ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

กิเลสที่แฝงมาในรูปของ "ความรัก"


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 18 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 prem

prem
  • Members
  • 128 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 04 March 2010 - 09:05 PM

(ขออนุญาตใช้กระทู้นี้ แชร์ประสบการณ์ตรงกับผู้มีบุญทุกท่าน เพื่อเป็นข้อคิดนะคะ)

โดยส่วนตัว ณ ปัจจุบันนี้ก็นับถือศีล 5 เป็นปกติค่ะ แต่บางครั้งก็จะบกพร่องไปบ้าง กระนั้นก็พยายามมากๆ ที่จะตัดกิเลสอาสวะออกไปให้หมดจากใจ โดยความรู้สึกของตัวเองแล้ว คิดว่า เรื่องกามคุณนี่ มันไม่ได้ยากเลย แต่คนเราส่วนใหญ่มักจะเอาชนะใจตัวเราเองไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกามอารมณ์ หรือกิเลสในรูปอื่นๆ ก็ดีค่ะ เพราะเค้าใส่ผังให้เรา เค้าเอากิเลสมาเป็นเครื่องเป็นตัวบังคับให้เราหลงไหล ให้เราวูบวาบ หวั่นไหว คนที่ไม่ได้รับธรรมะ ไม่เคยฝึกนั่งสมาธิ ไม่ได้ถือศีลเป็นปกติ ย่อมจะควบคุมใจ/ตัวเอง ยากกว่าคนที่รู้เท่าทันกิเลสค่ะ

ดิฉันมีเพื่อนหญิงมากมายนัก ที่ยังไม่ได้แต่งงานและไม่มีคนรัก มากที่กำลังเฝ้ารอเนื้อคู่ มากที่เฝ้ารอใครสักคนมาทำให้หัวใจที่เหี่ยวเฉามีน้ำหล่อเลี้ยง มากที่เฝ้าหาคู่ตามอินเตอร์เน็ต และมากที่หลอกตัวเองว่า ตัวเองไม่ต้องการใคร! มีเพื่อนหญิงบางคนที่เพียรพยายามที่จะได้ผู้ชายสักคนมาครอบครอง แม้ว่า ตัวเองจะหมดความเป็นตัวตนที่แท้จริงไป ก็ทำ...เห็นแบบนี้แล้วสงสารเพื่อนค่ะ และพยายามเพียรบอกให้เพื่อนไปเข้าวัด ฟังธรรมะ และทำบุญเยอะๆ โดยส่วนมากเพื่อนสาวก็จะบ่นค่ะว่า “เมื่อไหร่เนื้อคู่จะเกิดสักที” ดิฉันฟังแล้วนึกเวทนาเพื่อนค่ะ แต่ครั้นจะพูดธรรมะเยอะๆ เพื่อนก็จะไม่ฟังเอาค่ะ เพราะว่าเพื่อนดิฉันไม่ชอบวัดเราค่ะ

ส่วนเพื่อนสาวที่เป็นชาวต่างชาตินี่ ก็ยิ่งแล้วใหญ่ค่ะ เพราะว่า โดยสภาพแวดล้อมและความที่เราอยู่ต่างศาสนาักัน ย่อมไม่เข้าใจ และไม่รับฟังหรอกค่ะว่า เรามีกรรม มีบาป มีบุญ เป็นผังสำเร็จ เพื่อนที่นี่ส่วนมากก็จะผิดศีลข้อ 3 4 5 กันเยอะค่ะ...ดิฉันเคยบอกเล่าเรื่องราวการไปสร้างบารมีกับเพื่อนๆ ในกลุ่มค่ะ ((เพราะว่า เมื่อก่อนเราจะเจอกันในกลุ่มแทบทุกอาทิตย์ ไม่ไปทานข้าวกัน ก็นัดเจอกัน คุยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน แต่กลุ่มของดิฉันไม่เที่ยวกลางคืนนะคะ คือ ด้วยวัยทำงานและที่นี่ค่าใช้จ่ายในเรื่องของเอนเตอร์เทนเม้นท์ค่อนข้างมีราคาสูง (แค่ทานข้าวมื้อนึงก็แพงแล้ว) เราในกลุ่มเลยจะเจอกันไม่บ้านเพื่อนคนนึง ก็อีกคน เวียนกันไปอย่างนี้บ่อยๆ ค่ะ....ครั้นดิฉันได้เจอกัลฯ ท่านหนึ่งที่พามารู้จักวัดพระธรรมกาย และหมู่คณะ ดิฉันก็หันมานับถือพุทธ และรับศีล 5 และถวายตนเป็นพุทธมามกะ เป็นที่เรียบร้อย และตั้งใจปฏิบัติธรรม ถือศีล และฟังธรรมเป็นนิจค่ะ)) พวกเพื่อนๆ เค้าก็ถามด้วยความสนใจว่า ทำไมดิฉันต้องไปต่างเมืองบ่อยๆ และโดยเฉพาะต้นเดือนที่มีบูชาข้าวพระ ดิฉันจะไม่ขาดเลย และเพราะว่าได้รับมอบหมายจากพระอาจารย์ให้ช่วยงานวัดพร้อมกับผู้มีบุญอีกหลายๆ ท่านด้วย การเข้าวัดมีความหมายกับดิฉันมาก ดิฉันรู้สึกอิ่มเอิมใจ และปลื้มมากๆ เวลาที่ได้ทำกิจกรรมดีดีร่วมกับหมู่คณะ ได้ทำบุญ สร้างบารมี และปฏิบัติธรรม มันเป็นสิ่งที่ดิฉันรักที่จะทำ และมีความสุขมาก ครั้นอธิบายแบบนี้ให้เพื่อนฟัง เค้าก็ค้านกันว่า “ยังมีความสุขอีกมากมายที่ไม่ต้องนั่งหลับตา และฟังธรรมะ” ดิฉันบอกตรงๆ ว่า ไม่สามารถโต้ตอบคำพูดนี้ได้ เพราะมีความรู้สึกว่า คอนเซ็ปต์ของชีวิตและเป้าหมายของชีวิตของเราช่างต่างกับของเพื่อนมากเหลือเกิน (มีเพื่อนบางคนไม่พอใจที่ดิฉันหายไป และไม่ค่อยมาสุงสิงกันเหมือนเคย..โดยความสัตย์จริงจากใจ ดิฉันรู้สึกอึดอัดใจค่ะ เพราะว่า เราบ่ายหน้ามาทางนี้แล้ว เราพบความสว่างแล้ว เราไม่อยากกลับไปเส้นทางเดิมที่มันมืดมัวอีกแล้ว หากจะพูดว่า ขาดการติดต่อเพื่อนกลุ่มนี้ไปเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะมาตรองดูแล้วว่า เราจะสามารถดึงคนพวกนี้ให้มานั่งสมาธิ เข้าวัด ทำบุญกับเราได้ไหม ขอบอกเลย ว่า ยากมาก)

