ผมมีข้อสงสัยดังนี้ครับ
1.การสั่งสมบุญญาบารมี ไปดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ กับการสั่งสมบุญญาบารมี ไปเป็นท้าวสักกเทวราช อย่างไหนต้องอาศัยบุญ บารมีมากกว่ากัน
2.หากผมตั้งความปราถนาไปเสวยเป็นท้าวสักกเทวราช แต่เมื่อสิ้นอายุขัยเกิดปัญหาคือ 2.1บุญไม่พอ ผมจะเกิดที่ไหน เป็นอะไร จะได้เป็นเทวดาไหม 2.2ท้าวสักกเทวราชองค์ปัจจุบันยังไม่สิ้นบุญ
3.หากผมตั้งปราถนาไปเสวยเป็นท้าวสักกเทวราช แล้วผมควรบำเพ็ญบุญ บารมีเรื่องอะไร มากแค่ไหน
สุดท้ายนี้ก็ขออนุโมทนาบุญซึ่งกันและกันกับผู้ที่ได้อ่านหัวข้อกระทู้ "สงสัยการปฎิบัติธรรม, การรักษาดวงแก้วภายใน" กับดวงแก้วที่ผมพึ่งได้เห็นที่กลางกายด้วยครับ
![รูปภาพ](/forum/uploads/profile/photo-thumb-32792.jpg?_r=0)
สอบถามเกี่ยวกับการสร้างบารมี
เริ่มโดย ดุสิตาเทวบุตร, Feb 06 2010 09:12 AM
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 06 February 2010 - 09:12 AM
#2
โพสต์เมื่อ 06 February 2010 - 05:29 PM
รอ...ผู้รู้คะ
#3
โพสต์เมื่อ 06 February 2010 - 10:22 PM
ต้องบำเพ็ญวัตรบท 7ประการ ครับ
1 เลี้ยงดูบิดามารดาให้เป็นสุขตลอดชีวิต
2 เคารพนับถือผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
3 พูดอ่อนหวานไม่หยาบคายตลอดชีวิต
4 ไม่พูดส่อเสียดตลอดชีวิต
5 เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน ยินดีแจกจ่ายทานตลอดชีวิต
6 พูดความจริงไม่พูดเท็จตลอดชีวิต
7 ไม่โกรธ แม้โกรธก็ระงับความโกรธได้
และไม่จำเป็นต้องตั้งความปรารถนาเป็นอสงไขย พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือแม้แต่พระสาวกองค์สำคัญๆ ก็เคยเป็นมาหลายครั้งแล้วครับ
ปรกติจะทำความดีถ้าบุญมากพอทำชาติเดียวก็ได้เป็น
พระอินทร์ก็ตัวไม่เขียวนะ ผิวพรรณ วรรณะ ก็เป็นแบบเทวดา
การจะไปดุสิตบุรี ยากคนละแบบ และต่างกันคนละความปรารถนาครับ ถ้าจะไปดุสิตคือปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นไปด้วยกัน เป็นความปรารถนาของบรมโพธิ์สัตว์ และเรื่องกามราคะมีน้อยจนเบาบางไปหมดแล้ว เรียกว่ามุ่งพาสรรพสัตว์เข้านิพพานให้หมดนั่นเอง
ท้าวสักกะ ยังมีความปรารถนาอยู่ในกามสุข แต่บารมีท่านมาก และวัตรบทครบถ้วน + ความปรารถนา จึงได้ไปชั้นนั้น แต่ยิ่งใหญ่และมีโอกาสสร้างบารมีแบบใหญ่ๆร่วมกับมนุษย์ได้ง่าย เพราะติดหรือใกล้กับโลกมนุษย์ แต่ก็มีโอกาสที่จะพลาดทำให้บุญหล่นร่วงลงมาได้ง่ายเช่นกัน เพราะความใกล้กับกามสุขและโลกมนุษย์มีความเสี่ยงและบริสุทธิ์ได้ยาก
