ความย่อ
![nerd_smile.gif](style_emoticons/default/nerd_smile.gif)
ประมาณปี พ.ศ.392 มีพระราชาเชื้อสายกรีกพระองค์หนึ่ง จากดินแดนที่เรียกว่า
บาสเตรีย(อัฟริกานิสถานในปัจจุบัน) ทรงพระนามว่า
เมนันเดอร์-Menander(ในคัมภีร์บาลีจารึกว่า
พระเจ้ามิลินท์) ได้ยกกองทัพตีเมืองต่างๆ แผ่พระราชอำนาจลงมายังตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำคงคา และเข้าปกครองเมืองสาคลนคร แคว้นมัจฉะ
พระเจ้ามิลินท์ทรงแตกฉานในไตรเพทของพราหมณ์ ศาสนปรัชญาต่างๆรวมทั้งพุทธศาสนาด้วย ทรงประกาศโต้วาที กับนักบวชในลัทธิต่างๆ และขณะนั้นยัง
มิได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแต่ประการใด
พระเจ้ามิลินท์ เป็นผู้ฉลาดเฉลียว มีปฏิภาณดี มีวาทะเยี่ยม หาผู้ใดโต้วาทะได้ยาก ไม่มีใครเสมอเหมือนในทางสติปัญญา เที่ยวโต้วาทะด้วยการถามปัญหากับนักบวชในลัทธิต่างๆรวมถึงพระภิกษุสงฆ์ จนนักบวชและภิกษุสงฆ์พากันหนีออกจากสาครนคร บางรูปไปสู่ป่าหิมพานต์ เมืองสาคลนครจึงว่างจากสมณพราหมณ์อยู่ถึง 12ปี
ในคราวนั้นมีพระอรหันต์ 100โกฏิ จำพรรษาอยู่ในถํ้า ณ ป่าหิมพานต์ ทราบเรื่องดังกล่าว จึงประชุมความกันไปโปรด อัญเชิญ
มหาเสนะเทพบุตร ณ เกตวิมาน ให้จุติในมนุษยโลกเป็นบุตรของพราหมณ์โสณุตตระ ณ หมู่บ้านกะชังคละ มีนามว่า
นาคเสนกุมาร
นาคเสนกุมาร เป็นผู้มีปัญญามาก สำเร็จไตรเพทตั้งแต่อายุ 7ขวบ ทั้งยังมีอุปนิสัยขวนขวายหาความรู้ให้มากยิ่งขึ้นไป วันหนึ่งนาคเสนเห็นพระโรหณะมาบิณฑบาตที่หน้าบ้าน จึงเข้าไปสนทนาและถามว่า
"ศาสนาท่านมีอะไรน่าสนใจ ท่านจึงบวชอยู่" พระโรหณะจึงกล่าวตอบว่า"
ศาสนามีสิ่งดีแน่ เพียงแต่ท่านบวชเข้ามาอาตมาก็จะบอกให้" กุมารจึงขอลาบิดามาบวชเป็นสามเณรที่ถํ้ารักขิต ท่ามกลางพระอรหันต์จำนวนมาก มีพระโรหณะเป็นอุปัชฌาย์ ท่านเห็นปัญญาอันแหลมคมของสามเณรนาคเสนแล้ว จึงให้เรียนพระอภิธรรมก่อนพระพุทธพจน์
ทำให้สามเณรนาคเสนรู้สึกไม่พอใจ แต่สามเณรก็เรียนพระอภิธรรมจบได้อย่างรวดเร็ว
พระอรหันต์ทั้งหลายจึงประชุมกันให้สามเณรนาคเสนบวชเป็นภิกษุ โดยมีพระโรหณะเป็นพระอุปัชฌาย์ วันรุ่งขึ้นพระนาคเสนออกบิณฑบาตกับพระอุปัชฌาย์ เดินตามหลังท่านและคิดในใจว่า
"พระอุปัชฌาย์ของเราโง่เขลาจริง ที่ให้เราเรียนพระอภิธรรมก่อนพระพุทธพจน์อื่นๆ" พระโรหณะทราบความคิดพระนาคเสน จึงกล่าวว่า
"นาคเสนคิดอย่างนั้นหาควรไม่" พระนาคเสนจึงได้รู้ว่า พระอุปัชฌาย์ของตนรู้วาระจิตจึงคิดใหม่ว่า พระอุปัชฌาย์ของเรามีปัญญาดีแท้ จึงกล่าวขออภัยท่านในการคิดล่วงเกิน
![nerd_smile.gif](style_emoticons/default/nerd_smile.gif)
พระโรหณะกล่าวว่า
"จะอภัยโทษล่วงเกินด้วยเหตุเพียงเท่านี้หาสมควรไม่ นาคเสนต้องไปทำกิจพระศาสนาอย่างหนึ่งให้สำเร็จเราจึงจะอภัยโทษให้ คือ มีพระราชานามว่า มิลินท์ในสาคลราชธานี ทรงโปรดถามปัญหาต่างๆ ให้เธอไปโปรดพระราชาองค์นั้นให้เลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว นั่นคือการอภัยโทษของเรา" พระนาคเสนตอบว่า
"อย่าว่าแต่เพียงพระเจ้ามิลินท์องค์เดียวเลย แม้ร้อยแห่งพระเจ้ามิลินท์ ท่านก็สามารถให้เลื่อมใสได้"...........
![nerd_smile.gif](style_emoticons/default/nerd_smile.gif)
หลังจากนั้นพระโรหณะได้ส่งพระนาคเสนไปศึกษาต่อกับพระอัสสะคุตตเถระ และพระธรรมรักขิตเถระ ณ อโศการาม เมืองปาตรีบุตร เพื่อศึกษาพุทธวัจนะให้ยิ่งขึ้นไป
![sick_smile.gif](style_emoticons/default/sick_smile.gif)
ในสำนัก
พระธรรมรักขิต พระนาคเสนได้ท่องสวดพุทธวัจนะ อย่างละหนเดียวเป็นเวลา 3เดือน และพิจารณาหาความหมายทำความเข้าใจในพุทธวัจนะอีก 3เดือน รวมเป็น 6เดือน พระธรรมรักขิตเห็นว่าพระนาคเสนเชี่ยวชาญในปริยัติยิ่งนัก แต่ปฏิบัติไม่ถึงที่สุด จึงกล่าวเตือนว่า
"อย่าเป็นอย่างคนเลี้ยงโครับแต่ค่าจ้าง แต่ไม่ได้ดื่มรสแห่งนมโค" พระนาคเสนรู้สึกซาบซึ้งกับคำเตือนอันมีค่ายิ่ง จึงบำเพ็ญเพียรประหารกิเลสอาสวะ บรรลุอรหัตตผลพร้อมปฏิสัมภิทา4 คือ ความแตกฉานในอรรถ ในธรรม ในภาษา และ ในปฏิภาณ
เมื่อพระโรหณะทราบว่าพระนาคเสน มีความรู้ในอรรถ ในธรรม ในภาษา และในปฏิภาณแล้ว จึงส่งสารแจ้งพระนาคเสนว่าพร้อมที่จะไปโต้วาทะตอบปัญหาให้กับพระเจ้ามิลินท์แล้ว จึงนำพระนาคเสนมายังนครสาคละ เมื่อมาถึงได้กล้าวกับข้าราชบริพารว่า"บัดนี้อาตมภาพได้นำพระนาคเสนมาโต้วาทะกับพระเจ้ามิลินท์แล้ว"
พระเจ้ามิลินท์ทรงทราบข่าวนั้นเสด็จไปสนทนาเป็นเชิงปุจฉาวิสัชนา อภิปรายกันขึ้นเป็นเวลาหลายวัน ผลปรากฏว่า พระเจ้ามิลินท์ยอมรับวาทะอันงดงามในธรรมของพระนาคเสน ข้อสนทนาระหว่างทั้งสองท่านนี้ได้รวบรวมไว้เป็นคัมภีร์ที่เรียกว่า "
มิลินทปัญหา"