จะรู้ได้ไงว่าบรรลุโสดาบันครับ
#1
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 09:20 PM
#2
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 12:14 AM
ปัจจัตตัง
คำแปล2
ว. เฉพาะตน, (ศน.) พระธรรมคุณบทหนึ่งว่าปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แปลว่า พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว, คำว่า ปัจจัตตัง ใน ที่นี้หมายถึงว่า ความสุขที่เกิดจากการบรรลุธรรม นั้น เป็นความสุขที่ผู้บรรลุจะรู้กับใจของตัวเอง ต้องปฏิบัติจึงจะรู้ไม่เป็นสิ่งที่จะรู้ได้ด้วยการฟังคนอื่นเล่าหรือให้คนอื่นปฏิบัติแทนตน.
แต่ในกรณีนี้อาจตรวจสอบกันได้ระหว่างผู้รูฦด้วยกันเอง หรือจากคำสอนมีไว้
^^
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง
#3
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 12:15 AM
ตัวเองนั้นรู้ได้ เปรียบเสมือน ตัวเองถูกตัดเเขน ตัดขา แล้ว ก็ย่อมรู้ว่าตัวเองถูกตัดแขนตัดขาแล้ว ครับ
ผมมีความรู้แค่นี้ครับ รอท่านอื่นมาตอบ
แหะๆ
#4
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 12:19 AM
#5
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 12:38 AM
...แต่ไม่ต้องกลัวครับ เมื่อเจอกายธรรมแล้ว หรือตั้งแต่ดวงปฐมมรรค ก็จะมีเสียงพูดคุยกับเรา และแนะนำตัวเราต่อไปได้อีกครับ แปลกดี เหมือนมีไกด์นำเราว่า ถึงตรงนี้แล้ว จะเที่ยวตรงนี้ หรือจะหยุดพัก ณ ตรงนี้ไหม? ประมาณนี้อ่ะครับ เท่าที่ทราบมา
#6
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 01:26 AM
http://www.kalyanami...d...id=6&page=3
เรื่องน้องมะนาว ฟังแล้วรู้สึกดีมากๆครับ เรื่องอื่นก็ไม้แพ้กันนะครับ
ลองเข้าไปฟังกันครับ
ดี ที่ สุด เลย
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง
#7
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 03:46 AM
1. กายมนุษย์
2. กายมนุษย์ละเอียด (เป็นกายฝัน ที่เรามักเห็นเวลาหลับ)
3. กายทิพย์
4. กายทิพย์ละเอียด
5. กายรูปพรหม
6. กายรูปพรหมละเอียด
7. กายอรูปพรหม
8. กายอรูปพรหมละเอียด (ถึงแค่กายนี้ เป็นขั้นสมถะ ซึ่งแปลว่าหยุดนิ่ง สงบ)
9. กายธรรมโคตรภู (กายธรรมโคตรภู ขึ้นไป จึงจะเป็น วิปัสสนา ซึ่งแปลว่า การเห็นอันวิเศษ เห็นแจ้งด้วยธรรมจักขุ
เป็น ภาวนามยปัญญา เป็นการเห็นอันวิเศษด้วยญาณของพระธรรมกาย)
10. กายธรรมโคตรภูละเอียด
11. กายธรรมโสดาบัน
12. กายธรรมโสดาบันละเอียด
13. กายธรรมสกิทาคามี
14. กายธรรมสกิทาคามีละเอียด
15. กายธรรมอนาคามี
16. กายธรรมอนาคามีละเอียด
17. กายธรรมอรหัต
18. กายธรรมอรหัตละเอียด
จากหนังสือ สาระสำคัญพระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี เป็นหนังสือที่หลวงปู่ท่านกล่าวถึง
สติปัฏฐาน 4 วิปัสสนา สมถะ ไว้ครับ
http://www.kalyanami...etail.php?id=46
ยืนยันตัวจริงเสียงจริงเจ้าของกรณีศึกษากฎแห่งกรรม
http://video.dmc.tv/programs/life_in_samsara/page5.html
หนังสือเรียนธรรมะ DOU http://book.dou.us/d...ya-book-gl.html
GL 101 จักรวาลวิทยา http://book.dou.us/gl101.html
GL 102 ปรโลกวิทยา http://book.dou.us/gl102.html
GL 203 กฎแห่งกรรม http://book.dou.us/gl203.html
GL 305 ปฏิปทามหาปูชนียาจารย์ http://book.dou.us/gl305.html
#8
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 10:43 AM
#9
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 04:51 PM
แปลว่า ความรู้ว่าหลุดพ้น
ตัวผู้บรรลุธรรมจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก
#10
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 07:32 PM
#11
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 08:11 PM
