พระมหาปันถก
[attachmentid=1657]
พระมหาปันถก เป็นลูกชายของธิดาของธนเศรษฐี ในเมืองราชคฤห์ มีน้องชายอีกคน หนึ่ง ซึ่งพี่น้องทั้งสองคนนี้เดิมชื่อว่า ปันถก เหมือนกันแต่เพราะท่านเป็นคนพี่จึงได้นามว่า มหาปันถก ส่วนคนน้องได้นามว่า จูฬปันถก ทั้งสองพี่น้องถือว่าอยู่ในวรรณะจัณฑาล เพราะพ่อแม่ต่างวรรณะกันโดยพ่อเป็นวรรณศูทร ส่วนแม่เป็นวรรณแพศย์ ประวัติมีดังต่อไปนี้:-
ความเป็นมา พระมหาปันถก เป็นลูกของธิดาเศรษฐีในเมืองราชคฤห์ ซึ่ง มารดาของท่านนั้นเมื่อเจริญวัยขึ้น มีรูปร่างลักษณะสวยงาม และเศรษฐีผู้เป็นพ่อและแม่ห่วงลูกสาวเป็นอย่างมากเลย ถึงขนาดสร้างปราสาทให้อยู๋ชั้นบนสุดของปราสาท ห้ามไม่ให้คบหากับคนภายนอก จึงเป็นเหตุให้ลูกเศรษฐี สนิทสนมกับคนใช้เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นชายหนุ่มภายในเรือนตน เมื่อพวกเขาสนิทสนมกันขึ้น จึงลักลอบได้เสียกันฉันสามีภรรยา ในกาลต่อมา ทั้งสองกลัวว่าผู้เป็นบิดามารดาจะรับรู้ จึงพากันหนีออกจากบ้านเพื่อไปอาศัยในชุมชนอื่น ที่ไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเขาสองคน แล้วอยู่ร่วมสุขร่วมทุกข์กันฉันสามีภรรยาสองคน
เหตุที่ได้ชื่อว่า มหาปันถก เมื่อนางได้ตั้งท้องขึ้นจึงได้อ้อนวอนให้ผู้เป็นสามีนำกลับไปคลอดที่บ้านของพ่อแม่ของตน โดยให้ข้ออ้างต่อผู้เป็นสามีว่า ผู้ที่เป็นพ่อแม่ถึงอย่างไรก็คงจะไม่ทำอันตรายลูกของตนหรอก แต่สามีก็พยายามบ่ายเบี่ยงพลัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมนำภรรยาของตนไป ด้วยกลัวว่า เมื่อนำภรรยาของตนไปหาพ่อแม่ของภรรยาแล้ว จะถูกพ่อแม่ของภรรยาลงโทษ จนในมี่สุดภรรยาจึงต้องหนีสามีกลับไปหาพ่อและแม่เพื่อคลอดลูก แต่ยังไม่ทันไปถึงบ้านของพ่อแม่ ครรภ์ของนางได้กระทบกระเทือนจึงต้องคลอดบุตรในระหว่างทาง สามีกลับมาไม่เห็นนางจึงได้ถามคนในระแหวกนั้น จึงทราบว่านางไปไหน สามีเธอได้ออกตามหาและได้พบเธอและลูกในระหว่างทาง สามีของนางจึงนำนางกลับมาที่บ้านและได้ตั้งชื่อลูกของตนว่า ปันถก เพราะได้เกิดในระหว่าทาง ต่อมานางได้คลอดบุตรคนที่สองในระหว่างทาง อีกเช่นกัน จึงได้ให้ชื่อลูกคนแรกใหม่ว่า มหาปันถก ส่วนลูกคนที่สองซึ่งเป็นน้องของมหาปันถก ได้ชื่อว่า จูฬปันถก(ประวัติความเป็นมาของท่านจูฬปันถกนั้น หากผู้ได้มีความสนใจ ก็ขอให้ติดตามต่อไป ข้าพเจ้าจะนำข้อมูลมาให้ ส่วนครั้งนี้ ขอให้ความรู้เรื่องพระมหาปันถกก่อน)
ได้บวชเป็นพระ สองสามีภรรยานั้นได้ช่วยกันเลี้ยงดูลูกทั้งสอง อยู่ครองรักกันมานาน จนกระทั่งลูกเจริญเติบโตขึ้น ได้วิ่งเล่นกับเด็กเพื่อน ๆ กัน ได้ฟังเด็กคนอื่น ๆ เรียกญาติผู้ใหญ่ว่า ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นต้น ส่วนของตนไม่มีคนเหล่านั้นให้เรียกเลย จึงซักไซ้ถามจากบิดามารดาอยู่บ่อย ๆ จนทราบว่าญาติผู้ใหญ่ของตนนั้นอยู่ที่เมืองราชคฤห์ จึงรบเร้าให้บิดามารดาไปพบท่านเหล่านั้น จนในที่สุดบิดามารดาอดทนต่อการรบเร้าไม่ไหว จึงตัดสินใจพาลูกทั้งสองไปพบ ตา ยาย ที่เมืองราชคฤห์เมื่อเดินทางมาถึงเมืองราชคฤห์แล้ว ได้พักอยู่ที่ศาลาหน้าประตูเมืองไม่กล้าที่จะเข้าไปหาบิดามารดาในทันที เมื่อพบคนรู้จักจึงสั่งความให้ไปบอกแก่เศรษฐีว่า ขณะนี้ลูกสาวของท่านพาหลานชายสองคนมาเยี่ยม ฝ่ายเศรษฐียังมีความแค้นเคืองอยู่ จึงบอกแก่คนที่มาส่งข่าวว่า สองผัวเมียนั้น อย่ามาให้เห็นหน้าเลย ถ้าอยากได้ทรัพย์สินเงินทอง ก็จงเอาไปเลี้ยงชีพเถิด แต่ขอให้ส่งหลานชายทั้งสองคนมาให้ก็แล้วกันสองสามีภรรยานั้น รับทรัพย์สินเงินทองไปเลี้ยงชีวิตแล้วส่งลูกชายทั้งสองคนให้มาอยู่