ดิฉันรู้สึกได้ว่า เราทำไมต้องกลัวจะเหงา, ทำไมต้องมีเพื่อนเยอะๆ, ทำไมเราจะกลัวว่า เราจะตายโดยไม่มีใครดูแล, ทำไมเราต้องโหยหาความรักที่เราก็ยังไม่รู้จริงเลยว่า มันเป็นความรักที่เป็นความสุขที่แท้จริงหรือไม่ ดิฉันเอาตัวเองนี่แหละเปรียบเทียบ ทั้งประสบการณ์ตรงของตนเอง และของผู้คนรอบข้าง ดิฉันยังไม่เคยเห็นเลยว่า การมีแฟนหรือชีวิตคู่นั้น มันเป็นความสุขที่แท้จริงตรงไหนค่ะ มันเป็นความสุขที่แบบว่า สุก สุก – ดิบ ดิบ บางคู่ ดิฉันเห็นร้องไ้ห้กันมากกว่าหัวเราะเสียอีก บางคนก็มีแต่เรื่อง บางคนก็มีแต่ความเครียด แต่ทำไมเราถึงดิ้นรนอยากมีกันนักก็ไม่รู้ ดิฉันมองแล้วก็บอกได้ค่ะว่า “หนอ”

คู่ของดิฉันเราแทบจะไม่ทะเลาะกันเลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้ขัดใจกันเองนะคะ เราใช้ชีวิตเรียบง่าย สามีของดิฉันเป็นคนดีค่ะ ไปวัดไปทำบุญเค้าก็ไปด้วย แต่ว่าเค้าเป็นคนต่างชาติ เค้าไม่มีความเข้าใจเรื่องของการสร้างบารมี การทำทาน รักษาศีล และการทำบุญ เค้ายังไม่เข้าใจลึกซึ้ง เค้าก็นั่งสมาธิแต่ก็เพียงแค่ว่า รู้สึกสบาย ตอนนี้ดิฉันก็พยายามเกลาเค้าไปเรื่อยๆ ค่ะ เพราะอยากจะเป็นกัลฯ ให้เค้า ไม่อยากให้เค้ายึดติดกับดิฉันมากไป อยากให้เค้าเข้าใจในเรื่องของบุญ ของบาป และอยากให้เค้าบวชค่ะ ดิฉันพยายามปรับศีลของเราให้ตรงกันค่ะ เราจะได้เดินไปในเส้นทางบุญด้วยกันได้โดยที่ไม่มีการสะดุดค่ะ

ดิฉันอยากบอกว่า การใช้ชีวิตคู่ สำคัญอยู่ที่ศีลค่ะ อย่างอื่นจะตามมาเองทีหลัง หากเรามีศีลเสมอกันค่ะ เพราะหากสามีเราหรือภรรยาของเรา หรือแฟนของเรามีศีลเท่าเทียมกับเรา การสื่อสาร การดำเินินชีวิตก็จะง่ายขึ้น และยิ่งการทำบุญหากเราเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันแล้ว การสร้างบาีรมีของคู่ของเราก็จะง่ายกว่าปกติทั่วไปค่ะ

อยากจะบอกท่านใดที่ยังโสด และคิดว่าจะไม่อยากโสดแล้วว่า หากเป้าหมายชีวิตของคุณคือ “การสร้างบารมี” แ้ล้วละก็ ขอให้ตั้งเข็มทิศของคุณให้มั่นดีค่ะ อย่าได้เห็นความรักที่มาพร้อมกับกิเลสนี้เป็นสุดยอดของชีวิตเลยค่ะ ส่วนผู้ที่แต่งงานแล้ว ก็ต้องปรับเข็มทิศของท่านให้แน่วแน่ค่ะ ทั้งสองจะต้องปรับเข็มทิศใ้ห้ไปในทิศทางเดียวกันค่ะ เพื่อว่า เส้นทางบุญที่เราจะเดินต่อไปนี้จะเป็นผังสำเร็จให้เราประสบแต่ความสุขที่แท้จริงในชีวิตเราค่ะ

.."การนั่งธรรมะ คือ ความสุขที่เป็นยิ่งกว่าความสุขทั้งมวล"..

#2 kissy

kissy
  • Members
  • 589 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 March 2010 - 09:32 PM

QUOTE
มากที่กำลังเฝ้ารอเนื้อคู่ มากที่เฝ้ารอใครสักคนมาทำให้หัวใจที่เหี่ยวเฉามีน้ำหล่อเลี้ยง มากที่เฝ้าหาคู่ตามอินเตอร์เน็ต


kissy คิดว่า ถ้าจะให้อยู่คนเดียว.. มันก็ยากพอสู้นะคะ แต่ถ้ามีใครสักคน อยู่เป็นเพื่อน เวลาขับรถ ไปวัด จะได้ช่วยกันจำทาง

เพราะอาจหลงได้ ( ประสบการณ์จริงคะ แรก ๆ หลง กรุงเทพฯเวียนจนเหนื่อยเลยคะ แต่ตอนนี้ โอเคแล้ว )

เวลา มีงานที่วัด จะได้ช่วยกันจำ วันเวลา ( จะได้ไม่จำผิดวัน )


QUOTE
ครั้นจะพูดธรรมะเยอะๆ เพื่อนก็จะไม่ฟังเอาค่ะ


เค้ายังมีบุญไม่มากพอ พูดยังไง ก็มีสำเร็จ ต้องอดทน เป็นกัลฯ ให้เค้าต่อไป...


QUOTE
อยากจะบอกสาวๆ ที่ยังโสด และไม่อยากจะโสดแล้วว่า หากเป้าหมายชีวิตของคุณคือ “การสร้างบารมี


แล้วถ้า มีคู่บุญ คู่บารมี เพื่อที่จะ เป็นคู่หู ช่วยกัน ทำงาน ศาสนา แบบนี้ จะได้ไหมคะ

55555+





#3 ตะกร้าอีกใบ

ตะกร้าอีกใบ
  • Members
  • 1297 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 March 2010 - 09:36 PM

วาว เรื่องราวชีวิตคุณpremช่างน่าสรรเสริญมากครับ อยากให้ทุกคนได้อ่านจัง ดีจังเลย
ขอกราบอนุโมทนากับธรรมทานด้วยนะครับ

ศีล สมาธิต้องประคองไปด้วยกัน แล้วกิเลสใดๆไม่ว่าจะเรื่องกามก็ตามก็จะเข้ามาครอบงำจิตใจเราไม่ได้
เรานักเรียนอนุบาลฯทุกคนโชคดีที่ได้เจอวิธีการที่ถูกต้อง แต่ถ้าจะให้เรียกว่าเป็นผู้มีบุญก็คงต้องดูกันที่ว่าใครได้ปฎิบัติมากกว่าครับ

สำคัญทีเดียว

อย่าขาดการปฏิบัติธรรมแม้แต่เพียงวันเดียว
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง

7 ส.ค. 48



#4 prem

prem
  • Members
  • 128 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 04 March 2010 - 10:21 PM

kissy คิดว่า ถ้าจะให้อยู่คนเดียว.. มันก็ยากพอสู้นะคะ แต่ถ้ามีใครสักคน อยู่เป็นเพื่อน เวลาขับรถ ไปวัด จะได้ช่วยกันจำทาง

เพราะอาจหลงได้ ( ประสบการณ์จริงคะ แรก ๆ หลง กรุงเทพฯเวียนจนเหนื่อยเลยคะ แต่ตอนนี้ โอเคแล้ว )

เวลา มีงานที่วัด จะได้ช่วยกันจำ วันเวลา ( จะได้ไม่จำผิดวัน )

----------------
ตอบคุณน้อง kissy ค่ะ

ความเห็นของผู้โพสต์เองนะคะ มองว่า

ความรัก ที่มาในรูปแบบของกามอารมณ์ ซึ่งมีเบื้องหลังคือ "กิเลส" เป็นผังสำเร็จ นั้น มันเป็นเพียงแค่ความสนุก เพลิดเพลิน ซึ่งหาความสุขได้เพียงน้อยนิด เป็นความสนุก ความเพลิดเพลิน ที่ต้องแลกมาด้วยน้ำตา ความเจ็บปวด ความวุ่นวาย สับสน โดยมีทั้ง โลภะ โมหะ โทสะ คอยยุยงให้เราหวั่นไหว ลืมว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรค่ะ แรกๆ น้ำต้มผักก็จะหวานอาจจะยิ่งกว่าน้ำผึ้งค่ะ แต่พอหมดโปรโมชั่นแล้ว น้ำต้มผักเริ่มบูดค่ะ ผู้โพสต์ไม่ได้แอนตี้ความรัก หรือการมีคู่นะคะ เพราะผู้โพสต์เองก็มีค่ะ แต่เพียงแต่ว่า เมื่อมีแล้ว เข้าใจลึกซึ้งถึงสัจธรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้ง 2 และทำไมคุณยายอาจารย์ท่านถึงบอกว่า หากอยู่กับท่านแล้วอย่าแต่งงานค่ะ เพราะว่า มันไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริงและจีรังไงคะ คุณน้อง



.."การนั่งธรรมะ คือ ความสุขที่เป็นยิ่งกว่าความสุขทั้งมวล"..

#5 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 04 March 2010 - 11:14 PM

ความจริง การประพฤติพรหมจรรย์เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่หากได้ศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง เพื่อจะใช้ในการเผยแผ่ให้ผู้อื่นจะทราบว่า

พรหมจรรย์นั้นมี 3 ขั้น คือ พรหมจรรย์ขั้นต่ำ พรหมจรรย์ขั้นกลาง และ พรหมจรรย์ขั้นสูงน่ะครับ นี่เองเป็นเหตุให้ธรรมะของพระพุทธเจ้าลุ่มลึกไปตามลำดับ เหมือนทะเลที่ลาดลึกลงไปตามลำดับ เวลาคนทั่วๆไปจะเดินลงทะเล เขาจะไม่รู้สึกหวาดวิตกเพราะทะเลจะค่อยๆ ลาดลง แต่ถ้าคนทั่วๆ ไปต้องเดินผ่านพื้นที่ที่เหมือนหุบเหว เขาย่อมหวาดวิตกว่า เดินๆอยู่อาจตกเหวลึกทันที

เช่นเดียวกันกับธรรมะของพระพุทธเจ้า เวลาใช้สอนคนทั่วไปที่ยังไม่คุ้นเคยกับธรรมะชั้นสูง เราต้องแนะนำธรรมะเบื้องต้นสำหรับผู้ครองเรือนไปก่อน เช่น สังคหวัตถุ 4 ธรรมะที่ทำให้เพื่อนๆ รักใคร่ ได้แก่ ทาน ปียวาจา(พูดจาดีๆ กัน) อัตถจริยา(บำเพ็ญประโยชน์ต่อกัน) สมานัตตา(ดีเสมอต้นเสมอปลาย) เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ คนทั่วๆไป ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ย่อมจะรู้สึกว่า ธรรมะนั้น เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของพวกเขา และก็เริ่มเปิดใจที่จะเข้าวัด เหมือนคนค่อยๆ เดินลงทะเล จะไม่รู้สึกอึดอัด

หากมาถึง เพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้คุ้นกับธรรมะชั้นสูง มาเจอเรื่อง ละกามคุณ 5 ประพฤติพรหมจรรย์ ตัดกิเลสทั้งปวง เขาย่อมอึดอัด เหมือนคนเดินลงทะเลที่พื้นที่ข้างล่างเป็นหุบเหว อย่างนี้ ก็ยากที่คนทั่วๆไปจะสนใจธรรมะ ยกเว้นคนที่มีธาตุธรรมพร้อม สร้างบารมีมามาก ถ้าอย่างนั้น OK ครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#6 *บุญ*

*บุญ*
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 12:42 AM

ขอบคุณมากเลยค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่าดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนี้จริงๆ อ่านแล้วยังตกใจค่ะ ว่ามีคนคิดแบบเราด้วยเหรอเรื่องเข้าวัดและเรื่องสร้างบารมีเพราะเพื่อนๆ ไม่มีใครเป็นแบบเราเลย และดิฉันก็มีแฟนเป็นต่างชาติที่มีศีลเหมือนกันแต่อยู่ด้วยกันได้ไม่นานก็เลิกกันไปเพราะคงสร้างบุญกันมาแค่นี้

#7 prem

prem
  • Members
  • 128 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 12:52 AM

QUOTE
ความจริง การประพฤติพรหมจรรย์เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่หากได้ศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง เพื่อจะใช้ในการเผยแผ่ให้ผู้อื่นจะทราบว่า

พรหมจรรย์นั้นมี 3 ขั้น คือ พรหมจรรย์ขั้นต่ำ พรหมจรรย์ขั้นกลาง และ พรหมจรรย์ขั้นสูงน่ะครับ นี่เองเป็นเหตุให้ธรรมะของพระพุทธเจ้าลุ่มลึกไปตามลำดับ เหมือนทะเลที่ลาดลึกลงไปตามลำดับ เวลาคนทั่วๆไปจะเดินลงทะเล เขาจะไม่รู้สึกหวาดวิตกเพราะทะเลจะค่อยๆ ลาดลง แต่ถ้าคนทั่วๆ ไปต้องเดินผ่านพื้นที่ที่เหมือนหุบเหว เขาย่อมหวาดวิตกว่า เดินๆอยู่อาจตกเหวลึกทันที

เช่นเดียวกันกับธรรมะของพระพุทธเจ้า เวลาใช้สอนคนทั่วไปที่ยังไม่คุ้นเคยกับธรรมะชั้นสูง เราต้องแนะนำธรรมะเบื้องต้นสำหรับผู้ครองเรือนไปก่อน เช่น สังคหวัตถุ 4 ธรรมะที่ทำให้เพื่อนๆ รักใคร่ ได้แก่ ทาน ปียวาจา(พูดจาดีๆ กัน) อัตถจริยา(บำเพ็ญประโยชน์ต่อกัน) สมานัตตา(ดีเสมอต้นเสมอปลาย) เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ คนทั่วๆไป ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ย่อมจะรู้สึกว่า ธรรมะนั้น เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของพวกเขา และก็เริ่มเปิดใจที่จะเข้าวัด เหมือนคนค่อยๆ เดินลงทะเล จะไม่รู้สึกอึดอัด

หากมาถึง เพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้คุ้นกับธรรมะชั้นสูง มาเจอเรื่อง ละกามคุณ 5 ประพฤติพรหมจรรย์ ตัดกิเลสทั้งปวง เขาย่อมอึดอัด เหมือนคนเดินลงทะเลที่พื้นที่ข้างล่างเป็นหุบเหว อย่างนี้ ก็ยากที่คนทั่วๆไปจะสนใจธรรมะ ยกเว้นคนที่มีธาตุธรรมพร้อม สร้างบารมีมามาก ถ้าอย่างนั้น OK ครับ
เมื่อวาน 23:14


ก่อนอื่นต้องบอกคุณหัดฝันว่า เห็นด้วยค่ะที่คุณหัดฝันว่ามา...ซึ่งผู้โพสต์เรื่องนี้ก็ไม่ได้ออกตัวว่า อยากให้ทุกคนรักษาพรหมจรรย์ ของแบบนี้สุดแต่เวรแต่กรรม และผังของคนนั้นค่ะ แต่ที่อยากฝากเรื่องนี้ไว้ให้กับคนที่อยากมีแฟน หรือใช้ชีวิตคู่ ในฐานะที่เป็นผู้มีประสบการณ์ทั้งสวยงามและไม่สวยงาม เลยอยากจะฝากเป็นข้อคิดเตือนใจสำหรับผู้ที่ยังเคว้งคว้างอยู่ ณ ตอนนี้ ว่า...

"ความรักแบบหนุ่มสาว มันยาวก็แค่ก้านไม้ขีด หากคน 2 คน ไม่ได้รักกันบนพื้นฐานแห่งศีลธรรมแล้วละก็
ความรักก็จะโรยราเหมือนดอกกุหลาบที่แห้งเหี่ยว มันไม่ทนทานเหมือนดอกบานไม่รู้โรย
เพราะฉะนั้น...การที่จะดำรงชีวิตของคน 2 คน ให้เดินไปด้วยกันอย่างเป็นสุข ต้องอาศัย ทาน ศีล ภาวนา และ สังคหวัตถุ 4 เป็นตัวช่วย
ไม่เช่นนั้น...คนทั้งสองจะฝ่ากระแสของโลกธรรมไม่พ้นค่ะ"

มีตัวอย่างให้ฟังนิดนึงค่ะ..

ดิฉันมีเพื่อนที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ ก่อนที่เค้าจะแต่งงานกัน ฝ่ายชายเทียวไปเทียวมา มาหาฝ่ายหญิงที่เมืองไทยและพร้อมกับเยี่ยมเยียนครอบครัวของฝ่ายหญิงปีนึงหลายครั้ง ได้มีโอกาสมาสร้างบารมีกับครอบครัวของฝ่ายหญิงทุกครั้งที่เขามาหาเธอที่เมืองไทย แรกๆ ฝ่ายหญิงก็คิดว่าผู้ชายยอมรับและเข้าใจในเรื่องของการสร้างบารมี แม้ว่า วัฒนธรรมของคนทั้ง 2 จะแตกต่างกันมาก และความเชื่อในเรื่องของศาสนาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคความรักของคน 2 คน ที่อยากจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ฝ่ายชายไปร่วมกิจกรรมของวัดพร้อมกับครอบครัวฝ่ายหญิง และได้ร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนทั้ง 2 ได้แต่งงานกัน โดยฝ่ายหญิงได้ข้ามประเทศมาใช้ชีวิตกับฝ่ายชาย หนทางในการสร้างบารมีของเธอก็กระพร่องกระแพร่ง เธอไม่สามารถจะร่วมทำบุญได้คราวละมากๆ ได้เหมือนเมื่อครั้งที่เธอมีอาชีพ มีรายได้ของเธอเอง เพราะเธอต้องอาศัยสามี เงินที่จะอยากเอาไปทำบุญก็ต้องแอบเก็บเอาไปทำโดยไม่ให้ฝ่ายชายรู้ เพราะเมื่อแต่งงานแล้ว เขาที่ตอนแรกดูเหมือนจะเข้าใจว่า การสร้างบารมี การทำบุญ เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง สมบัติต่อสมบัติ บุญต่อบุญ แรกๆ เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่แอบเอาไปพูดกับเพื่อนๆ ว่า เขากลัวว่าเธอจะใช้เงินของเขาไปในการทำบุญจนหมด เขาเลยให้เงินเธอใช้อย่างจำกัด และในวันหนึ่ง ปัญหาก็เกิด เมื่อเธอได้เงินจากเพื่อนมาก้อนหนึ่ง (ซึ่งไม่ได้มากมายอะไรเลย ประมาณห้าพันกว่าบาทไทย) เธอเอาเงินนั้นไปทำบุญทั้งหมด โดยแบ่งทำให้ตัวเอง และสามี, แม่ของสามี, และพี่สาวพี่เขยของสามี (ซึ่งเธอได้ทำเช่นนี้อยู่เนืองๆ ทุกครั้งที่เธอเดินทางกลับเมืองไทยเธอก็ทำเช่นนี้เสมอ โดยทำบุญให้คนในครอบครัวฝรั่งของเธอ เพื่อที่ว่าบุญนั้นจะแปรเปลี่ยนใจที่ตระหนี่ให้คลายลงได้) เธอทำบุญกับวัดโดยทำสุดกำลัง โดยทุกสตางค์ที่เธอมีเธอทำบุญให้วัดหมด เมื่อเค้ารู้ว่าเธอทำบุญจนหมด เค้าโมโหมาก และมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรง

และนี่คือตัวอย่างค่ะ ที่ว่า ทำไมเราถึงต้องมีศีลเสมอกัน และก่อนที่จะมีแฟนเราควรจะทำความเข้าใจและดูกันให้ดีก่อน ทำความเข้าใจให้ตรงกัน ปรับตัว ปรับใจให้คล้อยไปในทิศทางเดียวกัน เพราะหากไม่ เราก็จะมีชีวิตคู่ที่ไม่ต่างอะไรดังตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ



.."การนั่งธรรมะ คือ ความสุขที่เป็นยิ่งกว่าความสุขทั้งมวล"..

#8 prem

prem
  • Members
  • 128 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 01:01 AM

มีมากมายหลายคู่ค่ะ ที่เมือหันมาปฏิบัติธรรม ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาแล้ว ไม่อยากที่จะใช้ชีวิตคู่อีกต่อไป อยากเข้าวัด รักษาพรหมจรรย์และสร้างบารมีไป แต่หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ท่านก็ไม่ได้บอกให้ว่า ต้องทำแบบนี้ ท่านกลับสอนให้เราดีต่อคนของเราให้มากๆ และเป็นกัลฯ ให้กับเขาไปด้วยซ้ำ

แต่คนเรา เมื่อศีลมันเริ่มต่างกันแล้ว ทุกอย่างมันจะเริ่มห่างกันไปทีละนิด ทีละหน่อยค่ะ เพราะฉะนั้น การศึกษาแนวทางของพุทธศาสนาในเรื่องของการใช้ชีวิตคู่นั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งคะ

ฝากเอาไว้ด้วยค่ะ


ขอบพระคุณมากค่ะ
.."การนั่งธรรมะ คือ ความสุขที่เป็นยิ่งกว่าความสุขทั้งมวล"..

#9 @--แสงตะวัน--@

@--แสงตะวัน--@
  • Members
  • 723 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Thailand

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 08:04 AM

ผมคิดว่าคุณ prem เห็นเส้นทางในการสร้างบารมีชัดเจนมากๆ เลยนะครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ

เรื่องความรักผมว่ามันเป็นสิ่งซับซ้อนในความคิดของคนเรานะ เค้าคงฝัง program ไว้ลึกทีเดียวหละ แล้วคนเขียน program ก็ฝึมือดีซะเหลือเกิน :-) ในความคิดส่วนตัวของผมรู้สึกว่าคนโดยทั่วไปโหยหาความอยากอยู่สองประเภทในโลกคือ "ความสำเร็จ" และ "ความรัก" โดยที่การพยายามไขว่คว้าทั้งสองสิ่งถ้าฐานความคิดเต็มไปด้วยกิเลส เราก็ตกเป็นบ่าวเป็นทาสของเขา บางคนสำเร็จในทางโลกแต่ล้มเหลวทางความรัก บางคนสมหวังทางความรักแต่ล้มหลวทางความสำเร็จ บางคนล้มเหลวทั้งสองด้าน แตบางคนก็สมหวังทั้งสองด้านเช่นกัน... แต่คนในโลกส่วนใหญ่ เมื่อถึงจุดนึงจะหันกลับมามองว่าไอ้สิ่งที่เราใช้เวลามาทั้งชีวิตในการไขว่คว้า "มันใช่่แล้วหรือ" ?

โดยส่วนตัวของผมในตอนนี้ให้นิยามของคำว่าความรักและความสำเร็จ ดังนี้ครับ (ในอนาคตอาจจะเปลี่่ยนไป ตามประสบการณ์ และความละเอียดของจิตใจของผมเองก็ได้ ตอนนี้เอาแบบนี้ก่อน)
นิยามของความสำเร็จ ... คือ "เราภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นในสิ่งที่เราทำและทิศทั้ง 6 ก็ภูมิใจในสิ่งนั้นด้วยเช่นเดียวกัน"
นิยามของความรัก... "สิ่งที่ควรรักที่แท้จริง คือ พระธรรมกายภายในตัว"

ปล. ว่าจะไม่ฝากเพลงแล้วเชียว ... แต่อดใจไม่ได้ เพราะแต่งมากับมือ ชอบมากๆ
ท่านใดฟังแล้วก็ผ่านๆ นะครับ


"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"

#10 หยุด นิ่ง ใส

หยุด นิ่ง ใส
  • Members
  • 167 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 10:16 AM

คุณแสงตะวันครับ รบกวนขอ link ด้วยซิครับ เครื่องผมเพลงไม่ขึ้น ขอบคุณครับ

ผมคิดว่าคุณ prem มีเครื่องรู้เกิดขึ้นแล้วครับ อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
ครั้งที่ผมบวชธรรมทายาทครั้งแรก พระอาจารย์สอนว่า "ข้างนอกน่ะอันตรายมากพญามารเขารอเราไว้แล้ว
การมีคู่ มีแต่เรื่องทุกข์ มีความสุขหลอก ๆ นิดเดียว เป็นความสุข เพลิน ๆ เดี๋ยวก็กลับมาทุกข์ใหม่"
ผมนึกค้านในใจ เรารักกันมาก ไม่เห็นจะทุกข์อะไรเลย
ผมคิดในใจตอนนั้นว่าเมื่อผมได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว
ผมจะทำให้เห็นว่า ชีวิตคู่ไม่ได้ทุกข์เสมอไป
แม้ตอนนี้ คู่ของเราจะรักกันมากเท่าไรก็ตาม

แต่สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้ผมต้องคิดใหม่ คือ นี่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง มารกำลังให้ติดอยู่ในบ่วงของกามคุณ
หลวงปู่บอกว่า คนเรานี่โง่นัก "ไปทำงานให้พญามารเขาทั้งวันทั้งคืนทำไม เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้"
พอผมได้ยินครั้งแรกจาก คลิปเสียง เข้าใจทันทีเองเลยว่า หลวงปู่หมายถึงอะไร
ยิ่งได้มีบ่วงเพิ่มขึ้น ทั้งแขน ขา ลำคอ ยิ่งสะลัดให้ออก ยากมาก ๆ นะครับ
ตอนนี้ในใจคิดว่า เกิดมาเพื่อสะสางธาตุรรมตัวเอง แต่ไฉนต้องไปติดอยู่ในบ่วงเหล่านี้
แล้วเมื่อไหร่จะได้สะสางกันเสียที จะรออีกกี่ชาติ ชาติหน้าจะได้มาพบมาเจอ
มาได้ยิน คลิปเสียงหลวงปู่ ฟังเสียงหลวงพ่อ พบหลวงพ่อตัวเป็น ๆอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้

อัศจรรย์ตะวันแก้วก็เห็นมาแล้ว บั้งไฟพญานาคก็เห็นแล้ว ฝนพันปีก็พบแล้ว
ประสบการณ์ภายในก็เกิดแล้ว ชาตินี้ก็ได้เกิดเป็นชายแมน ๆ อีก
ทำไมไม่ทำในชาตินี้ไปเลย จะรออะไรอีก
หลายคนก็พิสูจย์ให้เห็นแล้วว่าความสุขที่แท้จริง คือการหยุดใจที่ศูนย์กลางกาย
พระอรหันต์ ก็ได้พิสูจย์ให้เห็นแล้ว ว่าการดับกิเลสนั้นมีจริง จากเถ้าท่านของท่านที่กลายเป็นแก้วใส
แล้วเราล่ะเมื่อไหร่ ไม่ทำ ตอนนี้แล้วจะทำตอนไหน

แม้ทุกวันจะพยายามหยุดใจเมื่อมีเวลาว่าง แต่ก็ไม่สามารถกระทำได้อย่างเต็มที่
เพราะมีสิ่งต่าง ๆ มารบกวนอยู่ เช่น การทำงาน การติดต่อ แฟน ลูก ครอบครัว ปัญหาที่ต้องแก้ไขในแต่ละวัน
ช่างทำให้นึกถึงพระสงฆ์ ท่านมีบุญแท้ ไม่ต้องมาวุ่นวายต่อสิ่งเหล่านี้เลย
มีเวลาหยุดใจได้ทั้งวันทั้งคืน อยู่ในเพศพรมจรรย์ เป็นเพศที่ประเสริฐที่สุดแล้วครับ

ผมคิดว่ากระแสโลกกำลังหลอกเราให้หลงอยู่กับแหล่งของกามคุณ
เช่นทีวี หนัง ละคร ข่าว วัน ๆ มีแต่ถามกันว่า เมื่อไหร่ จะแต่ง เมื่อไหร จะมีลูก
ดาราคนนั้นชอบคนนี้ คนนี้เลิกกับคนนั้น แต่หารู้ไม่ว่า solfware กามคุณทางโลกมันกำลังทำงานอยู่

หลายคู่ที่ไม่ได้เข้าสู่ทางธรรมเพื่อการหยุดใจจะไม่ทราบเลยว่า
พญามารกำลังสร้างฝังให้แก่เขาอยู่ ว่านี่หล่ะคือความสุข
ขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เราไปค้นกายภายใน
แต่บางคู่ที่ใครคนใด คนหนึ่งพบกัลยาณมิตร พบการปฏิบัติธรรม พบความสุขภายใน พบกายภายใน
ซึ่งเป็นความสุขจากการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
จะทราบได้ทันที่ว่า นี่คือความสุขที่แท้จริง

#11 B..L..I..S..S..F..U..L..L.

B..L..I..S..S..F..U..L..L.
  • Members
  • 31 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Jatujak

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 11:24 AM

....ดีใจจัง พบกัลยาณมิตร online ช่วยกันประคับประคองไปสู่เป้าหมายเดียวกันค่ะ...ความสุขอยู่ภายในตัวเราจริงๆ
บุญนั้นไม่มีขาย อยากจะได้ต้องทำเอง

#12 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 11:58 AM

จากท่อนที่ว่านี้ของเจ้าของกระทู้นะครับ

QUOTE
(มี เพื่อนบางคนไม่พอใจที่ดิฉันหายไป และไม่ค่อยมาสุงสิงกันเหมือนเคย..โดยความสัตย์จริงจากใจ ดิฉันรู้สึกอึดอัดใจค่ะ เพราะว่า เราบ่ายหน้ามาทางนี้แล้ว เราพบความสว่างแล้ว เราไม่อยากกลับไปเส้นทางเดิมที่มันมืดมัวอีกแล้ว หากจะพูดว่า ขาดการติดต่อเพื่อนกลุ่มนี้ไปเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะมาตรองดูแล้วว่า เราจะสามารถดึงคนพวกนี้ให้มานั่งสมาธิ เข้าวัด ทำบุญกับเราได้ไหม ขอบอกเลย ว่า ยากมาก)


ผมกลับเห็นว่า ความจริง แม้เราอาจจะไม่ได้ไปสุงสิงกับเพื่อนกลุ่มเดิม ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่นะครับ แต่เรายังคงส่งความปรารถนาดีไปยังเพื่อนกลุ่มเดิมได้ครับ วิธีการก็มีหลากหลาย เช่น
ไม่ได้ไปเจอหน้า ก็โทรศัพท์ไปแสดงความห่วงใย ระลึกถึงพวกเขาได้ครับ (ปิยวาจา)
ไม่ได้ไปเจอหน้า ก็ส่งการ์ดอวยพรวันเกิดเพื่อนในช่วงวันสำคัญของพวกเขา ก็ทำได้นี่ครับ (ทาน)
ไม่ได้ไปเจอหน้า ก็ส่งของที่ระลึก ของขวัญไปให้เพื่อนในโอกาสพิเศษๆ ได้นี่ครับ (ทาน)
ไม่ได้ไปเจอหน้าบ่อยๆ ก็อาจไปช่วยบำเพ็ญประโยชน์ในงานสำคัญๆ ได้นี่ครับ เช่น เขามีทำบุญบ้าน เราก็ไปช่วย เป็นต้น (อัตถจริยา)
ไม่ได้ไปเจอหน้า และเึคยรู้สึกว่า เมื่อก่อนเวลาอยู่กับเพื่อนๆ เหมือนมืดมน ตอนนี้มาพบทางสว่างแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเลิกรัก เลิกห่วงใย เลิกปรารถนาดี ในตัวเพื่อนๆ เหล่านั้นนี่ครับ (สมานัตตา ดีเสมอต้นเสมอปลาย)

