![รูปภาพ](http://www.gravatar.com/avatar/3f7a3a54bad0da4a394053e37a6aecd1?s=100&d=https%3A%2F%2Fwww.dmc.tv%2Fforum%2Fpublic%2Fstyle_images%2Fmaster%2Fprofile%2Fdefault_large.png)
ทำบุญแล้วหวังผล มีความอยาก ถือเป็นสิ่งถูกหรือผิด
#1
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 03:26 PM
1. ทำบุญแล้วอยากให้รวย
2. ทำบุญแล้วอยากขึ้นสวรรค์
3. ทำบุญแล้วอยากสวยอยากหล่อ
4. ทำบุญแล้วอยากให้ร่างกายไม่มีโรค
5. ทำบุญแล้วอยากใน ทรัพย์ ลาภ สรรเสริญ สุข
ดังนั้นถ้ามีความอยากก็ยังไม่หลุดจากวัฏสงสารใช่หรือไม่ เพราะมันยังไม่หลุดพ้น แล้วเราจะทำบุญเพื่ออะไร ทำบุญเพื่อให้ได้ชื้อความอยาก หรือทำบุญเพื่อเป็นทางของการไปสู่นิพพาน
แต่ทางแห่งนิพานคือ หลักอริยสัจ 4
-ทุกข์
-สมุทัย
-นิโรธ
-มรรค
และอีกทางปฏิบัติแห่งนิพานคือ การบำเพ็ญฌานสมาบัติ
ปฐมฌาน = ฌาน ๑ = ปฐมสมาบัติ
-วิตก
-วิจาร
-ปีติ
-สุข
-เอกัคคตา
ทุติยฌาน = ฌาน 2 = ทุติยสมาบัติ
-ปีติ
-สุข
-เอกัคคตา
ตติยฌาน = ฌาน 3 = ตติยสมาบัติ
-สุข
-เอกัคคตา
จตุตถฌาน = ฌาน 4 = จตุตถสมาบัติ
-เอกัคคตา+อุเบกขา
อัฎฐสมาบัติ = ฌาน ๘ = สมาบัติแปด
-อรูปฌาน + ฌาน4
อรูปฌาน
๑. อากาสานัญจายตะ
๒. วิญญาณัญจายตะ
๓. อากิญจัญญายตนะ
๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ
บุญเพื่อเป็นทางสู่นิพพาน หรือ บุญเพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ?
ค่อนข้างจะละเอียดนิดหนึ่งนะครับ เพราะถึงที่สุดแล้วเราต้องละความยึดมั่นถือมั่น ตามหลักไตรลักษณ์ คือ
อนิจจัง = สิ่งใดไม่เที่ยง
ทุกขัง = เป็นทุกข์
อนัตตา = ไม่ใช่ตัวตน
แต่จะแตกต่างกับ
นิจจัง = สิ่งใดเที่ยงแท้
สุขขัง = เป็นสุขอย่างยิ่ง
อัตตา = ใช่ตัวตน
คิดเห็น ไขข้อกระจ่างอย่างไรกันบ้างครับ
#2
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 03:49 PM
- ถ้า อยาก คือ ภาวะตัณหา ย่อมผิดวิสัยต่อสัตบุรุษผู้ทำทาน
- ถ้า อยาก คือ ความปรารถนา ย่อมเป็นวิสัยของสัตบุรุษที่จะตั้งจิตอธิษฐาน
1. ทำบุญแล้วอยากให้รวยอย่างเดียว...ย่อมเป็นคำอธิษฐานที่ไม่รัดกุม...เพราะทางมาแห่งทรัพย์อาจมาด้วยมิจฉาอาชีวะก็เป็นได้...หลักวิชาจึงแนะว่าให้อธิษฐานว่า...ขอผลแห่งบุญนำมาซึ่งความเป็นเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุนพุทธศาสนา...และควรแยกให้ออกระหว่างคำว่า"รวย"กับ"โลภ"
2. ทำบุญแล้วอยากขึ้นสวรรค์...ในระดับผู้มีเป้าหมายบนฟ้า(ข้ามภพ)...ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด...อย่างน้อยก็เป็นทางมาของทิพยสมบัติ...ที่จะเสวยสุขในสุคติภูมิ...ก่อนจะปรารถนา มรรค ผล นิพพาน...แต่ก็ต้องวนเวียนในกามภพ
3. ทำบุญแล้วอยากสวยอยากหล่อ...ไม่รัดกุม...เพราะสิ่งนี้เจือด้วยราคะกำหนัด...ถ้าจะดีควรอธิษฐานเพื่อให้ลักษณะแห่งกุศลผลบุญบังเกิด อาทิ ที่สุดของรูปสมบัติ...เบญจกัลยาณี หรือ มหาปุริสลักษณะ32 ใครก็ตามได้พบได้เห็นขอให้เกิดจิตเลื่อมใสศรัทธา...ปราศจากราคะทั้งปวง
4. ทำบุญแล้วอยากให้ร่างกายไม่มีโรค...เป็นอานิสงส์แห่งทานอยู่แล้วที่ผู้ให้ย่อมได้ฐานนะ 5ประการ อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ อนึ่ง ความไม่มีโรคนั้นเป็นลาภอันประเสริฐ...โรคภัยเบียดเบียนนั้นย่อมเป็นอุปสรรคต่อกิจวัตรทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะเป็นอภิสังขารมาร
5. ทำบุญแล้วอยากใน ทรัพย์ ลาภ สรรเสริญ สุข...เป็นเป้าหมายบนดิน...ของมนุษย์ที่แวะข้องไปกับโลกธรรม8
ทำบุญเพื่อเป็นทางของการไปสู่นิพพาน...นี่คือเป้าหมายเหนือฟ้าไง
#3
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 04:12 PM
ถ้าต้องการตัดกิเลส เพียงเพื่อไปนิพพานเพียงคนเดียว(ปัจเจกพุทธเจ้า) ก็ใช้บุญพอประมาณ 4 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ก็ไปนิพพานเพียงลำพังได้ หรือพระอรหันต์ก็ได้เช่นกัน
แต่ถ้าต้องการโปรดสัตว์ให้ไปนิพพานกันมากๆ อย่างน้อยก็ 20 อสงไขยกับแสนมหากัปป์แบบนี้ก็โปรดสัตว์พอประมาณ อย่างมากก็ 80 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ อันนี้ขนสัตว์ไปมากหน่อย
จึงเป็นที่มาว่าทำอย่างไรให้ได้สร้างบารมีมากๆ อธิฐานดีๆ เพราะถ้าต้องไปทนทุกข์ไม่มีข้าวจะกิน จะให้ไปโปรดสัตว์ก็ทำได้ยาก คิดเรื่องนิพพานก็คงลำบาก
PS: เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน ผิดพลาดอย่างไรขออภัยนะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 05:26 PM
2. ทำบุญแล้วอยากขึ้นสวรรค์อย่างเดียว ถือว่า ผิดหลักวิิชชา เพราะว่า เมื่อหมดบุญจากสวรรคฺ์พลัดมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็สามารถพลาดพลั้งทำบาปทำกรรม เป็นอันตรายต่อชีวิตในวัฎฎะ เช่นเดียวกัน
3. ทำบุญแล้วอยากสวยอยากหล่ออย่างเดียว ถือว่า ผิดหลักวิชชา เพราะ เมื่อสวยหล่อแล้ว อาจเจ้าชู้ และพลัดไปอบายได้ เป็นอันตรายในวัฏฏะเช่นเดียวกัน ในอดีตกาล มีนักมวยคนหนึ่ง แบกธงขึ้นไปบูชาเจดีย์ แล้วอธิษฐานจิตให้หล่อ สาวเห็นสาวหลง พอชาติปัจจุบัน ได้มาเกิดเป็นหลานท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี เจ้าชู้มากๆ สาวๆ ตรึม เกือบต้องไปอบายแล้ว ดีว่า พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดให้ได้เป็นพระโสดาบัน เลิกพฤติกรรมเจ้าชู้เสียก่อน เลยรอดตัวไป
4. ทำบุญแล้วอยากให้ร่างกายไม่มีโรคอย่างเดียว ก็ถือว่า ผิดหลักวิชชา เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคแล้ว อาจประมาทคิดว่า ตัวเองวิเศษ แล้วพลาดพลั้งไปทำบาปทำกรรม พลัดไปอบายได้
5. ทำบุญแล้วอยากในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่เพียงอย่างเดียว ก็ถือว่า ผิดหลักวิชชา เพราะเมื่อได้สิ่งเหล่านี้มาแล้ว อาจใช้ผิดทิศทาง คือ ไปสร้างบาปกรรม ย่อมนำไปสู่อบาย
แถมบ้าง
6. ทำบุญแล้วไม่อยากได้อะไรเลยล่ะ ก็ถือว่า ผิดหลักวิชชา เหมือนเรือไม่มีหางเสือกำกับ ชาตินี้ใจอาจมีคุณธรรม แต่ชาติต่อๆไป ใจอาจตกอยู่ในอำนาจโลภ โกรธ หลงได้ แล้วก็ไปทำกรรม จากนั้นก็พลัดไปอบาย ดังเช่น พระโพธิสัตว์บางชาติตั้งใจสร้างความดีมากมาย แต่บางชาติก็เกิดมาเกะกะเกเร นี่แสดงให้เห็นว่า ประมาทไม่ได้
7. ทำบุญเพื่อหวังพ้นทุกข์ทั้งปวง อย่างนี้ถือว่า ถูกหลักวิชชา เพราะมุ่งละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส
8. หรือ ทำบุญเพื่อหวังลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพื่อนำไปสู่การพ้นทุกข์ทั้งปวงในภพชาติสุดท้าย อย่างนี้ก็ถูกหลักวิชชาเช่นเดียวกัน อีกทั้งจะทำให้ผู้อธิษฐานมีชีวิตที่สุขสบายไปตลอด ภาษาพระเรียกว่า ผู้บันเทิงในโลกทั้งสอง (มนุษย์ และสวรรค์) จนกว่าจะพ้นทุกข์ทั้งปวง
แนวคิด ที่ควรระลึกอีกอย่างของคนเราคือ ยามเมื่ออยู่ในทะเล คนเราย่อมต้องการ เรือ แต่ยามเมื่อถึงฝั่ง คนเราย่อมไม่ต้องการ เรือ (ทิ้งเรือได้) เพียงแต่ว่า ต้องแล่นเรือมุ่งสู่ฝั่ง อย่าเถลไถลกลางทะเล เพราะทะเลล้วนมีอันตรายรอบด้าน
เช่นเดียวกัน ยามเมื่อยังต้องเวียนว่าย คนเราย่อมต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สุข (มิฉะนั้นจะอยู่ไม่ได้) แต่ยามเมื่อบารมีแก่รอบ คนย่อมละตัวเรา ของเรา มุ่งสู่นิพพาน เพียงแต่ว่า อย่านำลาภยศไปทำบาป ต้องนำลาภยศไปสั่งสมบุญบารมีให้แก่รอบ เพราะทะเลวัฎฎะมีอันตรายรอบด้าน
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และการพ้นทุกข์ทั้งปวง ล้วนจำเป็นต่อเรา แต่ให้เราดูจังหวะเวลาให้ดี หากทำผิดจังหวะ แทนที่จะพ้นทุกข์ กลับต้องพบทุกข์ในอบายตราบอนันตกาลแทน ก็เป็นได้
ด้วยความปรารถนาดี
#5
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 07:34 PM
#6
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 08:18 PM
เรื่องนี้ผมมีความเห็นเหมือนคุณหัดฝัน
เมื่อเรากำลังนั่งเรือข้ามฟาก เรือมีความจำเป็น
เมื่อถึงฝั่ง เรือก็ไม่จำเป็น
ต้องรู้จักตัวเอง รู้จักการประมาณ ไม่มีสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดอย่างสัมบูรณ์
ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของตัวเอง
รู้จักตัวเองสำคัญที่สุด
#7
โพสต์เมื่อ 16 February 2010 - 10:13 PM
#8
โพสต์เมื่อ 17 February 2010 - 12:16 AM
#9
โพสต์เมื่อ 17 February 2010 - 08:42 AM
แต่เป็นการขอถึงตามคำอธิษฐานเมื่อสร้างบุญ
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราหลุดพ้น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
รู้จากการรู้แจ้งหรือคาดเดาเอาเอง เสบียงติดตัวเป็นสิ่งจำเป็น
เหมือนเข้าป่า เราจะเดินไปตัวปลิว หรือจะสะพายเป้พร้อมมีอุปรณ์ที่จำเป็นต้องใช้
.
เราจะทำบุญเช่นให้ทาน สร้างโบสถ์ สร้างพระสร้างวัด แต่เงินในกระเป๋าไม่มี
เราจะนั่งสมาธิแต่เป็นโรคภัยไข้เจ็บนั่งไม่ได้
ลักษณะเราไม่เป็นมหาบุรุษขาดคนเลื่อมใสศัทธา
ผลแห่งบุญหากยังไม่นิพพานก็ไปสวรรค์
สวรรค์ก็เป็นบรรไดในการหยุดพักจากภพมนุษย์
ด้วยเหตุนี้เราจึงอธิษฐาน เมื่อสร้างบุญ
เพราะบุญมีอยู่จริง
#10
โพสต์เมื่อ 17 February 2010 - 12:26 PM
แต่ผลสุดท้ายคือ พระนิพพาน จ๊ะ
+^^ Just You Make ^^
+
#11
โพสต์เมื่อ 17 February 2010 - 05:53 PM
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#12
โพสต์เมื่อ 18 February 2010 - 02:05 PM
#13
โพสต์เมื่อ 18 February 2010 - 08:40 PM
ก็ยิ่งจะดีมากค่ะ เพราะถ้าเรารวย เราก็จะสร้างบารมีอย่างสะดวก สบาย ไปปฎิบัติธรรม 7 วัน กลับมาก็ไม่เดือดร้อนอะไร และก็จะทำบุญ
ใหญ่ๆ ก็ทำได้ทุกบุญเหมือนกัน ไม่ต้องมาวิตกกังวลว่าทำบุญไปแล้ว พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน ก็จะมีผลทำให้เรานั่งสมาธิอย่างปลดกังวล
และที่อยากสวยอยากหล่อ ก็ไม่ผิดค่ะเพราะถ้าเรามีรูปร่างงดงามเป็นที่ตั้งมั่นแห่งศรัทธาของผู้คนที่ได้พบเห็นเค้าก็จะเลื่อมใสในตัวเรา
ว่าปฎิบัติธรรมแล้ว มันดีอย่างงี้เองเค้าก็อยากจะทำตามแบบเรามั้งอ่ะค่ะ และขอให้มีสุขภาพดีไม่เจ็บป่วยก็ทำให้เราปฎิบัติธรรมได้สะดวก
สบาย ไปไหนก็ได้นั่งสมาธิก็ไม่ปวดขา ไม่เป็นภาระของลูกหลาน แต่เวลาเราทำบุญแล้วเวลาอธิฐานก็ให้กำกับในคำอธิฐานด้วยน่ะค่ะ
ว่าอยากรวยแล้วเพื่อสร้างบารมีได้อย่างสะดวก สบาย อยากหล่อ อยากสวย เพื่อให้เป็นที่ตั้งมั่นแห่งศรัทธาใครพบใครเห็นก็ขอให้เค้า
อยากมาสร้างบารมีอย่างเราบ้าง อยากมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงเพื่อ อยู่สร้างบารมีไปอีกนานๆ และที่ให้มีลาภ ยศ สรรเสริญ ก็จะทำ
ให้เราสร้างบารมีอย่างสะดวก สบายไปทางไหนก็มีแต่คนให้ความช่วยเหลือ สรุปแล้วว่าเมื่อทำบุญแล้วก็ตั้งผังสำเร็จอย่างงี้ได้ค่ะ
ไม่ผิดหรอกค่ะแต่บุญจะส่งผลเมื่อไรก็อยู่ที่บุญเก่าที่เคยทำมากับทำถูกหลักวิชชาหรือเปล่า ถ้ายังไม่ได้อย่างที่ตั้งใจก็อย่าเพิ่ง
ท้อแท้น่ะค่ะ ทำไปเรื่อยๆเมื่อถึงเวลาของเราเมื่อไรก็เมื่อนั้นหล่ะค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขอไว้ก็จะมาหาเราเองค่ะ