กับเศรษฐีผู้เป็นตา ฝ่ายเศรษฐีก็เลี้ยงดูหลาน ๆ ด้วยความรักใคร่ พาไปฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาที่วัดเวฬุวันเป็นประจำ แต่ถึงอย่างไร หลานทั้งสองก็สร้างความลำบากใจแก่เศรษฐีผู้เป็นตาอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อมีคนถามว่า หลานชายทั้งสองคนนี้เป็นบุตรของลูกสาวคนไหนของท่าน ก็รู้สึกละอายที่จะตอบ เป็นบุตรของลูกสาวคนที่หนีตามชายหนุ่มไปดังนั้น เมื่อต่อมา มหาปันถก หลานคนโตเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กล่าวขออนุญาตเพื่อบรรพชาเป็นสามเณร คุณตาผู้เศรษฐีจึงรีบอนุญาตด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง พาไปบวชเป็นสามเณร ท่านเป็นสามเณรจนอายุครบ ๒๐ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ท่านพยายามบำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์สิ้นอาสวกิเลสทั้งปวง
ได้รับยกย่องในตำแหน่งเอตทัคคะ พระมหาปันถก เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้ช่วยกิจการพระศาสนาเป็นกำลังช่วยงานพระบรมศาสดา ตามกำลังความสามารถ พระบรมศาสดา ได้ทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ ภัตตุทเทศก์ ผู้แจกจ่ายภัตตาหารและกิจนิมนต์ ตามบ้านทายกทายิกา และอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เพื่อให้ภิกษุสงฆ์ได้รับลาภสักการะโดยทั่วถึงกัน ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยยุติธรรม จนเป็นที่พอใจของบรรดาเพื่อนสหธรรมิก และทายกทายิกาอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ท่านได้รับความสุขจากการหลุดพ้นสิ้นกิเลสาสวะทั้งปวงแล้ว ท่านได้ระลึกถึงน้องชายของท่าน ต้องการที่จะให้น้องชายได้รับความสุขเช่นเดียวกับตนบ้าง จึงไปขออนุญาตจากคุณตาแล้วพาจูฬปันถก ผู้เป็นน้องชายมาบวชเป็นศาสนทายาทอีกคนหนึ่งพระมหาปันถก เป็นผู้มีความชำนาญในการเจริญวิปัสสนา จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้เจริญวิปัสสนา ท่านดำรงอายุสังขาร สมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
สัพเพ สัตตา อะเวรา อัพพะยาปัชฌา อะนีฆา สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ.
ด้วยผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำนี้ ขอให้เจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ตลอดจนวงศาคณาญาติทั้งหลาย ทั้งอดีตและปัจจุบัน และผู้ที่อาศัยอยู่ทั้ง 4โลก อันได้แก่ มนุษย์ นรก บาดาล สวรรค์ จงมีส่วนบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำด้วยเทอญ
ด้วยผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำนี้ ขอให้เจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ตลอดจนวงศาคณาญาติทั้งหลาย ทั้งอดีตและปัจจุบัน และผู้ที่อาศัยอยู่ทั้ง 4โลก อันได้แก่ มนุษย์ นรก บาดาล สวรรค์ จงมีส่วนบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำด้วยเทอญ