ผมอนุโมทนาบุญด้วย ที่เจ้าของกระทู้รู้สึกว่า ได้มาพบทางสว่างแล้ว เป็นทางของผู้ประเสริฐ
เพียงแต่ อย่าทิ้งความสัมพันธ์ฉันเพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคนไหนก็ตาม ขอเพียงเรามีใจปรารถนาดีต่อเพื่อนๆ จริงๆ สักวันเพื่อนเหล่านั้นจะรับรู้ความปรารถนาดีในใจเรา และจะลองดำเนินวิถีชีวิตแบบเราขึ้นมา น่ะครับ

เพราะมโนปณิธาน ของหมู่คณะเราคือ ที่สุดแห่งธรรม หมายความว่า เราจะไม่คิดพ้นทุกข์คนเดียว แต่จะชักชวนให้สรรพสัตว์ทุกจักรวาลพ้นทุกข์ไปด้วยกัน ไม่ว่า เขาเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม ครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#13 @--แสงตะวัน--@

@--แสงตะวัน--@
  • Members
  • 723 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Thailand

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 01:10 PM

Link "เพลงรักในตัวเอง" ตามที่คุณหยุดนิ่งใส ขอไว้นะครับ


"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"

#14 หยุด นิ่ง ใส

หยุด นิ่ง ใส
  • Members
  • 167 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 04:34 PM

ขอบคุณครับ คุณแสงตะวัน ทีนี้เลยได้ฟังทั้งอัลบั้มเลยครับ 55

เสียงดนตรีเพราะดีนะครับ

ส่วน MV ภาพสวยดีครับ




#15 prem

prem
  • Members
  • 128 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 04:45 PM

QUOTE
ผมกลับเห็นว่า ความจริง แม้เราอาจจะไม่ได้ไปสุงสิงกับเพื่อนกลุ่มเดิม ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่นะครับ แต่เรายังคงส่งความปรารถนาดีไปยังเพื่อนกลุ่มเดิมได้ครับ วิธีการก็มีหลากหลาย เช่น
ไม่ได้ไปเจอหน้า ก็โทรศัพท์ไปแสดงความห่วงใย ระลึกถึงพวกเขาได้ครับ (ปิยวาจา)
ไม่ได้ไปเจอหน้า ก็ส่งการ์ดอวยพรวันเกิดเพื่อนในช่วงวันสำคัญของพวกเขา ก็ทำได้นี่ครับ (ทาน)
ไม่ได้ไปเจอหน้า ก็ส่งของที่ระลึก ของขวัญไปให้เพื่อนในโอกาสพิเศษๆ ได้นี่ครับ (ทาน)
ไม่ได้ไปเจอหน้าบ่อยๆ ก็อาจไปช่วยบำเพ็ญประโยชน์ในงานสำคัญๆ ได้นี่ครับ เช่น เขามีทำบุญบ้าน เราก็ไปช่วย เป็นต้น (อัตถจริยา)
ไม่ได้ไปเจอหน้า และเึคยรู้สึกว่า เมื่อก่อนเวลาอยู่กับเพื่อนๆ เหมือนมืดมน ตอนนี้มาพบทางสว่างแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเลิกรัก เลิกห่วงใย เลิกปรารถนาดี ในตัวเพื่อนๆ เหล่านั้นนี่ครับ (สมานัตตา ดีเสมอต้นเสมอปลาย)

ผมอนุโมทนาบุญด้วย ที่เจ้าของกระทู้รู้สึกว่า ได้มาพบทางสว่างแล้ว เป็นทางของผู้ประเสริฐ
เพียงแต่ อย่าทิ้งความสัมพันธ์ฉันเพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคนไหนก็ตาม ขอเพียงเรามีใจปรารถนาดีต่อเพื่อนๆ จริงๆ สักวันเพื่อนเหล่านั้นจะรับรู้ความปรารถนาดีในใจเรา และจะลองดำเนินวิถีชีวิตแบบเราขึ้นมา น่ะครับ

เพราะมโนปณิธาน ของหมู่คณะเราคือ ที่สุดแห่งธรรม หมายความว่า เราจะไม่คิดพ้นทุกข์คนเดียว แต่จะชักชวนให้สรรพสัตว์ทุกจักรวาลพ้นทุกข์ไปด้วยกัน ไม่ว่า เขาเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม ครับ
วันนี้ 11:58


อย่างที่คุณหัดฝันแนะนำมา ดิฉันทำอยู่ค่ะ วันเกิด วันปีใหม่ คริสต์มาสก็ส่งการ์ดไป ส่งข้อความหากันบ้างค่ะ นั่งสมาธิ ดิฉันก็ส่งบุญให้เพื่อนๆ ตลอดค่ะ เพราะคิดว่า เราคงเคยได้เจอะเค้าในชาติที่ผ่านมา ได้มีเวรมีกรรมร่วมกันมาไม่มากก็น้อยค่ะ คือไม่ได้ไม่ชอบเพื่อนๆ นะคะ เรายังคงมีความเป็นเพื่อนให้กันตลอดค่ะ ใครมีเรื่องอะไรดิฉันก็ยังเป็นที่ปรึกษาและคอยช่วยเหลือเค้าทุกคน

แต่การห่างของดิฉัน มีเหตุผลส่วนตัวคือ "เวลาที่เราไปเจอะเจอใครหลายๆ คน เรื่องส่วนใหญ่ที่เค้าคุยกันก็จะเป็นเรื่องที่เอาใจเราออกห่างกลายกายตลอด ส่วนมากจะเป็นมาในรูปของโลกธรรม 8 ทั้งนั้น และการที่เราจะต้องไปนั่งฟังเพื่อนเรานินทา ว่าร้าย และติเตียนคนนั้นคนนี้ มันทำให้ดิฉันรู้สึกว่า เรามาผิดทางเสียแล้ว เพราะเรารู้สึกว่า แม้เราไม่แย้งเค้า เราไม่อนุโมทนาเค้า แต่เรากำลังคบคนพาลค่ะ แม้มงคลข้อที่ 1 ดิฉันยังผ่านมันไปไม่ได้แล้วข้อต่อไปจะได้ยังไงเล่าคะ"

เรายังไม่แข็งพอที่จะทำใจไม่ให้รู้ร้อน ร้หนาว รู้สึกอะไรกับคำ กับกิริยา ของคน ดิฉันเลยมาถามตัวเองว่า "หากการที่เราไป hang out กับเพื่อนบ่อยๆ เพียงเพราะว่า ความเกรงใจต่อเพื่อน ที่เค้าอยากเจอเรา อยากคุยกับเรา..แล้วดิฉันก็ต้องไปทนเสียเวลานั่งฟังเรื่องที่เรามองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้วนั้น ดิฉันจะทำไปทำไมกันหนอ" คือบางครั้ง คนเราก็ต้องเลือกค่ะ ว่า เป้าหมายของเราคืออะไร ถิ่นที่เหมาะสมแปลว่าอะไร คบบัณฑิตต้องแบบไหน ดิฉันคิดเยอะค่ะกว่าจะได้คำตอบแบบนี้ให้กับตัวเอง ต้องนั่งเข้าที่ไปค้นเอาคำตอบให้ตัวเองให้แน่ใจว่า สิ่งที่ตัดสินใจทำไปนั้นมันดีต่อกับตัวเอง หรือคนอื่นหรือไม่ -- เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว ก็ตั้งเข็มทิศของตัวเองให้แน่แน่วค่ะ ไม่หวั่นไหวอีก คิดเอาเองว่า "ใครจะไม่พอใจเราก็ช่างเขาเหอะ ใครจะว่าอะไรก็เรื่องเขาเหอะ ดิฉันนั่งอยู่กับหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ นั่งคุยกับคุณยาย ทำธรรมะของตัวเองให้สว่างนี่ เวลาก็หมดไปวันๆ แล้วค่ะ หมดเวลาให้กับเรื่องนอกใจแล้วค่ะ"

.."การนั่งธรรมะ คือ ความสุขที่เป็นยิ่งกว่าความสุขทั้งมวล"..

#16 @--แสงตะวัน--@

@--แสงตะวัน--@
  • Members
  • 723 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Thailand

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 05:31 PM

QUOTE
"หากการที่เราไป hang out กับเพื่อนบ่อยๆ เพียงเพราะว่า ความเกรงใจต่อเพื่อน ที่เค้าอยากเจอเรา อยากคุยกับเรา..แล้วดิฉันก็ต้องไปทนเสียเวลานั่งฟังเรื่องที่เรามองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้วนั้น ดิฉันจะทำไปทำไมกันหนอ" คือบางครั้ง คนเราก็ต้องเลือกค่ะ ว่า เป้าหมายของเราคืออะไร ถิ่นที่เหมาะสมแปลว่าอะไร คบบัณฑิตต้องแบบไหน ดิฉันคิดเยอะค่ะกว่าจะได้คำตอบแบบนี้ให้กับตัวเอง ต้องนั่งเข้าที่ไปค้นเอาคำตอบให้ตัวเองให้แน่ใจว่า สิ่งที่ตัดสินใจทำไปนั้นมันดีต่อกับตัวเอง หรือคนอื่นหรือไม่ -- เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว ก็ตั้งเข็มทิศของตัวเองให้แน่แน่วค่ะ ไม่หวั่นไหวอีก คิดเอาเองว่า "ใครจะไม่พอใจเราก็ช่างเขาเหอะ ใครจะว่าอะไรก็เรื่องเขาเหอะ ดิฉันนั่งอยู่กับหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ นั่งคุยกับคุณยาย ทำธรรมะของตัวเองให้สว่างนี่ เวลาก็หมดไปวันๆ แล้วค่ะ หมดเวลาให้กับเรื่องนอกใจแล้วค่ะ"


คำตอบนี้สุดใจเลยครับคุณ prem เจ๊งมากๆ สาธุๆ นะครับ
"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"

#17 usr29799

usr29799
  • Members
  • 57 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 09:05 PM

ทำไมเข้าไปฟังเพลงรักในตัวเองของคุณแสงตะวันไม่ได้คะ เพลงมันติดๆหยุดๆต้องทำงัยบ้างช่วยสอนที นะคะ

#18 บ่าวอุบล

บ่าวอุบล
  • Members
  • 632 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 09:46 PM

อ่านแล้วได้ข้อคิดทุกความเห็น สาธุครับ

#19 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 05 March 2010 - 11:47 PM

ชอบประโยคนี้ค่ะ คล้องจองกันดีจังเลยค่ะ และให้ข้อคิดสะกิดใจด้วย
QUOTE
ความรักแบบหนุ่มสาว มันยาวก็แค่ก้านไม้ขีด หากคน 2 คน ไม่ได้รักกันบนพื้นฐานแห่งศีลธรรมแล้วละก็
ความรักก็จะโรยราเหมือนดอกกุหลาบที่แห้งเหี่ยว มันไม่ทนทานเหมือนดอกบานไม่รู้โรย


ขออนุโมทนาบุญกับคุณ prem ด้วยนะคะ

ดิฉันเชื่อว่าเมื่อถึงจุดๆ นึง ที่เข้าใจถึงเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ใครหลายๆ คนบนเว็บ DMC แห่งนี้ คงได้สัมผัสและมีเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่คุณ prem อยากจะสื่อ
และเชื่อว่าใครหลายๆ คน คงเคยผ่านความรู้สึกแบบคุณ prem
เช่นเรื่องเพื่อนเก่าๆ หายหน้าไป แต่กลับได้เพื่อนใหม่มาแทน เวลาโทร.ไปหาเพือนเก่าๆ ก็ไม่มีเรื่องอะไรจะคุยด้วย นอกจากเรื่องบุญ เรื่องศีล เรื่องสมาธิ(ซึ่งเพื่อนไม่อยากฟัง) ส่วนเพื่อนปลายสายก็ชวนคุยเรื่องครอบครัว เรื่องลูก เรื่องสุข เรื่องทุกข์ทางโลก(ซึ่งเราไม่ค่อยอยากฟัง)และไม่อยากคุยด้วยเรื่องเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต ชีวิตเรากลับมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่านั้น แถมบางครั้ง...ซ้ำร้าย..เพื่อนคนที่ว่ากลับเป็นเพื่อนสนิทของเราเอง ที่รู้จักกันมาเป็น 10 ปี

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป