พระพุทธเจ้า ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตใช่หรือไม่?
#1
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 02:38 AM
เราจะเห็นได้ว่าท่านได้กระทำปาฎิหารย์ต่างๆที่ขัดแย้งกับกฎของฟิสิกส์มากมาย
เช่น เหาะ ดำดิน ปาฏิหารย์กาย เนรมิตสิ่งต่างๆได้
ท่านสามารถย้อนกลับไปดูอดีตได้ยาวนานแสนนาน มองเห็นภพภูมิต่างๆตลอดภพสาม
ญาณทัสนะกว้างไกลทั่วอนันตจักรวาล
แต่มีสิ่งเดียวที่ไม่เคยเห็น หรือเคยได้ยินว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนสามารถกระทำได้
นั่นก็คือการย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
(ดังที่จะเคยได้เห็นมาในนิยายวิทยาศาตร์หลายๆเรื่อง)
เรื่องนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?
#2
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 03:02 AM
ถูกต้องนะครับ
พระพุทธองค์แม้จะทรงอยู่เหนือกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของโลกก็จริง แต่ทว่า มีกฎเหล็กอยู่ข้อหนึ่ง ที่พระองค์เองก็มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ เช่นเดียวกันกับบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย นั่นคือ "กฎแห่งกรรม" (เพราะฉะนั้น "สิ่งที่ทำไปแล้ว แก้คืนไม่ได้ นอกจากตั้งต้นใหม่")
#3 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 04:22 AM
u bek ka
#4
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 09:54 AM
ทุกคนต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่เค้าตั้งไว้ไม่น่าจะย้อนเวลากลับมาได้ ( อิๆ คิดเอาเองน๊า )
หลวงพ่อบอกว่า อดีตลืมให้หมด
คุณยายบอกว่า ชาติก่อนจะเป็นยังไงเอาไว้ก่อน สำคัญอยู่ที่ตัวเราในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับตัวเรา เอาตัวเองให้รอด
#5
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 11:47 AM
เช่น เหาะ ดำดิน ปาฏิหารย์กาย เนรมิตสิ่งต่างๆได้
ตอบ ความจริงแล้วท่านทำตามกฎอะตอมฟิสิกส์ครับ คือ ถ้าจะเหาะ ท่านก็เปลี่ยนโมเลกุลในร่างกาย หรือทำให้โครงสร้างอะตอมในร่างกายเบากว่าเดิม ดำดิน ท่านก็เปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลให้ว่างดำดินครับ ปาฏิหารย์กายท่านก็ทำการสร้างภาพเวอชวลเหมือนอย่างที่วิทยาศาสตร์ใช้เครื่องยิงแสงเลเซอร์ทำภาพคนสามมิติ แหละครับแต่กลับกันตรงที่ท่านใช้พลังจิตเป็นสื่อสร้างภาพเท่านั้นเอง
ตอบ กาลเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต เวลาที่สมบูรณ์ที่สุดคือ เวลาปัจจุบัน ส่วนเวลาที่ล่วงมาแล้วคือภาพในอดีต เวลาที่กำลังจะบังเกิดหรือภาพที่กำลังจะบังเกิด คือ อนาคต ไม่แน่นอนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเหตุปัจจัยในปัจจุบันเปลี่ยน ดังนั้นอดีตจึงเหลือแต่ภาพจับต้องไม่ได้อีกครับ เหมือนอย่างเราเห็นดวงดาวบนท้องฟ้า เราก็กำลังเห็นภาพในอดีตเนื่องจากแสงเดินทางใช้เวลาผ่านห้วงอวกาศ ถ้าสมมุติเราตัดคำว่าเวลาออกไป ดาวดวงที่เราเห็นอยู่ ณ เวลานี้ ขณะนี้อาจจะดับไปแล้วก็ได้ครับ
สรุปคือ อดีต เป็นเพียงภาพของเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เกิดผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้ อนาคต เป็นภาพของเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดจากปัจจุบันมีเหตุบังคับให้เกิดทิศทางต่อไป ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราเห็นคนเล่นสนุ๊กเกอร์ ถ้านักกีฬายิงลูกขาวชนลูกดำด้วยแรง =...? มุม =...? พุ่งตรงทิศทางลูกดำพอดี ดังนั้นผลที่ลูกดำจะลงหลุมก็พอดีเช่นกัน เพราะแรง+มุม ได้ส่วน กล่าวคือ ถ้าเหตุในปัจจุบันถึงจุดสมบูรณ์ผลก็จะเกิดสมบูรณ์ได้ในอนาคต จุดสมบูรณ์ของเหตุการณ์ในปัจจุบันคือตัวชี้อนาคตนั่นเองครับ
#6
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 12:57 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#7
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 08:02 PM
#8
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 09:27 AM
#9 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 09:31 AM
กล่าวคือ ภาพในอดีตที่ถูกบันทึกไว้ พระเดชพระคุณท่านบอกว่า เหมือนเป็นภาพวีดีโอที่ถูกบันทึกไว้ในกล้องที่ดีที่สุด คือ ใจของเรา หมายถึง ภาพนั้นถูกบันทึกจากเหตุการ์ณจริงที่เกิดขึ้นของแต่ละคน และใจแต่ละคนก็บันทึกภาพในสถาณการณ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น สมัยเด็กๆทุกท่านมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน การนึกยอ้นกลับไปดูภาพนั้น แม้เราจะอธิบายให้คนอื่นได้ชัดอย่างไร มันก็ไม่เหมือนในเหตุการณ์นั้นๆที่เกิดขึ้นจริง และการที่จะแก้ไขอดีต อาจจะอุปมาอย่างนี้ครับ คือ เหมือนกับการถ่ายทำหนังเสร็จสมบูรณ์แล้ว การที่จะแก้ไขหนังแต่ละเรื่องก็ต้องแก้ที่ตัวนักแสดงจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละฉาก แต่การที่เราจะย้อนเวลากลับไปแก้นั้นหาได้ไม่เพราะตัวละครแต่ละคนนั้น ได้สูญหาย ตามชนกกรรมของตัวเอง และสภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนแปลงไป เงื่อนไขบุคคลก็ต่างไป ภาษาวัฒนธรรมก็เปลี่ยนไปอีก ดังนั้น ถ้าจะเปลี่ยนใหม่ก็ต้องไปย้อนทุกสิ่งทุกอย่างให้เหมือนเดิม เป็นเรื่องยากมากๆ สมมุติว่า ตัวละครในฉากนั้นๆ มีอยู่สามคน คนหนึ่งไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า แล้วคนหนึ่งไปเกิดเป็นสัตว์ ส่วนอีกคนหนึ่งไปเกิดเป็นคน ทั้งสามตัวละครเคยอยู่ในฉากเดี๋ยวกัน แต่มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ย้อนกลับไปดูได้แต่ก็ย้อนกลับไปดูในวีดีโอที่ตนเองบันทึกไว้เท่านั้น หาได้ย้อนกลับไปดูในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นไม่ ท่านถึงในลำว่าระลึกชาติไงครับ ไม่ได้ใช้คำว่า ย้อนกลับเข้าไปในอดีต คำว่าระลึก เป็นกิริยาที่ใช้กับใจเท่านั้น หาได้ใช้กับกายไม่ หรือ เอาตัวอย่างง่ายๆอีกอย่างเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เราจะได้เกือบทุกๆเรื่อง คำว่าจำก็คือ กิริยาที่ใช้กับใจ แม้เราจะจำได้แต่เราก็แก้ไขสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วไม่ได้ หากแต่จำได้ หรือ อีกตัวอย่าง คือ สมมุติว่าเราเพิ่งฆ่ายุงไปตัวเรารู้ว่ามันบาป แล้วเราสำนึกผิดว่าเราไม่ควรฆ่า แล้วเราก็ไม่อยากฆ่า ทั้งๆที่เพิ่งฆ่าผ่านมาสองนาที แต่เราก็ไม่อาจะย้อนเวลาได้ กลับไประวังไม่ให้ฆ่ายุงได้หากแต่เราจำเรื่องราวได้
หรือ ถ้าสามารถกลับไปแก้ไขเรื่องเหล่านั้นได้จริงๆก็ดีนะครับ เพราะเหมือนหลวงพ่อฝีนในฝันไปเราก็ย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องในอดีต เช่น ปัจจุบันเราเจ็บป่วยเพราะเคยเป็นทหารพระราชา ไปฆ่าคนไว้เยอะ เราก็ย้อนกลับไปแก้ไข แต่ทั้งนี้เพื่อนๆทหารก็มาสร้างบารมีกันอยู่ในพุทธัรดรนี้หมดให้ยังไงให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้กลับไปแก้ด้วยกันได้ น่าคิดนะครับ อิอิ พอสมควรแก่เวลา โอเช แปลว่าตกลงขอลาจร
#10
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 06:08 AM
ดังนั้นการย้อนเวลาเป็นเรื่องที่ขัดกับหลักของความเป็นจริง
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#11
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 04:27 PM
เช่น เหาะ ดำดิน ปาฏิหารย์กาย เนรมิตสิ่งต่างๆได้
เอ่อ ด้วยความที่เรียนวิทยาศาสตร์มานะครับ แต่ว่าไม่ได้จบฟิสิกส์มา
คือหากใช้หลักวิทยาศาสตร์ที่อยู่บนฐานความคิดของนิวตัน
ที่เป็นวิทยาศาสตร์มองธรรมชาติแบบกลไก โดยไม่มีเรื่องจิตเข้ามาเกี่ยวข้อง
เราก็อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ น่าแปลก ขัดแย้ง
แต่ว่าในวิทยาศาสตร์ใหม่บนพื้นฐานของควอนตัมฟิสิกส์ เรื่องเหล่านี้เป็นไปได้ครับ
ด้วยความรู้งูๆปลาๆ ทางควอนตัมของผม ทราบมาว่า
วัตถุใดๆอาจจะมองว่า มันเป็นสสารหรือพลังงานก็ได้
หมายความว่ามีสมบัติทั้งเป็นคลื่นและอนุภาคในสิ่งเดียวกัน
แต่เราผู้ทำการสังเกตจะเห็นว่ามันแสดงคุณสมบัติใดก็อยู่การที่เราเอาเครื่องมือไปวัด ตรวจสอบ
เช่น อย่างง่ายๆก็คือว่า หากเราเอาร่างกายไปชั่งกิโล เราก็บอกว่ามีมวล เป็นสสาร
ถ้าเราเอาเทอมอร์มิเตอร์ไปวัด เราก็บอกเป็นพลังงาน อันนี้อย่างหยาบๆ
เพราะอาจจะค้านได้ว่า มันเป็นส่วนประกอบกัน... ไม่ได้หมายความว่าเป็นอย่างเดียวกัน
แต่ทางฟิสิกส์ก็ระดับเล็กอย่างอิเล็กตรอน ก็แสดงคุณสมบัติได้ทั้งสอง พิสูจน์ทดลองมาแล้ว
และทางควอนตัมก็บอกอีกว่า มันจะแสดงเป็นคุณสมบัติอย่างไรก็เหมือนรู้ใจเรา
คือมันก็เป็นของมันอย่างนั้น แต่หากว่า เรานึกว่ามันเป็นสสารมันก็จะแสดงคุณสมบัตินั้นให้เราจับต้องได้
มันไม่มีอยู่จริง จนเมื่อเราไปสังเกต... และเป็นไปตามจิตที่ปรุงแต่งมันขึ้นมา
และการทดลองทางควอนตัม อิเล็กตรอนก็สามารถเดินทางซ้ายหรือขวาตามจิตที่เราคิดได้
นั่นหมายความว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอาจขึ้นอยู่กำจิตเรากำหนด
กลับมาเรื่องฤทธิ์ หากเราทราบซึ้งว่าโลกนี้เป็นคลื่น วัตถุที่เห็นอาจจะไม่ใช่สสารเสมอ
อย่างในหนังเรื่องแมททริกซ์ที่นีโอเห็นว่าโลกนี้เกิดจากสัญญานไฟฟ้า แค่0กับ1
แล้วจิตเกิดสมาธิ มีกำลังพอและได้รับการฝึกฝน เราก็สามารถเล่นกับสัญญานเหล่านั้นได้
นีโอ ที่ทราบดีว่าโลกเป็นอย่างไร ก็เริ่มเหาะได้ เริ่มมีอิทธิฤทธิ์
ก็คล้ายๆกันมั้งผมว่า จิตที่เห็นว่าน้ำอาจจะไม่ใช่ของเหลว เป็นของแข็งเราก็เหยียบได้
ตัวเราหากจิตเราเข้าถึงว่า มันอาจจะไม่ได้หนักอย่างที่อายตนะทั้ง6รับรู้ เราอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นรับรู้ ได้ยินเสมอ
เราก้าวพ้นจากนั้น เปิดการรับรู้ใหม่ จิตที่คิดว่าตนเบามันก็เบาได้ด่งใจนึก ก็เหาะได้
และเรื่องพวกนี้ หากเอาวิทยาศาสตร์พื้นฐานไปวัด ไปอธิบายก็บอกได้ระดับหนึ่ง
เมื่อ2500 ปีก่อนก็ยังไม่มีวิทยาศาสตร์สมัยนี้เกิดขึ้น วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เกิดแค่300ปีนี้
ยิ่งควอนตัมก็เพิ่งเข้าใจกันไม่กี่10ปี แต่การเข้าถึงธรรมชาติของพระพุทธเจ้ามีมาตั้งนานแล้ว
วิทยาศาสตร์ควอนตัมถึงเริ่มมาอธิบายตามหลังเรื่องจิตได้ ผมว่าทางพุทธก้าวหน้ากว่าวิทยาศาสตร์เยอะ
กฏและทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่รู้ว่ากี่กฏกี่ทฤษฏี จะถูกล้มล้างและสร้างขึ้นใหม่
ถึงจะอธิบาย เข้าถึงความจริงได้มากๆยิ่งขึ้นไปอีก ผมว่าทางพุทธศาสนานี่แหละสุดยอดแล้ว ยังไม่มีข้อผิดเลย ความจริงของชีวิตและสรรพสิ่ง
ของอย่างนี้ ฟังเขาเล่าอย่างเดียวไม่เห็น และอย่าไปเชื่อครับ ต้องลองพิสูจนืดูด้วยตนเอง ว่าเป็นไปได้ ทำได้รึป่าว
#12
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 06:51 PM
#13
โพสต์เมื่อ 06 February 2007 - 01:55 PM
#14
โพสต์เมื่อ 06 June 2008 - 05:02 PM
แก้ไข อดีดที่ผิดพลาดในอสงไขยกับป์ ที่ผ่านมาเหล่านั้น
แต่หลักคำสอนที่ว่า "ผลย่อมเกิดจากเหตุ" เพราะมีเหตุ แต่ในอดีดอสงไขยชาตินั้นมา จึงได้บังเกิดผลใน
ปัจจุบันชาตินี้
นั่นหมายความว่า ถ้าเราย้อนกลับไปแก้ไขอดีด(เหตุ) ปรากฎปัจจุบันที่มีอยู่ จะหายไป จะกลายเป็นปัจจุบันใหม่ทันที (ผล)
ยิ่งเราแก้ไขอดีด ย้อนเวลาไปมาก (กับป์,อสงไขย) ปัจจุบันของเราอาจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว ซึ่งก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเปลี่ยนแปลงไปแบบไหน ดีหรือร้าย เป็นอจินไตย คือยากที่จะคาดเดาได้
้