เมื่อเข้าถึงก็จะรู้ได้เฉพาะตน
#12
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 02:58 AM
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#13
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 07:19 PM
เกิดมาชาตินี้อาจจะไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นพระโสดาบันก้ได้
อ้างถึง หลวงปู่เทสนื เทสรังษี
ท่านเล่าว่า เมื่อ ตอนเกิดมานี้ตัวเอง
มิทราบว่าได้เป็นพระโสดาบัน แต่เมื่อได้เข้ามาบวช
แล้วได้ปฏิบัติธรรมจึงได้ทราบ
#14
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 08:07 PM
#16
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 04:33 AM
* ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่
o 1. สักกายทิฏฐิ - หมดความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา หมดความยึดมั่นถือมั่นในระดับหนึ่ง
o 2. วิจิกิจฉา - หมดความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
o 3. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงการหมดความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย
o 4. กามราคะ - หมดความติดใจในกามคุณ
o 5. ปฏิฆะ - ไม่มีความกระทบกระทั่งในใจ
* ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่
o 6. รูปราคะ - ไม่มีความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
o 7. อรูปราคะ - ไม่มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
o 8. มานะ - หมดความยึดมั่นถือมั่น
o 9. อุทธัจจะ - ไม่มีความฟุ้งซ่าน
o 10. อวิชชา - ไม่มีความไม่รู้จริง
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้
พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ 4 และ 5 ให้เบาบางลงด้วย
พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อต้นได้หมด
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อ
ที่มา "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม"
#17
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 01:32 PM
#18
โพสต์เมื่อ 12 April 2010 - 06:55 PM
ส่วนการละกิเลศได้ระดับต่างๆ และคุณธรรมของพระอริยะเจ้าระดับต่างๆ ก็ตามที่เพื่อนๆกัลยาณมิตร โพสต์ไว้นะครับ
วิชชา 18 กายตามแนววิชชาธรรมกายนั้น หลวงปู่สดสอนไว้สองกรณีนะครับ
คือกรณีที่ธรรมกายบรรลุอริยมรรคผลแล้ว และกรณีที่ธรรมกายยังไม่บรรลุมรรคผลครับ ยังเป็นโลกียะวิชชาอยู่
แต่ถ้าถึงพระนิพพานได้ แม้ยังละกิเลสเป็นสมุจเฉทไม่ได้เรียกว่า โคตรภูบุคคลครับ (เท่านี้ก็สุดยอดแล้วเด้อ เพื่อนกัลยาณมิตร)
ตามวิชชาธรรมกายเบื้องสูงนั้นแสดงไว้ว่าหากเราเจริญอาสวักขยญาณเบื้องสูง แก้ที่ ธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ จนกิเลศดับหมด ธรรมกายจึงจะขยายส่วนออกไปได้เต็มธาตุเต็มธรรม แล้วไม่กลับมามัวหมองอีก เบิกบานเต็มที่เสมือนดอกบัวบาน จะใสสว่างทุกเมื่อ.....
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#19
โพสต์เมื่อ 18 April 2010 - 01:53 PM
#20
โพสต์เมื่อ 18 April 2010 - 07:11 PM
#21
โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 12:55 PM
การจะรู้ได้ไงว่า บรรลุโสดาบันหรือไม่
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปอยากรู้ อยากเห็น
เพียงแค่ ในช่วงวัน เวลาหนึ่ง ๆ ใจของเรานิ่งๆ
สงบเยือกเย็น มองทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้
ด้วยความรัก เมตตา และปรารถนาดี
อยากให้เค้าพ้นทุกข์ พบความสุขอันแท้จริง
แค่นี้ เพียงเท่านี้ เท่านั้น .... .... ก็เกิดบุญ
กับตัวเราเองแล้วค่ะ
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม