ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

วินสตัล เชอร์ชิล


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Daemusin

Daemusin
  • Members
  • 133 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 January 2010 - 06:36 PM

สืบเนื่องมาจากหนังสือ เดินไปสู่ความสุข ตอน สู่เพศสมณะได้กล่าวถึงชื่อของ วิลสตัน เชอร์ชิล ทำให้ตัวผมเองอยากทราบว่าท่านเป็นใครหลวงพ่อถึงได้กล่าวถึงจึงขออนุญาตนำประวัติของท่านมาให้ได้ศึกษากันครับ


ท่านผู้อ่านคิดเหมือนผมไหมครับว่า วีรบุรุษหลายต่อหลายคนในโลกที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกได้นั้น ล้วนแล้วแต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถหรือพรสวรรค์พิเศษ แต่ปรากฎว่ามีบางคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแล้วสร้างความาเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้เพราะความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสูงจนไม่อาจประเมินได้ แล้วนำไปสู่ความพยายาม ความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละและต่อเนื่อง จนเป็นเหตุให้คน ๆ นั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในชีวิต แม้ว่าหากเราได้ศึกษาถึงจุดเริ่มต้นของเขาคนนั้น ก็จะพบว่ามีชีวิตที่กระท่อนแท่นไม่ได้สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลการเรียนที่ย่ำแย่จนเกือบเอาตัวไม่รอด หรือแม้กระทั่งไปสอบเรียนต่อที่ไหนก็ไม่ค่อยสำเร็จ แต่ปรากฎว่าเมื่อเขาเกิดได้ทำในสิ่งที่เขาเชื่อมั่น สิ่งที่ชอบ และมีความสุขที่ได้ทำแล้ว พลังที่หลบซ่อนอยู่ในตัวจะแสดงออกมาจนทำให้คนนั้นกลายเป็นเหมือนคนบ้างาน ทำงานอย่างหนักโดยไม่สนใจว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด เพียงแต่ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำเท่านั้น

วินสตัน เชอร์ชิล เป็นหนึ่งในวีรบุรุษโลก ที่เริ่มต้นชีวิตย่างกระท่อนกระท่อนจนบิดา มารดาของเขาเป็นห่วงมาก เพราะความไม่รักดีและไม่ใฝ่เรียนของเขา เขาไม่ชอบเรียนหนังสือเพราะ โดยเนื้อแท้แล้วเขาไม่ชอบถูกบังคับ และไม่ชอบทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ จึงเกิดอาการต่อต้านขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันหากเป็นสิ่งที่เขาชอบ เขาจะทำมันอย่างสุดความสามารถ

หากพิจารณาประเด็นนี้ผมจึงขอฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอยู่ในวัยเด็กว่า การที่บุตรหลานของท่านเรียนหนังสือไม่เก่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ให้เรามองหาว่าบุตรหลานของเรามีความสามารถพิเศษอะไร หรือมีความสนใจด้านใดบ้าง และหากสิ่งนี้นเป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดโทษต่อผู้อื่น ก็ควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้เขาสามารถพัฒนาตนเองกลายมาเป็นอัจฉริยะในด้านที่พวกเขาให้ความสนใจและทำได้ดีได้ในอนาคต

วินสตัน เชอร์ชิล ประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะเขามีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในสนามรบซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสนใจอยู่แล้ว ถือเป็นโอกาสดีที่เขาได้รับ เนื่องจากเขาสามารถแสดงศักยภาพของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ และในที่สุดแล้วเขาก็มีชื่อเสียงอย่างมากจากการเป็นทหาร จนถึงช่วงสุดท้ายที่เขาได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ คือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้แสดงความสามารถในการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารอังกฤษที่มีกำลังใจย่ำแย่มากในตอนนั้น เพราะความแข็งแกร่งของกองทหารเยอรมัน และฮิตเล่อร์ได้มีคำสั่งให้ทิ้งระเบิดกลางกรุงลอนดอน จนทำให้กรุงลอนดอนมีสภาพเหมือนทุ่งแห่งเปลวเพลิง

วินสตัน เชอร์ชิลเป็นผู้วางแผนการรบในขณะนั้น นอกจากนี้เขายังดำเนินการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมรบ จนเป็นสาเหตุให้ทหารเยอรมันต้องพ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน ความสำเร็จในการวางแผนการรบจนได้รับชัยชนะนั้นเพราะเขานำเอาพรสวรรค์ของตัวเองมาสร้างให้เกิดประโยชน์ เขาทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด จนก่อให้เกิดผลงานที่ส่งให้เขากลายเป็นผู้นำของโลกในขณะนั้น จนได้รับสมญานามว่า “ราชสีห์แห่งอังกฤษ” เขาแสดงความเป็นผู้นำอันโดดเดี่ยวเป็นกำลังใจให้อังกฤษฟันฝ่าหายนะทั้งปวง ดุจเช่นราชสีห์ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบากใดๆ และไม่เคยปราชัยแก่ผู้ใดเลย

ชีวิตของวินสตัน เชอร์ชิลเป็นชีวิตที่ต้องต่อสู้มาโดยตลอดเช่นกัน แต่เขาไม่เคยย่อถ้อและยอมแพ้ แม้หลายต่อหลายครั้งที่ต้องล้มลุกคลุกคลาน ก็สามารถยืนหยัดขึ้นมาต่อสู้อีก ทั้งนี้เพราะเขาเชื่อว่าที่เขาถือกำเนิดมาในโลกนี้เพื่อวัตถุประสงค์อะไรที่ยิ่งใหญ่สักอย่างหนึ่ง เขาจึงทำงานหนักเพื่อจะสร้างชื่อเสียงเพื่อความยิ่งใหญ่นั้น และไม่ยอมให้มีอุปสรรคใดมายับยั้งโชคชะตาซึ่งลิขิตมาแล้วของเขาได้ นับว่าเป็นบุคคลตัวอย่างอีกคนหนึ่งที่คนรุ่นหลังควรเรียนรู้ประวัติชีวิต ในการที่ไม่ย่อท้อหากเรียนไม่เก่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำอย่างอื่นไม่ได้ดี ทุกคนต่างมีจุดเด่น จุดแข็งกันทั้งนั้น แต่จะทำอย่างไรให้ได้พบและใช้สิ่งที่มีอยู่ในตัวตนของเราอย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพเท่านั้น

ประวัติ

วินสตัน สเปนเซอร์ เชอร์ชิล ถือกำเนิดขึ้นมาในตระกูลขุนนางซึ่งมีต้นตระกูลเป็นนักรบผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ ) บิดาชื่อ ลอร์ดแรนดอฟ เชอร์ชิล นักการเมืองหนุ่มผู้มีชื่อเสียง และมารดาคือ เลดี้ เจนนี สาวสวยชาวอเมริกัน แม้จะถือกำเนิดในตระกูลขุนนาง ครอบครัวแรนดอฟ เชอร์ชิล ก็มิได้เป็นครอบครัวร่ำรวยมหาศาล เนื่องจากลอร์ดแรนดอฟผู้เป็นบิดา เป็นลูกชายคนรองๆ และไม่ได้เป็นทายาทสืบตระกูลและทรัพย์สมบัติของตระกูลเชอร์ชิล นอกจากนั้นอาชีพนักการเมืองของอังกฤษสมัยนั้นเป็นอาชีพที่ไม่ได้รับเงินเดือน ได้รับแต่ชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้น

วินสตัน เชอร์ชิลเป็นบุตรคนโตในจำนวนบุตรชายเพียง 2 คน เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1874 ณ วังเบลนไฮม์ อันเป็นวังประจำตระกูลเชอร์ชิล วังแห่งนี้เป็นของขวัญที่ประชาชนอังกฤษรวบรวมเงินกันสร้างให้เป็นของขวัญแก่ต้นตระกูลเชอร์ชิลผู้ทำสงครามป้องกันอังกฤษให้พ้นภัยศัตรู ทำให้วินสตันภูมิใจอย่างยิ่ง และทำให้มีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กที่จะเป็นวีรบุรุษเยี่ยงต้นตระกูลของเขาให้ได้

เมื่ออายุ 5 ขวบ วินสตัน เชอร์ชิลติดตามบิดามารดาไปพำนักอยู่ที่ประเทศไอร์แลนด์ นับเป็นวันเวลาในวัยเด็กที่มีความสุขที่สุดของวินสตัน ถึงแม้ว่าลอร์ดแรนดอฟจะยุ่งอยู่กับงานตลอดเวลา และเลดี้เจนนีจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเข้าสังคม แต่วินสตันก็ได้รับความรักความอบอุ่นและการเลี้ยงดูอย่างดีจากมิสซิสเอเวอเรสผู้เลี้ยงดู เมื่ออายุ 7 ขวบ ชีวิตเด็กที่มีความสุขก็ยุติลง เวลานั้นครอบครัวแรนดอฟกลับมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในอังกฤษแล้ว ชีวิตการต่อสู้ของวินสตันเริ่มต้นขึ้นเมื่อมารดาส่งเขาไปเข้าโรงเรียนกินนอนชื่อเซนต์เจมส์ เพื่อเตรียมตัวเข้าโรงเรียนฮาโรวที่มีชื่อเสียงต่อไป โรงเรียนดังกล่าวมีหลักการ ว่าการจะฝึกเด็กให้ได้ดีขึ้นนั้นจะต้องวางกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดที่สุด จะต้องใช้วิธีบังคับและลงโทษที่หนักและจะต้องพยายามอัดความรู้เข้าสมองเด็กๆ ให้ได้มากที่สุด เมื่อเข้าโรงเรียนวันแรก วินสตันถูกบังคับให้เข้าเรียนภาษาละติน วันต่อๆ มาถูกตีจนตัวลาย วินสตันจึงเริ่มแสดงนิสัยขบถอย่างเด่นชัด ยิ่งถูกตีเขาก็ยิ่งดื้อ ยิ่งถูกบังคับให้เรียนก็ยิ่งพยายามหลบเลี่ยง วินสตันเริ่มเกลียดโรงเรียนนี้อย่างสุดชีวิต และเริ่มเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนย่ำแย่

ต่อมาเขาได้ย้ายไปอยู่ที่โรงเรียนฮาโรว ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เป็นเหมือนที่ชุมนุมของผู้ดีชาวอังกฤษ ผลการเรียนของเขายังย่ำแย่อยู่เหมือนเดิม จนทำให้บิดาต้องเสื่อมเสียหน้าอย่างมากเพราะกำลังเป็นนักการเมืองดาวรุ่งในขณะนั้น แต่ความเกลียดภาษาละตินของเขาก็มีข้อดีอยู่บ้าง เพราะมันทำให้เขาสนใจภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นไวยากรณ์หรือคำศัพท์ เขาท่องจนชำนาญและสามารถนำมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว อาจารย์บางคนถึงกับแปลกใจที่วินสตันท่องหนังสือภาษาอังกฤษที่มีสำนวนไพเราะได้เป็นเล่มๆ วินสตันถือว่าเขาเลือกทุ่มเทเรียนในวิชาซึ่งเอามาใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริง ประเด็นนี้ผมคิดว่าความคิดของเขาในขณะนั้นถูกต้องแล้ว เพราะต่อมาอาชีพซึ่งจะยังชีพและสร้างชื่อเสียงเริ่มต้นให่แก่วินสตันคือการเป็นนักเขียน และเมื่อมาเป็นนักการเมืองแล้ว การใช้ภาษาที่เก่งกาจของเขาช่วยให้สุนทรพจน์ของวินสตันเป็นที่ประทับใจคนและช่วยให้เขาได้รับการเลือกตั้งและในเวลาวิกฤต วินสตันก็ได้ใช้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของเขาปลุกระดมใจคนอังกฤษให้ต่อสู้เยอรมันีที่มีกองทัพแข็งแกร่งที่สุดจนประเทศชาติรอดพ้นภัยพิบัติมาได้

อย่างไรก็ตาม, ด้วยผลการเรียนที่ตกต่ำเป็นอย่างมากของเขา ทำให้บิดาที่ขณะนั้น ได้รับตำแหน่งประธานสภาสามัญ ควบไปกับตำแหน่งรัฐมนตรีการคลังเริ่มวิตกกังวลในอนาคตของเขา จึงคิดว่าควรจะส่งเขาเข้าเรียนทหาร เพราะในสมัยนั้นผู้ดีอังกฤษมักส่งลูกหลานที่ผลการเรียนไม่ดีเข้าโรงเรียนทหาร เพราะยังเป็นอาชีพที่มีเกียรติอยู่ และวินสตันเองได้แสดงออกตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นทหาร ดังนั้นบิดาของเขาจึงสนับสนุนให้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายทหารแซนเฮิร์ส
แต่กว่าจะเข้าเรียนได้ เขาต้องสอบถึงสามครั้ง และยังได้แค่ชั้นเรียนของทหารม้า ซึ่งเป็นแผนกที่คะแนนต่ำที่สุด ทำให้บิดาต้องสียหน้าอีกครั้ง แต่เขากลับดีใจ เพราะชอบม้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น เนื่องจากเขาเล่นไล่จับกับบรรดาญาติ ๆ จนกระทั่งมาจนมุมที่สะพานสูง และข้างล่างเป็นเหวที่มีต้นไม้ปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก แทนที่เขาจะยอมถูกจับกลับกระโดดสะพานลงมาเพราะคิดว่าต้นไม้คงพยุงร่างของเขาไว้ได้ แต่โชคไม่ดี เขากระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง จนต้องใช้เวลาในการรักษาอุบัติเหตุในครั้งนี้กว่าหนึ่งปี เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนมุทะลุไม่ยอมแพ้ใคร ในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างความเชื่อของเขาด้วยว่า เขาเกิดมาเพื่อจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ข้างหน้า เขาจึงไม่มีทางตายก่อนที่จะพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าเขาเป็นยอดคน และกาลต่อมา เขาจะรอดตายอย่างหวุดหวิดไม่น่าเชื่ออีกหลายครั้งจนทำให้หลายๆ คนเชื่อเช่นเดียวกับเขา

ระหว่างที่วินสตัน เชอร์ชิลเป็นนักเรียนนายร้อยและสนุกสนานอยู่กับการเรียนกลยุทธ์ในการรบ แต่บิดาของเขากลับประสบมรสุมทางการเมืองและต้องลาออกจากตำแหน่ง ท่านได้เป็นรัฐมนตรีเมื่ออายุ 40 แต่ก็อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน เมื่อพ้นจากตำแหน่งก็ล้มป่วยกระเสาะกระแสะและสิ้นชีวิตลงเมื่ออายุ 43 ปีเท่านั้น ขณะนั้น วินสตันมีอายุเพียง 20 ปี และต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่โชคร้ายคือบิดาของเขาไม่ทิ้งสมบัติไว้ให้เลย ดังนั้นเมื่อวินสตันสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนักเรียนนายร้อย และถูกส่งไปประจำกองทหารม้าฮุสซาในประเทศอินเดีย เขาประทังชีวิตอยู่ด้วยเงินเบี้ยเลี้ยงซึ่งมารดาให้ประจำเดือนซึ่งก็พอใช้เดือนต่อเดือนเท่านั้น

ชีวิตทหารม้าอังกฤษในอินเดียเป็นชีวิตที่สนุกสนาน และมีโอกาสได้ไปยังแนวรบชายแดนมะละกัน จากประสบการณ์ในการสังเกตการณ์รบดังกล่าว วินสตันเริ่มชีวิตนักประพันธ์โดยการเขียนหนังสือเล่มแรกได้แก่เรื่อง “สมรภูมิมะละกัน” หนังสือเล่มนี้สามารถถ่ายทอดเหตุการณ์การรบได้อย่างมีชีวิตชีวา ชื่อของวินสตัน เชอร์ชิลเริ่มเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักอ่าน เขาได้รับเงินค่าเรื่องเป็นจำนวนมากพอดู ทำให้วินสตันพบหนทางว่า เขาสามารถยังชีพและแม้แต่สะสมเงินทองได้จากการเขียนหนังสือ ต่อมาเชอร์ชิลได้ลาออกจากชีวิตทหารหลังจากที่เขาเข้าร่วมรบในการต่อสู้ระหว่างกองทัพอังกฤษกับกบฏซูดานในประเทศอียิปต์ เขาได้เข้าร่วมรบอย่างใกล้ชิด และหวุดหวิดที่จะเสียชีวิต แต่เขาก็รอดมาได้

หลังจากการรบยุติลง เชอร์ชิลเขียนหนังสือ The River War ขึ้นมาอีกเล่มหนึ่ง เล่าถึงการรบที่แม่น้ำไนล์อย่างดุเดือด ทำให้ได้รับทั้งเงินค่าเรื่องและชื่อเสียงมากพอควร เขาได้ยื่นใบลาออกจากกองทัพเพราะมีความรู้สึกว่าได้เรียนรู้สงครามจนเพียงพอแล้ว เขาเบนเข็มไปยังชีวิตนักการเมือง ทั้งนี้เพราะความทรงจำเกี่ยวกับลอร์ดแรนดอฟผู้เป็นบิดา ยังคงรุ่งโรจน์อยู่ในจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในอัตชีวประวัติเขาเองได้ยอมรับว่า แม้เขาจะเกรงกลัวและไม่เคยได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับบิดานัก แต่เขาก็มีความภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกชายนักการเมืองที่ใครๆ รู้จักนับถือ เขาจำได้ว่าทุกหนแห่งที่บิดาเขาเดินผ่านไป ผู้คนต้องถอดหมวกคำนับ และซุบซิบกันด้วยความชื่นชม แม้แต่ในครอบครัวเชอร์ชิล ทุกคนต่างภูมิใจและยำเกรงบิดาของเขา เขาถือว่าตัวเองผู้เป็นบุตรชายจะต้องพยายามต่อสู้ในสิ่งที่บิดาของเขาสูญเสียไปก่อนเวลาอันควร

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันเหชีวิตเข้าสู่การเมือง ครั้งแรกเขาลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เชอร์ชิลเพิ่งมีอายุ 25 ปี และไม่มีใครรู้จัก เขาจึงได้หันกลับมาสู่ปืนและปากกาอีกครั้งหนึ่ง ในปีนั้นเอง สงครามบัวร์ได้เริ่มปะทุขึ้น สงครามดังกล่าวเป็นการรบระหว่างกองทัพอังกฤษและชาวดัตช์ผู้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนเซาท์แอฟริกา ฉนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบแหล่งแร่มีค่า เช่น ทองคำและเพชร รัฐบาลอังกฤษจึงได้มีความคิดที่จะเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว เขามองเห็นช่องทางในการที่จะทำในสิ่งที่ตนรักคือการเขียนหนังสือ เขาจึงตกลงกับหนังสือพิมพ์ Morning Post เพื่อที่จะติดตามข่าวเรื่องนี้ เขาได้นั่งรถไฟไปกับกองทหารอังกฤษ แต่ขบวนรถไฟดังกล่าวถูกโจมตีอย่างหนักจากทหารชาวบัวร์ เมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้เขาได้ประกอบวีรกรรมคือรับอาสาฝ่ากระสุนปืนของพวกบัวร์ไปเคลื่อนย้ายตู้รถไฟที่ขวางทางอยู่ ทำให้ขบวนรถที่เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บสามารถผ่านออกจากสนามรบไปได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดีทหารอังกฤษอีก 52 นาย รวมทั้งตัวเขาเองถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด
เขาถูกคุมขังประมาณ 1 เดือนด้วยความอัดอั้นตันใจ แม้เขาจะไม่ได้ถูกทรมานใดๆ แต่การต้องมาทนอยู่เฉยๆ เป็นเหมือนการทำให้เขาเสียเวลาในการแสวงหาชื่อเสียงไปโดยเปล่า โดยที่เขายังไม่รู้ว่าขณะเดียวกันนั้น หนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวถึงเขา และคนอังกฤษกำลังสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองให้แก่วีรบุรษเชอร์ชิลผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการคุมขัง

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1899 เขาได้หลบหนีออกมาจากที่คุมขัง ท่ามกลางกองกำลังพลของทหารชาวบัวร์จำนวนมากมายมหาศาล เขาสามารถหนีกลับมาที่กองทัพอังกฤษได้อย่างปลอดภัย และเมื่อกองทหารอังกฤษบุกเข้ายึดกรุงพรีทอเรีย เชอร์ชิลก็ได้เป็นผู้ขี่ม้านำหน้าใครๆ เข้าไปฉีกธงของพวกบัวร์ที่ปักไว้หน้าคุกที่เคยกักขังเขาไว้ทิ้ง

หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษ และได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่โตในฐานะวีรบุรุษของชาติ เขาได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง และประสบความสำเร็จ โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎร นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตบนเส้นทางการเมืองอันยาวนานและยิ่งใหญ่ของเขานั่นเอง

ค.ศ. 1906 ชีวิตของเชอร์ชิลเริ่มเปลี่ยนแปลงไป นอกจากเขาจะชนะการเลือกตั้งในนาม ส.ส. พรรคเสรีนิยมแล้ว เขายังได้รู้จักสาวสวยผู้มีนามว่า แคลมองไทน์ ฮอร์ซิเยอร์ ผู้เป็นบุตรสาวของสหายหญิงของมารดาเขาอีกด้วย ซึ่งในขณะนั้น แคลมองไทน์เพิ่งมีอายุได้เพียง 23 ปี เธอเป็นสาวสวยที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมและมีเชื้อสายจากตระกูลผู้ดีเช่นกัน นอกจากนั้นเธอยังเป็นผู้มีความสนใจด้านการเมืองอีกด้วย เขากล่าวว่าชีวิตหลังการแต่งงานเหมือนกับตอนจบของเทพนิยายที่มักบรรยายหลังการแต่งงานระหว่างพระเอกนางเอกไว้ว่า “They lived happily ever after” ทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน 4 คน

เมื่ออายุได้ 33 ปี เขาได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการอาณานิคม ต่อมาได้รับเลื่อนเป็นปะธานหอการค้าอังกฤษซึ่งมีฐานะเทียบเท่ารัฐมนตรี และทุกครั้งที่เขาจะต้องขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ เขาจะต้องนั่งร่างสุนทรพจน์ล่วงหน้าก่อนเป็นเดือน และทุกครั้งที่เขากล่าวสุนทรพจน์นั้น ล้วนแล้วแต่กินใจผู้ฟังเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะเดินทางไปที่ใด จะต้องมีหีบใบใหญ่ข้างกายอยู่เสมอ ในนั้นจะบรรจุเอกสาร และอุปกรณ์การเขียนทั้งหมดของเขาไว้ เรียกได้ว่าเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ของเขาเลยทีเดียว

หลังจากที่เขาได้ดำรงตำแหน่งประธานหอการค้านั้นเขาเป็นผู้ที่มีไฟในการทำงานเป็นอย่างมาก หลาย ๆ โครงการถูกริเริ่มขึ้น และเขายังเป็นผู้ที่สนับสนุนให้สตรีสามารถออกเสียงเลือกตั้งได้ จากความสำเร็จของหลาย ๆ โครงการที่เขาเป็นผู้ดูแล ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกิจการทหารเรือในค.ศ. 1911 หลังรับตำแหน่งเขาได้ปรับปรุงกองทัพเรืออังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผลักดันกองทัพอังกฤษให้เปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินมาเป็นน้ำมัน วางแผนยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพเรืออังกฤษ โดยกำหนดว่าจะเอาหลักความสามารถเป็นเกณฑ์ในการเลื่อนตำแหน่ง โดยไม่ดูว่ามีเชื้อสายใด มาจากวงตระกูลชั้นสูงใด ๆ ปรากฎว่ากองทัพเรือของเขาเข้มแข็งมาก จึงได้สนับสนุนแผนการให้มีการยกพลขึ้นบก ณ ช่องแคบดาร์ดาร์แนลในประเทศตุรกีซึ่งเป็นพันธมิตรกับเยอรมันี เพื่อตัดกำลังเยอรมันีทางแนวรบตะวันออก แต่การรบครั้งนั้นกลับพบกับความพ่ายแพ้ เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง เขาค่อยๆ คลายความเศร้าโศกผิดหวังหันเข้าหากิจกรรมอื่นๆ เช่นการวาดรูป, การก่ออิฐ และในที่สุด ก็ลาจากชีวิตการเมืองสักพัก เพื่อสมัครไปเป็นทหาร

ดังนั้นเมื่อสงครามสงบลง เขาได้หวนกลับมาสู่วงการเมืองอีก เขาวนเวียนอยู่ในวงการเมืองอังกฤษ รับตำแหน่งต่างๆ ที่สำคัญ อาทิ รัฐมนตรีว่าการคลัง ที่บิดาของเขาเคยดำรงตำแหน่งมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เชอร์ชิลไม่ค่อยชอบงานทางด้านเศรษฐศาสตร์มากนัก ในใจเขานึกถึงแต่งานที่กระทรวงทหารเรืออยู่เสมอ

ในขณะนั้นเขาได้เล็งเห็นอันตรายจากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์บุคคลผู้ซึ่งมีความคิดและการกระทำที่ส่อไปในทางทำลายสันติภาพของยุโรป และได้พยายามเตือนนักการเมืองและคนอังกฤษให้ตระหนักถึงภัยจาก ฮิตเลอร์ แต่นายกรัฐมนตรีอังกฤษในตอนนั้นคือนายเนวิล แชมเบอร์เลน เป็นสุภาพบุรุษผู้รักความสงบ ดังนั้นเขาจึงใช้นโยบายผ่อนปรนกับเยอรมันี ความอดทนของแชมเบอร์เลนและชาวอังกฤษหมดสิ้นลงเมื่อกองทัพเยอรมันเข้ารุกรานโปแลนด์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 อังกฤษและโปแลนด์มีสัญญาพันธมิตรต่อกัน ดังนั้น อังกฤษจึงประกาศสงครามต่อเยอรมนีในวันที่ 3 สิงหาคมปีนั้น ฝรั่งเศสก็ประกาศตามในทันที กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ความอ่อนแอของแชมเบอร์เลนนี้ ทำให้เขาต้องลาออก และวินสตัน เชอร์ชิล ก็ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อนำกำลังพลต่อสู่กับกองทัพทหารเยอรมันของฮิตเลอร์

วันที่วินสตันขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาปลุกระดมมวลชนโดยการประกาศต่อสาธารณชนว่า นัก “ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดจะมอบนอกจากโลหิต แรงงาน น้ำตา และหยาดเหงื่อ และจะต่อสู้ในสงคราม ต่อต้านทรราชหฤโหดที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ และจะไม่หยุดยั้งจนกว่าจะได้รับชัยชนะ”

ช่วงเวลา 3 เดือนต่อจากนั้น กองทัพเยอรมันบุกอังกฤษอย่างหนัก มีการทิ้งระเบิดกลางกรุงลอนดอน จนทำให้ลอนดอนลุกเป็นทะเลเพลิง แม้แต่พระราชวังบัคกิงแฮมก็ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ปลุกระดมคนอังกฤษอยู่ตลอดเวลา และท้ายที่สุดเมื่อฮิตเลอร์เห็นว่าไม่สามารถยึดครองอังกฤษได้แล้ว จึงเบนเข็มเข้ายึดครองรัสเซียแทน การตัดสินใจในครั้งนี้ของฮิตเลอร์ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์เพราะในตอนนั้นรัสเซียเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์แล้วและมีโจเซฟ สตาลินเป็นผู้นำ วินสตันเองถึงแม้จะเกลียดคอมมิวนิสต์มาก แต่ก็ต้องจับมือกับสตาลินเพื่อขับไล่ฮิตเลอร์ เขาพูดไว้ว่า “หากฮิตเลอร์ส่งกองทัพบุกนรก ข้าพเจ้าก็จะยอมคบกับซาตาน”

ต่อมาสงครามได้ขยายวงขึ้นไปอีก เมื่อญี่ปุ่นส่งฝูงบินเข้าโจมตีอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ที่ฮาวายเพื่อหวังทำลายกองทัพเรืออเมริกันประจำมหาสมุทรแปซิฟิก ในขณะเดียวกับที่ส่งทหารลูกพระอาทิตย์บุกประเทศในเอเชียอีกหลายประเทศ กลายเป็นมหาสงครามเอเชียบูรพา สหรัฐอเมริกาก็เลยประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และก็ประกาศสงครามกับเยอรมนีและอิตาลีซึ่งเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่นไปพร้อมๆ กัน ด้วยกำลังพลอันมหาศาลของสหรัฐอเมริกา ได้พลิกโฉมหน้าของสงครามให้ฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และรัสเซีย เริ่มได้ชัยชนะในการสงคราม ในขณะที่เยอรมนีต้องถอยร่นไปทุกที และในที่สุดกองทัพสัมพันธมิตรก็ได้ยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส และรุกรบจนตีได้ฝรั่งเศสคืน หลังจากนั้นก็ขับไล่เยอรมนีออกไปจากยุโรปจนสิ้น ฮิตเลอร์กระทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรบุกเข้าไปได้จนถึงกองบัญชาการรบของเขาในกรุงเบอร์ลิน สงครามโลกในยุโรปจึงได้ยุติลงในวันที่ 7 พฤษภาคม 1944

วินสตัน เชอร์ชิลฐานะผู้นำชาติอังกฤษให้รอดพ้นจากความหายนะของสงครามมาสู่ชัยชนะในที่สุด และภายหลังมีผู้กล่าวสรรเสริญเชอร์ชิลในความสามารถนำชาติให้พ้นภัยของเขา แต่เชอร์ชิลก็ได้กล่าวว่า “คนอังกฤษเป็นผู้มีจิตใจห้าวหาญดุจดังราชสีห์อยู่แล้ว ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ได้รับเกียรติเป็นตัวแทนในการส่งเสียงคำรามเท่านั้น”

โชคชะตาได้เล่นตลกกับวินสตัน เชอร์ชิล อีกครั้งหนึ่ง เขาแพ้การเลือกตั้งทั่วไปภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง และชาวอังกฤษเกรงว่า วินสตัน เชอร์ชิลอาจจะไม่เป็นผู้นำที่ดีในยามสงบ ดังเช่นที่เขาเป็นผู้นำที่หาที่เปรียบไม่ได้ในยามสงคราม ชาวอังกฤษเริ่มหันไปให้ความเชื่อถือพรรคแรงงาน ซึ่งมีนโยบายใหม่ๆ เกี่ยวกับสวัสดิการสังคม ดังนั้นชาวอังกฤษจึงได้เลือกนาย
เคลมองต์ แอตลี เป็นนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม ชีวิตบนถนนการเมืองยังคงรอเขาอยู่ จนกระทั่งเขาอายุ 77 ปี เชอร์ชิลได้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษอีกครั้ง คราวนี้เขารู้สึกพอใจอย่างยิ่งที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ใต้เบื้องพระยุคลบาทของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ผู้ซึ่งขึ้นครองราชย์หลังจากเชอร์ชิลเข้ารับตำแหน่งครั้งที่ 2 เพียง 1 ปี เขาเริ่มชีวิตการเมืองในยุคที่อังกฤษกำลังมีอำนาจขีดสุด ในฐานะเจ้าของอาณานิคมที่พระอาทิตย์ไม่เคยมีโอกาสตกดิน ผ่านสงครามโลกถึงสองครั้ง มาจนได้เห็นอังกฤษยุคใหม่ ยุคแห่งเครื่องบินไอพ่น แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เห็นความเสื่อมถอยของอำนาจของอังกฤษลงไปด้วย และเมื่ออายุ 80 ปี เชอร์ชิลขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ชีวิตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเชอร์ชิลหมดสิ้นไปกับการเขียนหนังสือเป็นส่วนใหญ่ ในปี ค.ศ. 1953 เชอร์ชิลได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมจากผลงานเขียนของเขา นอกจากนั้นเขายังเดินทางไปทั่วโลก เพื่อปาฐกถาในที่ต่างๆ ในฐานะรัฐบุรุษซึ่งมีชื่อเสียง และที่ขาดไม่ได้ คือ เขายังเป็นนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีวาจาอันเฉียบแหลม และยังคงเป็น ส.ส. ที่กระตือรือร้นคนหนึ่งในสภาผู้แทนของอังกฤษ

เชอร์ชิลยังคงเข้าร่วมการประชุมสภาฯ ต่อมาอีกหลายปี จนสภาพร่างกายของเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้หยุดพัก ในที่สุดวินสตัน เชอร์ชิล สิ้นชีวิตในวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1965 เมื่อมีอายุรวมได้ 90 ปี ซึ่งไม่ตรงกับความกลัวเมื่อยังหนุ่มว่าจะอายุสั้น เช่นเดียวกับบิดาของเขา นับเป็น 90 ปีที่เชอร์ชิลได้ใช้อย่างคุ้มค่า และโชกโชนที่สุดอย่างที่จะหาใครมาเทียบเทียมได้ยากยิ่ง

*วินสตัน เชอร์ชิลวีรบุรุษสงครามสำหรับหนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ประจำวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2549

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  m138060.jpg   184.06K   57 ดาวน์โหลด

คนที่ไม่มีปัญหาคือคนที่ไม่ได้ทำ

#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 11 January 2010 - 07:03 PM

โอ้ เยี่ยมยอด และยอดเยี่ยม ในทางโลก แม้จะยังติดลบบ้างในทางธรรม เช่น ต้องฆ่าคนเพราะสงคราม แต่นิสัยที่สู้ไม่ถอย ท้อไม่เป็นก็จะเป็นอุปนิสัย ในการสั่งสมบารมีในภพต่อๆไป ในวันที่หันมาถูกทาง
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#3 Daemusin

Daemusin
  • Members
  • 133 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 January 2010 - 11:25 PM

คุณ หัดฝันคิดคล้าย ๆผม ถ้าเค้าได้รู้จักทางธรรม จะเป็นคนที่ไปได้ไกลทีเดียว
คนที่ไม่มีปัญหาคือคนที่ไม่ได้ทำ