..หากท้าวสักกะยังอยู่ แต่ปรารถนาจะเป็นเช่นกัน แน่นอน เราต้องตายก่อนที่องค์ปัจจุบันจะหมดบุญอยู่แล้ว ดังนั้นก็ต้องรอคิว แต่บุญจะทำให้เราได้เป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ มีปราสาท และวิมานที่ใหญ่กว่าของท้าวสักกะได้ มีรัศมีสว่างกว่าท้าวสักกะได้ มีเทวรถที่ใหญ่กว่าได้ เพียงแต่ไม่ได้เป็นท้าวสักกะเท่านั้นเอง แต่ด้วยบุญที่หากทำมากกว่า ท้าวสักกะก็จะประคองอัญชลี เรียกว่า ผู้มีบุญมาก ปกครองผู้มีบุญน้อย และแน่นอน หากเราบุญไม่พอ คำว่าไม่พอในที่นี้คือน้อยกว่าจะเป็นท้าวสักกะ หรือไม่ได้ตั้งความปรารถนา หรือทำวัตบทไม่สมบูรณ์แล้วก็ย่อมมีศักดิ์รองลงมาแล้วแต่ว่าทำบุญประเภทใจ ความปลื้ม ความใส บุญเก่า กำลังสมาธิ ความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ และกามราคะ แตกต่างเช่นไรก็จะได้แตกต่างออกไปตามนั้นจ้า
1 เลี้ยงดูบิดามารดาให้เป็นสุขตลอดชีวิต
2 เคารพนับถือผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
3 พูดอ่อนหวานไม่หยาบคายตลอดชีวิต
4 ไม่พูดส่อเสียดตลอดชีวิต
5 เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน ยินดีแจกจ่ายทานตลอดชีวิต
6 พูดความจริงไม่พูดเท็จตลอดชีวิต
7 ไม่โกรธ แม้โกรธก็ระงับความโกรธได้
และไม่จำเป็นต้องตั้งความปรารถนาเป็นอสงไขย พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือแม้แต่พระสาวกองค์สำคัญๆ ก็เคยเป็นมาหลายครั้งแล้วครับ
ปรกติจะทำความดีถ้าบุญมากพอทำชาติเดียวก็ได้เป็น
พระอินทร์ก็ตัวไม่เขียวนะ ผิวพรรณ วรรณะ ก็เป็นแบบเทวดา
การจะไปดุสิตบุรี ยากคนละแบบ และต่างกันคนละความปรารถนาครับ ถ้าจะไปดุสิตคือปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นไปด้วยกัน เป็นความปรารถนาของบรมโพธิ์สัตว์ และเรื่องกามราคะมีน้อยจนเบาบางไปหมดแล้ว เรียกว่ามุ่งพาสรรพสัตว์เข้านิพพานให้หมดนั่นเอง
ท้าวสักกะ ยังมีความปรารถนาอยู่ในกามสุข แต่บารมีท่านมาก และวัตรบทครบถ้วน + ความปรารถนา จึงได้ไปชั้นนั้น แต่ยิ่งใหญ่และมีโอกาสสร้างบารมีแบบใหญ่ๆร่วมกับมนุษย์ได้ง่าย เพราะติดหรือใกล้กับโลกมนุษย์ แต่ก็มีโอกาสที่จะพลาดทำให้บุญหล่นร่วงลงมาได้ง่ายเช่นกัน เพราะความใกล้กับกามสุขและโลกมนุษย์มีความเสี่ยงและบริสุทธิ์ได้ยาก
..หากท้าวสักกะยังอยู่ แต่ปรารถนาจะเป็นเช่นกัน แน่นอน เราต้องตายก่อนที่องค์ปัจจุบันจะหมดบุญอยู่แล้ว ดังนั้นก็ต้องรอคิว แต่บุญจะทำให้เราได้เป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ มีปราสาท และวิมานที่ใหญ่กว่าของท้าวสักกะได้ มีรัศมีสว่างกว่าท้าวสักกะได้ มีเทวรถที่ใหญ่กว่าได้ เพียงแต่ไม่ได้เป็นท้าวสักกะเท่านั้นเอง แต่ด้วยบุญที่หากทำมากกว่า ท้าวสักกะก็จะประคองอัญชลี เรียกว่า ผู้มีบุญมาก ปกครองผู้มีบุญน้อย และแน่นอน หากเราบุญไม่พอ คำว่าไม่พอในที่นี้คือน้อยกว่าจะเป็นท้าวสักกะ หรือไม่ได้ตั้งความปรารถนา หรือทำวัตบทไม่สมบูรณ์แล้วก็ย่อมมีศักดิ์รองลงมาแล้วแต่ว่าทำบุญประเภทใจ ความปลื้ม ความใส บุญเก่า กำลังสมาธิ ความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ และกามราคะ แตกต่างเช่นไรก็จะได้แตกต่างออกไปตามนั้นจ้า
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....
