กฏเกณท์ในการตั้งมโนปณิธาน เพื่อบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
#1
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 12:55 PM
#2
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 05:46 PM
๑. ใจต้องเป็นก่อน (เพราะ "ใจ" นั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง)
๒. มุ่งมั่นฝ่าฟันและสั่งสมบารมีในทุกทัศ ให้ถึงระดับของมโนรถแห่งความปรารถนาที่ตนต้องการจะบรรลุ
๓. อธิษฐานกำกับทุกครั้งที่ได้มีการสั่งสมในทุกๆ บารมีกุศลทั้งน้อยและใหญ่ ทั้งใกล้และไกล ไปจนตลอดอายุขัยของตนให้หนาแน่น ทุกภพ ทุกชาติ กระทั่งบารมี ๓o ทัศเต็มเปี่ยมบริบูรณ์
#3
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 07:28 PM
๑. ต้องเป็นผู้ที่ไม่ข้องอยู่ในฐานะอันอาภัพทั้ง ๑๘ ประการ ดังเช่น เกิดในครรภ์ของนางทาสี ๑ เป็นคนบอด ๑ คนหนวก ๑ คนใบ้ ๑ ทำปัญจานันตริยกรรมทั้ง ๕ ประการ ๑ เกิดเป็นอสัญญีสัตตาพรหม ๑ เกิดเป็นพรหมสุทธาวาส ๑ เป็นพระอริยบุคคล ๑ (พระโสดาบันกระทั่งถึงพระอรหันต์) เกิดในอายตนะโลกันตร์ หรือเกิดในอเวจีมหานรก ๑ เกิดเป็นสตรีเพศ หรือเกิดเป็นบัณเฑาะก์ หรือผู้ที่มีความบกพร่องทางเพศอื่นๆ อาทิ อุภโตพยัญชนก ๑ เกิดเป็นเทวบุตรมาร ๑ เกิดในอนารยะประเทศ ๑ เกิดในจักรวาลอื่น ๑ (เข้าใจว่า เป็นจักรวาลที่ไม่มีพระพุทธศาสนา/มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิด) และเกิดเป็นเปรตสามจำพวกแรก ๑ (ยกเว้น ปรทัตตูปชีวิกเปรต (เปรตขอส่วนบุญ) อาจพลาดพลั้งเป็นได้ในบางชาติ ซึ่งกำเนิดแห่งเปตวิสัยนั้น จำแนกเปรตออกได้เป็น ๔ จำพวก ๑๒ ตระกูล) เป็นต้น
๒. ต้องบริบูรณ์พร้อมด้วยธรรมสโมธานทั้ง ๘ ดังเช่น เป็นอุดมเพศ (บุรุษเพศ) ที่มีความบริสุทธิ์สมบูรณ์ทั้งกายและใจ ๑ มีนิสัยของความเป็นผู้ที่สามารถจักบรรลุถึงซึ่งอรหัตผลได้ในทันทีหากลาพุทธภูมิ (หมายความว่า ในช่วงก่อนที่กำลังจะได้รับพระพุทธพยากรณ์นั้น เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาปรารถนาจะเป็นพระสาวก ก็สามารถบรรลุถึงซึ่งความสิ้นอาสวะได้โดยฉับพลันทันที เนื่องจากมีบารมีที่ได้สั่งสมมาแล้วอย่างมากเกินพอ) รักและมั่นคงในพระโพธิญาณยิ่งชีวิต ๑ ได้บรรลุซึ่งอภิญญา ๕ ฌานสมาบัติ ๘ ๑ เป็นต้น
ปล. เนื่องจากรายละเอียดในการตอบครั้งนี้ มาจากความทรงจำของกระผมล้วนๆ (ตอบสดครับ) หากมีข้อผิดพลาดอันใดต้องขออภัยต่อทุกท่านไว้ล่วงหน้า และในส่วนของคุณสมบัติทั้ง ๒ ประการนั้น จะเห็นได้ว่ายังคงขาดคุณสมบัติบางประการอยู่ ก็ขอแบ่งบุญนี้ ให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ มาช่วยเสริมให้ด้วยนะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 07:39 PM
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#5
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 07:58 PM
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#6
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 10:25 PM
#7
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 12:16 AM
#8
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 12:04 PM
ในกาลนั้น เมื่อเรา(พระพุทธเจ้า) ค้นหาอยู่ ได้เห็นทานบารมีเป็นข้อที่ ๑ ซึ่งเป็นทางใหญ่อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อนประพฤติมาจึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๑ นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อนท่านจงบำเพ็ญทานบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านเห็นยาจกทั้งชั้นต่ำ ปานกลางและชั้นสูงแล้ว จงให้ทานอย่าให้เหลือ ดังหม้อที่เขาคว่ำไว้ เปรียบเหมือนหม้อที่เต็มด้วยน้ำ ผู้ใดผู้หนึ่งจับคว่ำลงแล้ว น้ำย่อมไหลออกหมด ไม่ขังอยู่ในหม้อนั้น ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้นเมื่อเราค้นหาอยู่
ก็ได้เห็นศีลบารมีเป็นข้อที่ ๒ ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๒ นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อนท่านจงบำเพ็ญศีลบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านจงบำเพ็ญศีลในภูมิ ๔ ให้บริบูรณ์ จงรักษาศีลในกาลทั้งปวง ดังจามรีรักษาขนหาง เปรียบเหมือนดังจามรีย่อมรักษาขนหางอันติดในที่ไรๆ ยอมตายในที่นั้น ไม่ยอมทำขนหางให้เสีย ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป
(โปรดติดตามตอนต่อไปได้ในกระทู้ธรรมกถึก)
ที่มา : เล่มที่ 33/2 พระสุตตันตปิฎก พุทธวงศ์ รัตนะจงกรมกัณฑ์ ว่าด้วยพุทธองค์ทรงเนรมิตจงกรมแก้ว
#9
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 10:07 PM
-ในส่วนของฐานะอันอาภัพ ๑๘ ประการ ได้แก่ เป็นคนโรคเรื้อน ๑ เป็นบุคคลวิกลจริต ๑ เกิดในอรูปพรหม ๑ เกิดเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่านกกระจาบและใหญ่กว่าช้าง ๑
-ในส่วนของธรรมสโมธาน ๘ ได้แก่ ต้องได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ๑ (เกียรติก้องฯ น่าตีจริงๆ ง่ายๆ แค่นี้ กลับนึกไม่ออก ตอบไม่ได้) ต้องมีเพศเป็นนักบวช ๑ ต้องได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ และสามารถบำเพ็ญบุญญาภิสมภารอย่างยิ่งยวดแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ๑
สรุปว่า การ quiz ในครั้งนี้ เกียรติก้องฯ ได้ ๑๘ แต้ม จากคะแนนเต็มทั้งหมด ๒๖ แต้ม
#10
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 10:52 PM
#11
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 11:04 PM
อาภัพตรงไหน? ยังงัย? ช่วยอธิบายหน่อยครับ? เกิดเป็นเทวบุตรมารอาภัพยังงัย? เกิดในอรูปพรหม อาภัพยังงัย?
เกิดเป็นสัตว์ที่มีขนาดไม่เล็กกว่านกกระจาบ ถ้าเล็กกว่าอาภัพยังงัย? และไม่ใหญ่กว่าช้าง ถ้าใหญ่กว่าอาภัพยังงัย? ทำไมถึงอาภัพ?
รบกวนแจกธรรมทานด้วยครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#12
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 11:13 PM
อันนี้มีเหตุผลอันใด ทำไมถึงไปเกิดในจักรวาลอื่นๆ มิได้ครับ
นอกจากนี้ แต่ละข้อผมเองก็ยังไม่เคลียร์เท่าไหร่ เช่น เกิดเป็นคนป่า ๑ เกิดในครรภ์ของนางทาสี ๑ ฯลฯ ถ้าไม่เวลา รบกวนวันถัดๆ ไป ช่วยอธิบายทีละข้อเลยได้ไหมครับ
ป.ล. ช่วยบอกว่านะครับ ว่าเป็นความคิดเห็นของผู้ตอบ หรือว่ามีในพระคัมภีร์จริงๆ
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#13
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 12:20 AM
ถามแบบนี้ ต้องยกตัวอย่างขอฐานะดังกล่าวบางประการมาอธิบาย ดังนี้นะครับ
๑. เกิดเป็นอิตถีสตรีเพศ เนื่องจากเพศภาวะนี้ เป็นเพศภาวะที่ไม่หนักแน่น โลเล และจิตใจยังไม่มั่นคง ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงไม่ทรงประทานพุทธพยากรณ์ให้ จึงจัดอยู่ในฐานะอันอาภัพประการหนึ่งของผู้ปรารถนาให้บรรลุถึงซึ่งพระโพธิญาณ
๒. เกิดเป็นอสัญญีสัตตาพรหม รูปพรหมประเภทนี้ มีชื่อเรียกอีกประการหนึ่งว่า "พรหมลูกฟัก" เดิมทีเดียวในสมัยเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เป็นผู้บำเพ็ญพรตกระทั่งได้บรรลุถึงซึ่งปัญจมฌาน อันมีอารมณ์แห่งองค์ฌานเป็นอุเบกขาและเอกัคตา ซึ่งท่านเหล่านี้ มักมีคำบริกรรมในองค์ฌานว่า "อสญฺญีปิ อสญฺญีปิ" แปลว่า "ขอกูจงอย่ามีสัญญา ขอกูจงอย่ามีสัญญา" ด้วยเหตุนี้ เมื่อดับขันธ์ละอัตภาพจากความเป็นมนุษย์แล้ว จึงได้มาถืออุบัติขั้นเป็นอสัญญีสัตตาพรหม ตามตำราของพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า รูปพรหมชั้นนี้ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ หากอิริยาบถแห่งการได้บรรลุฌานนั้น เป็นไปในลักษณะใด ครั้นตายแล้ว ย่อมมาเสวยผลแห่งฌาน ด้วยอิริยาบถนั้น ดุจเดียวกัน กล่าวคือ หากได้บรรลุในอิริยาบถนั่ง ก็ต้องมาอยู่ในอิริยาบถนั่ง หากได้บรรลุในอิริยาบถนอน ก็ย่อมต้องเสวยผลด้วยอิริยาบถนอน หากได้บรรลุในอิริยาบถยืน ก็ย่อมต้องเสวยผลด้วยอิริยาบถยืน ซึ่งอิริยาบถต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วนี้ จะเป็นไปตามระยะเวลาแห่งการเสวยผลทั้งสิ้นนานนับ ๕oo มหากัป ซึ่งเป็นอิริยาบถที่ประทับนิ่งไม่ไหวติง คล้ายกันกับพระปฏิมากรที่ประดิษฐานในพระอุโบสถ มาถึงตรงนี้ หากจะถามว่าอาภัพตรงไหน? ก็ขอตอบว่า พรหมจำพวกนี้ แม้จะพ้นจากภาวะการทำลายของโลกด้วยไฟ น้ำ และลมก็จริงอยู่ หากแต่ไม่มีประสาทของทิพยโสตและทิพยจักขุไว้สำหรับเจริญในธรรมเลย ด้วยเหตุนี้ พระบรมโพธิสัตว์จึงไม่มาบังเกิดเป็นรูปพรหมดังกล่าว
๓. เกิดเป็นอรูปพรหม เอ!!! มันไม่ดีตรงไหนเหรอ ก็ได้เสวยสุขอยู่บนนั้นตั้งนานนี่นา (แม้จะต้องกลับมาเวียนว่ายอีกก็เหอะ) หากท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาจะรื้อสัตว์ ขนสัตว์แล้วล่ะก็ ข้อนี้ ไม่ดีแน่ครับ ก่อนอื่นต้องมาพิจารณาถึงอายุของอรูปพรหมในแต่ละชั้นกันก่อนนะครับ
๓.๑ อากาสานัญจายตนะ มีอายุ ๒o,ooo มหากัป
๓.๒ วิญญานัญจายตนะ มีอายุ ๔o,ooo มหากัป
๓.๓ อากิญจัญญายตนะ มีอายุ ๖o,ooo มหากัป
๓.๔ เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีอายุ ๘๔,ooo มหากัป
จะเห็นว่า อายุในการเสวยผลนั้น ยืนยาวมาก (โครตมาก) เลยใช่ไหมครับ? ด้วยเหตุนี้ พระบรมโพธิสัตว์จึงไม่มาบังเกิด เพราะทำให้เสียเวลาในการสร้างบารมี และยังเป็นการยืดระยะเวลาของการเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้ ให้ยาวนานออกไปอีก
๔. เกิดเป็นเทวบุตรมาร เทวบุตรจำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวัตสวัตตี ซึ่งเป็นเทวดาที่มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) อย่างแรงกล้า และยังเป็นผู้ขวางต่อหนทางแห่งการทำความดีอีกด้วย พระบรมโพธิสัตว์จึงไม่มาบังเกิดเป็นเทวบุตรมาร ด้วยเหตุผลดังกล่าว (ข้อนี้ ถ้าเป็นกรณีก่อนรับพระพุทธพยากรณ์แล้วล่ะก็ ไม่แน่เหมือนกันนะครับ ดูตัวอย่างของวสวัตตีมาราธิราชประกอบก็ได้ครับ เพราะท่านเองก็เป็นพระบรมโพธิสัตว์เช่นกัน)
ข้อนี้ ผมมีข้อวิจารณ์ส่วนตัวว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับระดับของการปรับตัวทางด้านพัฒนาการในระดับของสติปัญญาน่ะครับ เพราะในกรณีที่เกิดเป็นสัตว์ที่เล็กกว่านกกระจาบ อาทิ หนอน อย่างนี้ และเกิดเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าช้าง อาทิ ไดโนเสาร์พวกกินพืชที่มีขนาดใหญ่มากกกก... อย่างนี้ พวกนี้มีระดับของสติปัญญาและมันสมองเพียงน้อยนิดเท่านั้นนะครับ และเป็นไปได้ว่า จุดด้อยดังกล่าว ย่อมส่งผลต่อการพิจารณา ขบคิด วิเคราะห์ธรรม เมื่อได้สดับรับฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่ พระบรมโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จึงไม่ถือกำเนิดและตกอยู่ในฐานะดังกล่าวครับ
ปล. วันนี้ก็ตอบแบบ quiz ตัวเองอีกเช่นกัน (เพราะผมเล่นเน็ตอยู่ข้างนอก) หวังว่าทุกท่านคงจะได้รับความกระจ่างแจ้งและบันเทิงในธรรมกันโดยถ้วนหน้านะครับ
ของจริง (จากพระไตรปิฎก) ไม่อิงนิยายครับพี่
#14
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 10:48 AM
ก้ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าในจักรวาลนี้ แล้วจะไปเกิดจักรวาลอื่นเพื่ออาไรเล่า จะเป็นที่นี่ก้บำเพ็ญที่นี้สิ อุปมาเหมือน จะปลูกผักกาดที่ นาของเรา แต่ถึงเวลาปลูก ดันเอาเมล็ดไปปลูกที่นาคนอื่น ผักกาดมันจะขึ้นที่ ที่นา เราหรอ
เอิ๊กๆๆ
มันมีด้วยหรอครับ เห็นมีแต่ ไม่เกิดในประเทศป่าเถื่อน
งั้นอธิบายไม่เกิดในประเทศป่าเถื่อนแล้วกัน
ก็คือ ถ้าพระโพธิสัตว์เกิดในประเทศป่าเถือนแล้วไซร้ พระโพธิสัตว์ท่านจะรู้จักบาปบุญคุณโทษแล้วก็ธรรมะได้อย่างไร แล้วถ้าไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษและธรรมะแล้ว ท่านจะตั้งความปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ว่ามั๊ย ก็เพราะอย่างงี้ละถึงไม่เกิดในประเทศป่าเถื่อน อิอิ
เหตุที่ไม่เกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาสก็เพราะ พรหมชั้นนั้นมีแต่อริยะบุคคลชั้นอนาคามีอยู่ ซึ่งจะนิพพานในชั้นนั้นเรย พระโพธิสัตว์ท่านยังไม่นิพพานจนกว่าจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านก้เรยไม่ไปเกิดที่สุทธาวาสพรหมครับพี่
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#15
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 11:22 AM
ผมว่า น่าจะเปลี่ยน เป็น เคยสละชีวิตให้เป็นทานเพื่อพระโพธิญาณมากกว่า
เคลีย รึยังครับ พี่หยุดอะตอมใจ
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#16
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 01:41 PM
และการเกิดเป็นเปรตสามจำพวกแรก อาภัพยังงัย? สามจำพวกแรกมีอะไรบ้าง? แตกต่างจากปรทัตตูปชีวิกเปรต ตรงไหน??
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#17
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 09:15 PM
คำๆ นี้ มีความหมายชัดเจนในตัวอยู่แล้วนะครับพี่ปรมัย เพียงแต่ภาษาที่ผมใช้ดูค่อนข้างยาก ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ไม่เคยมีพื้นฐานในการศึกษาธรรมะมาก่อนเกิดความไม่เข้าใจได้ (ต้องขอประทานอภัยต่อทุกท่านด้วยนะครับ) ซึ่งเมื่อเราดูเทียบจากความเป็นจริงในพระไตรปิฎกแล้วย่อมพบว่า การบำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤษฏ์ยิ่งยวดของพระบรมโพธิสัตว์นั้น หาได้บำเพ็ญทานบารมีอย่างอุกฤษฏ์แต่เพียงประการเดียวไม่ หากแต่ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างเป็นปรมัตถ์ในทุกๆ บารมีด้วย ฉะนั้น ผมจึงให้คำตอบแก่ทุกท่านว่า "สามารถบำเพ็ญบุญญาภิสมภารอย่างยิ่งยวดแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน" ครับ
ข้อนี้หมายถึง การเกิดในจักรวาลอื่นที่ไม่มีการบังเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา หรือไม่มีพระสัมมาพุทธเจ้ามาเสด็จอุบัติขึ้นครับ
ปล. มันคือการ quiz นะครับ มันคือการ quiz ถ้าหากว่าผมตอบถูกหมดน่ะสิแปลก (แปลว่า ผมเปิดตำรามาตอบชัวร์)
#18
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 09:54 PM
เปรตสามจำพวกแรกนั้น ได้แก่
๑. ขุปปิปาสิกเปรต หมายถึง เปรตที่ถูกเบียดเบียนให้หิวโหยโดยตลอด
๒. นิชฌามตัณหิกเปรต หมายถึง เปรตที่ถูกเผาลนให้เร่าร้อนโดยตลอด
๓. กาลัญจิกเปรต (บางตำราว่า กาลัญชิกาสูร) กล่าวคือ อบายสัตว์ชนิดนี้ มีรูปร่างลักษณะในแบบกึ่งเปรตกึ่งอสุรกาย (ขอตอบตามที่ได้ทรงจำมาจากหนังสือ "เราคือใคร" ของอุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล และหนังสือ "มนต์เสน่ห์แห่งสวรรค์ ทัณฑ์ทรมานแห่งนรก" ก็แล้วกันนะครับ) มีกายสูง ๓ คาวุต (๔ คาวุต เป็น ๑ โยชน์ ; ๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร ; ๑ คาวุต จึงเท่ากับ ๔ กิโลเมตร เพราะฉะนั้น ขนาดความสูง ๓ คาวุต ก็เท่ากับว่า เปรตชนิดนี้ มีกายสูงถึง ๑๒ กิโลเมตร) รูปร่างผอมบางดุจใบไม้แห้ง มีปากอยู่กลางกระหม่อม ตาถลนโปนขึ้นข้างบนดุจตาปู ดังนี้
