็ยังไม่เคยมาวัดแม้สักครั้งเลยด้วยซ้ำ อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ ทางทีดีอย่าไปอ่านเลยอ่านแล้วจิตตก จะพาลทำให้เราลังเลสงสัยเรื่องไม่เป็นเรื่องไปด้วย แต่น่าสงสารพวกเขาเหล่านั้นนะคะ การที่วิจารณ์ผู้มีศีลเนี่ยมันบาปมากนะ
#11
โพสต์เมื่อ 08 October 2009 - 12:55 PM
แล้วก่อให้เกิดเป็นการกระทำขึ้นมาทางวาจาที่เป็นอกุศลนั้น...ในที่สุดวิบากกรรมย่อมมีแก่เขา
เมื่อเราเห็นถ้อยคำที่ไม่สุภาพนั้น จึงพิจารณาได้ถึงภูมิจิตของคนๆนั้นว่ามีโทสะจริตอยู่ในใจเขามาก
คนที่เป็นบัณฑิตจะมีวาจาที่สุภาพเป็นสัมมาวาจา ไม่ถางถางผู้อื่นในทางเสียหาย
และเมื่อเราคิดตรองในวาจาอันไม่งามนั้น เดี๋ยวอำนาจโทสะจริตของเขาจะแอบแฝงมาสู่จิตใจเราได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นเราควรห่างไกลจากคนพาล พึงอย่าได้อยู่ใกล้เลย...แม้เพียงความคิด
จิตสดใสเมื่อใจสิ้นระแวง เหมือนดวงจันทร์ส่องแสงในคืนวันเพ็ญ
#12
โพสต์เมื่อ 08 October 2009 - 03:51 PM
ผมเองก็เเม้จะเพิ่งเข้าวัดมาไม่นาน ซึ่งโดยส่วนตัวเเล้วก่อนผมจะมาถึงวัดนั้นมีเเต่คำกล่าวหาว่าร้ายต่างๆนาๆครับ
ซึ่งผมเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกว่าจะได้เห็นตัวตาสำผัสด้วยใจจะไม่เชื่อฝ่ายไหนทั้งสิ้นครับ
จนกระทั่งโดน เป่าหูเอาๆ จนเริ่มคล้อยตาม
ใจจริงผมสงสารคนพวกนั้นนะครับเพราะพอผมได้สำผัสวัดเเล้วก็พบว่าหลวงพ่อนี่เเหละคือของจริง
เพราะได้บวช ได้เข้ามาสำผัส เเละดูรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน ด้วย
ทั้งนี้ถ้าไม่ได้รุ่นพี่ที่ มธ ผมก็คงไม่ได้สำผัสเเบบนี้ครับ
หลังจากอ่านก็ใจหมองครับ เเต่ใจหนึ่งก็สงสารเขาอ่ะ เลยได้ตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ
#13 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 08 October 2009 - 06:29 PM
อาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2542
ขณะที่เอากระดาษเปล่ามาสำรองไว้ให้หลวงพ่อได้เขียน
บังเอิญเจอกระดาษแผ่นนี้เข้า
__ถึงแม้ถูกกลั่นแกล้ง เพียงใด
แต่จิตกลับสดใส ผ่องแผ้ว
เพราะรู้ว่าเป็นใคร อยู่ฉาก หลังแฮ
วันหนึ่งคงไม่แคล้ว จับได้ ต้นดำ
หลวงพ่อเขียนโคลงบทนี้ตอนไหนก็ไม่รู้
บางทีท่านอาจเขียนตอนที่อยู่เงียบๆ
หรือบางทีท่านอาจรำพึงกับตัวเองก็ได้
เพราะท่านตั้งใจที่จะปราบต้นเหตุแห่งกิเลส โลภ โกรธ หลง
ที่ดำมืดให้หมดไปจากใจของมนุษย์เราทุกๆ คน
คัดจาก บันทึกอุปัฏฐาก
#14
โพสต์เมื่อ 19 November 2009 - 10:32 PM
ทำใจร่มๆ เฝ้ารอเวลาอีกสักหน่อยดีกว่าครับ
รอให้งานพระศาสนาขยายไปมากกว่านี้
มีงานวิชาการมารองรับ มีสถาบันการศึกษา มีนักวิชาการระดับสูง
ลองคิดดูนะ ไปคุยกับเขาตอนนี้ ก็เหมือนกับไปเทศน์โปรดโทษของสุราให้พวกขี้เหล้ากลางวงสุราฟัง
นอกจากพวกเขาจะไม่ฟังแล้ว ตัวเราเองจะเจ็บตัวเอาน่ะสิ
รอเขาสร่างเมาดีกว่ามั้ยครับ จริงๆพวกในเวบนั้นเขาก็เมาจริงๆน่ะแหล่ะ
เมามันส์ในการด่าทอ สาปแช่งผู้อื่น!!!!!!
ยิ่งเราไปเป็นตัวล่อ เราก็เท่ากับ"ไปเป็นกับแกล้ม"ให้เขามากกว่า
คนเมาสุรา ยังมีเวลาสร่างเมาได้ "คนเมาข้อมูล"ก็สร่างได้เช่นกัน
อีกหน่อย ชาวโลกเขายอมรับเรากันมากขึ้น มีแต่คนนิยมมาวัดกันทั่วโลก
คนพวกนี้เขาก็"ตาสว่าง"กันเองแหล่ะ นิสัยคนไทย รู้ๆกันอยู่
แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาไปคุยกับเขาเท่านั้นเอง