#4
โพสต์เมื่อ 07 February 2010 - 08:12 AM
ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ โดยเฉพาะ ดินสอแห่งธรรม มากๆครับ
#5
โพสต์เมื่อ 07 February 2010 - 09:07 PM
คิดจะเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ย่อมต้องยากกว่า คิดเป็นท้าวสักกะอย่างเทียบกันไม่ได้เลยครับ ในอดีต พระบรมโพธิสัตว์เกิดเป็นเศรษฐี ทำทานใหญ่โตมโหราฬทุกวัน จนพระอินทร์ในยุคนั้น กลัวจะถูกชิงตำแหน่ง จึงมาเนรมิตให้ทรัพย์ของพระบรมโพธิสัตว์หายไปในพริบตา แต่พระบรมโพธิสัตว์ก็ไม่ท้อ ออกไปทำนา เพื่อจะนำมาทำทาน จนเป็นลม พระอินทร์ปรากฏกายขึ้น ให้พระบรมโพธิสัตว์เห็น เนรมิตให้ฟื้น แล้วบอกให้เลิกทำทานเสีย พระบรมโพธิสัตว์ไม่ยอมเลิก และบอกว่า พระอินทร์มีบุญมากทำไมสอนแบบนี้
พระอินทร์จึงถามพระบรมโพธิสัตว์ว่า ที่ทำทานมากๆ เช่นนี้ หวังจะเป็นพระอินทร์ในอนาคตใช่ไหม แต่พระบรมโพธิสัตว์บอกว่า ใครบอก เราหวังเป็นพระพุทธเจ้าต่างหาก ยิ่งใหญ่กว่านั้นมากๆ พระอินทร์ได้ฟังก็ดีใจ ที่พระบรมโพธิสัตว์ไม่ได้คิดเป็นพระอินทร์ จึงเนรมิตทรัพย์ให้ดังเดิม
ข้ออื่นๆ ก็ตอบตามคุณดินสอแห่งธรรมครับ
อ้อ แถมเรื่องพระอินทร์กลุ้มให้หน่อยก็แล้วกันครับ คือ พระอินทร์องค์นี้(ยุคนี้)สร้างบารมีในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ได้เป็นพระอินทร์ ครั้นพอถึงยุคที่พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้น ปรากฏว่า มีเทวดาอยู่ 3 องค์ขึ้นไปเกิด ชื่อ จุลรถเทวบุตร มหารถเทวบุตร และเอนกวรรณเทวบุตร ทั้งสามที่ราชรถใหญ่กว่าพระอินทร์มากๆ แถมรัศมีกายสว่างกว่า โดยเฉพาะเอนกวรรณเทวบุตรนี่รัศมีสว่างสุดๆ จนพระอินทร์ต้องหลบอยู่แต่ในวิมาณไม่กล้าออกมา ภายหลัง พระอินทร์กับนางสุชาดา ปลอมตัวไปเป็นชายหญิงชรายากจน แล้วได้ใส่บาตรกับพระมหากัสสปะ ตอนออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ บุญแรงๆ มาก จนรัศมีเหนือชั้นในที่สุด
พระอินทร์จึงถามพระบรมโพธิสัตว์ว่า ที่ทำทานมากๆ เช่นนี้ หวังจะเป็นพระอินทร์ในอนาคตใช่ไหม แต่พระบรมโพธิสัตว์บอกว่า ใครบอก เราหวังเป็นพระพุทธเจ้าต่างหาก ยิ่งใหญ่กว่านั้นมากๆ พระอินทร์ได้ฟังก็ดีใจ ที่พระบรมโพธิสัตว์ไม่ได้คิดเป็นพระอินทร์ จึงเนรมิตทรัพย์ให้ดังเดิม