ข้อที่ว่า เปรตสามจำพวกนี้อาภัพนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาทั้งหลายมิอาจที่จะรับรู้และอนุโมทนา ในกองการบุญการกุศลที่บรรดาหมู่ญาติได้อุทิศไปให้แก่เขา เนื่องจากว่า มีภพภูมิที่รองรับการเสวยวิบากผลอันเผ็ดร้อนอยู่ในดินแดนแห่ง "เปตติวิสยภูมิ" ซึ่งตั้งอยู่ในที่ห่างไกลจากแดนมนุษย์มากนัก (ใต้หุบเขาตรีกูฏ) สำหรับข้อแตกต่างในระหว่างเมื่อเทียบกับปรทัตตูปชีวิกเปรตแล้วก็คือ ปรทัตตูปชีวิกเปรตนี้ โดยส่วนใหญ่มีถิ่นที่อยู่อาศัยในแดนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมีโอกาสรับรู้และอนุโมทนาในกองการบุญการกุศลที่หมู่ญาติได้อุทิศไปให้แก่เขามากกว่า นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการที่จะพ้นจากอัตภาพแห่งความเป็นเปรตได้มากกว่าเปรตทั้งสามจำพวกดังกล่าวอีกด้วยครับ
#19
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 10:19 PM
#20
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 10:43 PM
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#21
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 05:48 PM
อันนี้ไม่ใช่เคยทำนะครับ แต่ต้องกำลังทำต่อหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่จะพยากรณ์ให้องค์แรก อย่าง พระสมณโคดม ชาติที่ได้รับพยากรณ์เป็นชาติแรกคือ ชาติที่เสวยพระชาติเป็น สุเมธดาบส แล้วตอนที่บำเพ็ญบารมีอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันคือ ตอนที่ทอดร่างให้พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุสาวกที่ติดตามพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเดินเหยียบข้ามร่างของตนเองไปครับ
เพราะปกติแล้วถ้าโดนคนเหยียบมากขนาดนั้นต้องตายแน่นอนเพราะสุเมธดาบสอยากได้บุญใหญ่นี้จึงไม่ใช้ฤทธิ์ที่ตนมี ดังนั้นถ้าได้ดูฝันในฝันเรื่องพุทธประวัติ จะเห็นว่า ก่อนที่พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเหยียบสุเมธดาบสก็ดำริในพระทัยว่า บุคคลนี้เป็นใครหนอ จึงได้ใช้ญาณของพระองค์ตรวจสอบความเป็นมาของดาบสผู้นี้ จึงทราบว่า ดาบสผู้นี้คือบรมโพธิสัตว์และถ้าพระองค์สงเคราะห์ดาบสผู้นี้โดยการเหยียบผ่านร่างไป บารมีของดาบสก็จะเต็มเปี่ยมและพร้อมที่พระองค์จะพยากรณ์ให้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเหยียบดาบสนี้และหันมาพยากรณ์สุเมธดาบสก่อนที่พระภิกษุสาวกรูปอื่นจะเหยียบข้ามตามมาครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#22
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 06:24 PM
#23
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 07:35 AM
เกิดเป็นสัตว์ขนาดเล็ก มีอายุสั้นมาก เกิดมานานก็ต้องตาย
เกิดเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ก็มีอายุยืนเกินไป เสียโอกาสในการสร้างบารมีทั้งคู่ แล้วยังมีเวทนากล้าอีก
เวทนากล้า คือ การได้รับทุกข์ ทรมาน เจ็บปวดมากกว่าปกติ