ข้ออื่นๆ ก็ตอบตามคุณดินสอแห่งธรรมครับ
อ้อ แถมเรื่องพระอินทร์กลุ้มให้หน่อยก็แล้วกันครับ คือ พระอินทร์องค์นี้(ยุคนี้)สร้างบารมีในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ได้เป็นพระอินทร์ ครั้นพอถึงยุคที่พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้น ปรากฏว่า มีเทวดาอยู่ 3 องค์ขึ้นไปเกิด ชื่อ จุลรถเทวบุตร มหารถเทวบุตร และเอนกวรรณเทวบุตร ทั้งสามที่ราชรถใหญ่กว่าพระอินทร์มากๆ แถมรัศมีกายสว่างกว่า โดยเฉพาะเอนกวรรณเทวบุตรนี่รัศมีสว่างสุดๆ จนพระอินทร์ต้องหลบอยู่แต่ในวิมาณไม่กล้าออกมา ภายหลัง พระอินทร์กับนางสุชาดา ปลอมตัวไปเป็นชายหญิงชรายากจน แล้วได้ใส่บาตรกับพระมหากัสสปะ ตอนออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ บุญแรงๆ มาก จนรัศมีเหนือชั้นในที่สุด
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#6
โพสต์เมื่อ 10 February 2010 - 09:06 AM
ความฝันอันสูงสุด...ไม่ใช่นิพานหรอกเรอค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 10 February 2010 - 12:15 PM
ไม่ทราบเจตนาของคุณ นมสด ต้องการถามเจ้าของกระทู้ว่า อยากจะเป็นท้าวสักกะ หรือ อยากจะไปนิพพาน หรือเปล่านะครับ หากต้องการถามเฉพาะเจ้าของกระทู้ เดี๋ยวเจ้าของกระทู้คงจะตอบคำถามนี้เอง
แต่ถ้าหากต้องการถามนักเรียนอนุบาลทุกท่านว่า ทำไมอยากรื้อสัตว์ขนสัตว์เยี่ยงพระโพธิสัตว์ ทำไมไม่อยากหมดกิเลสไปนิพพาน ผมก็ขอตอบแทนให้นะครับว่า สุดท้าย เรามีความปรารถนาเหมือนกันครับ คือ ปรารถนาหมดกิเลส เพียงแต่หมดแบบอยากให้พรรคพวกหมดกิเลสด้วยกันเยอะๆ น่ะครับ
แต่ถ้าหากต้องการถามนักเรียนอนุบาลทุกท่านว่า ทำไมอยากรื้อสัตว์ขนสัตว์เยี่ยงพระโพธิสัตว์ ทำไมไม่อยากหมดกิเลสไปนิพพาน ผมก็ขอตอบแทนให้นะครับว่า สุดท้าย เรามีความปรารถนาเหมือนกันครับ คือ ปรารถนาหมดกิเลส เพียงแต่หมดแบบอยากให้พรรคพวกหมดกิเลสด้วยกันเยอะๆ น่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร