![รูปภาพ](/forum/uploads/profile/photo-thumb-31155.jpg?_r=1402344328)
เรื่องของป่าหินมพานต์
#1
โพสต์เมื่อ 20 May 2010 - 07:57 PM
1. คนที่เกิดในศาสนานี้ เมื่อตายไปบางราย ต้องไปอยู่ป่าหินมพานต์หรือ แล้วด้วยบุพกรรมใด
2. ทำไมในป่าหิมพานต์..จึงเป็นสีทอง
3. พระเจ้านั้น แท้จริงไม่มีจริงใช่ไหม เป็นสิ่งที่อุปโลกขึ้น ตามความเชื่อเก่าแก่
4. ถ้าเช่นนั้น ผู้ที่ประกอบความดีในศาสนานี้ อย่างมากก็ได้แค่มาเกิดที่ป่าหิมพานต์ใช่หรือไม่ (ในกรณีที่ไม่ได้ทำบุญกับทางพุทธศาสนาเลย)
ขอช่วยไขข้อข้องใจด้วยนะคะ
ขอบพระคุณมากค่ะๆ
#2
โพสต์เมื่อ 20 May 2010 - 08:43 PM
2. สีทองไม่ผ่องใสมาก ไม่สีทองเท่าดาวดึงส์ เพราะความงดงามมีเท่านั้น ผลของบุญของผู้มาอยู่มีเท่านั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ดูใกล้ๆกับสวรรค์ชั้นจาตุฯ แต่คนละวิว คนละสถานที่กัน(เปรียบเทียบความงาม)
3. เป็นสมมุติโดยมนุษย์ แต่ก็ดีที่ยังมีเชื่อเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วหลงเหลืออยู่บ้าง
4. แล้วแต่กำลังบุญ กับกามคุณ หรือวิบากกรรม ถ้ากึ่งปาณาติบาตรก็ไปเป็น ครุฑ กินนร กินรี ฯลฯ ในป่าฯ
#3
โพสต์เมื่อ 20 May 2010 - 09:55 PM
(ป่าหิมพานต์เป็นส่วนหนึ่งของชั้นจาตุมฯจึงมีท้องฟ้าเป็นสีทอง เป็นสัญลักษณ์อย่างนึงของสวรรค์)
ถ้าเทียบชาวป่าหิมพานต์กับชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆก็เหมือนกับเปรียบเทียบชาวป่าในโลกมนุษย์กับชาวเมืองนั่นแหละครับ
ไม่ลำบากเพราะเป็นสวรรค์ก็จริง แต่ความปราณีตนั้นเทียบกันไม่ได้
ถามว่าจะไปชั้นที่สูงกว่านี้ได้มั้ย อันนี้ถ้าจำไม่ผิด
เรื่องของ อังกุระเทพบุตร ก็ให้ทานแต่คนยากจนก็ยังไปดาวดึงส์ได้นะครับ (แต่ท่านทำแบบที่เรียกว่าสุดๆจริงๆ)
ผมก็ไม่แน่ใจว่า อดีตอังกุระเทพบุตร นับถือศาสนาอะไร?
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#4
โพสต์เมื่อ 20 May 2010 - 11:15 PM
ทำบุญแค่ไหนก็ไปสู
งกว่านั้นไม่ได้
หายคลายความนับถือลง และมืกำลังบุญมากพอก็จะไป
เกิดบนชั้นสูงๆได้
ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นชาวพุทธถึงจะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสูงได้
หากแต่ขึ้นกับมีความเห็นถูกและกำล
#6
โพสต์เมื่อ 21 May 2010 - 12:46 AM
เกี่ยวกับความเห็นถูกในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นจริงของชัวิต ความเข้าใจในเรื่องบุญ-บาป ความเข้าใจในเรื่องกฏแห่งกรรม ถ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้ถูกต้อง และกำลังบุญมากพอ ก็สามารถไปสวรรค์ชั้นอื่นได้ค่ะ รวมถึงวัตถุประสงค์ในการทำบุญตอนยังมีชีวิตก็ส่งผลด้วยเหมือนกัน
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.dmc.tv/pa...ide/page09.html
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#7
โพสต์เมื่อ 21 May 2010 - 12:38 PM
ผู้ที่อยู่ศาสนานั้น แล้วไม่ต้องไปเกิดที่ป่าหิมพานต์ ก็มีครับ เช่น ไมเคิล และคุณแม่คุณโฮเวอร์ด ที่ฝันในฝันไปไม่นาน ทั้งสองไปเกิดเป็นคนธรรพ์อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาครับ คือ สูงกว่าป่าหิมพานต์นั่นเอง ทั้งนี้เป็นเพราะกำลังบุญเป็นหลักน่ะครับ คือ ทำบุญกับคนทั่วไป อานิสงส์พันชาติถึงแสนชาติ ทำบุญกับพระในพระพุทธศาสนาอานิสงส์ นับชาติไม่ถ้วน(ยิ่งกว่าแสนโกฎิชาติแบบนับไม่ถ้วน) กำลังบุญของการทำบุญกับคนทั่วๆไป ซึ่งมีพลังบุญสูงสุดแค่ระดับแสนชาติ จึงมีกำลังส่งไปได้แค่สวรรค์ชั้นที่ 1 น่ะครับ
ส่วนอังกุระเทพบุตร ซึ่งทำบุญกับคนทั่วๆไปก็จริง แต่ทำเป็นเวลาหมื่นปีครับ (สมัยนั้นคนอายุยืนมาก) จึงมีกำลังบุญส่งขึ้นไปได้ถึงสวรรค์ชั้นทีสอง แต่ท่านก็ยังมีบุญน้อยกว่า อินทกะเทพบุตร ผู้ตักบาตรพระอรหันต์แค่ทัพพีเดียว เองครับ (ลองย้อนไปฟัง สื่อโรงเรียนอนุบาล สมัยแรกๆ "หมื่นปีหรือจะสู้ทัพพีเดียว")
ผู้ที่อยู่ศาสนานั้น บางรายต้องไปเกิดที่ป่าหิมพานต์จริงครับ ทั้งที่บางคนก็มีกำลังบุญมาก แต่ดันไปศรัทธาในตัวผู้นำมากๆ (แต่ผู้นำมีกำลังบุญไปได้แค่ป่าหิมพานต์) เมื่อละโลกแล้ว ก็เลยไปอยู่กับผู้นำท่านนั้น อย่างนี้ก็มีครับ
2. ทำไมป่าหิมพานต์จึงเป็นสีทอง อืม ตอบยากพอๆ กับคำถามว่า ทำไมท้องฟ้าโลกมนุษย์จึงเป็นสีฟ้า
3. ตอบตามท่านอื่นๆ
4. หากไม่ทำบุญในพระพุทธศาสนาเลย แต่ทำบุญสงเคราะห์โลกกับคนทั่วๆไป อย่างมากๆๆๆ ก็สามารถไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ได้ครับ ดังเช่น ท่านอังกูระเทพบุตร เป็นต้น (และไม่ผิดศีลใดๆ ด้วยนะ)
#8
โพสต์เมื่อ 21 May 2010 - 01:16 PM
#9
โพสต์เมื่อ 21 May 2010 - 06:12 PM
![แนบไฟล์](https://www.dmc.tv/forum/public/style_extra/mime_types/gif.gif)
ขอเสริมความคิดเห็นส่วนตัวอีกมุมมองและเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับ ป่าหิมพานต์ ให้ศึกษากันนะครับ
มุมมองเรื่องกฎแห่งการกระทำ ที่มีวิบากเกี่ยวเนื่องกับ ป่าหิมพานต์
๑ การทำความดี ทางกาย วาจา ใจ เป็นของสากล
ไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์ชาติใด มีความเชื่อใด ศาสนิกชนไหน ทั้ง คริสต์ พุทธ มุสลิม ฯล
ดังนั้น ถ้ามนุษย์คนใด ทำความดีมากพอ กับภพภูมิสุคตินั้นๆ เช่น โลกมนุษย์ สวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ + ๔
ความดี ,ดวงบุญในตัวกับอายตนะของภพภูมินั้น ก็ดึงดูดกันไปเองได้
๒ แม้ความดี หรือดวงบุญในตัว มีมากพอ
แต่ทว่า ความรู้ ความเข้าใจ ความพึงพอใจในปรโลก ความผูกพันจากความเชื่อครั้งเป็นมนุษย์ ปรารถนาไว้
ก็อาจทำให้ชีวิต ในปรโลก ติดอยู่กับภพภูมิไม่สูงนัก คือ บุญมากพอกับสวรรค์ชั้นสูง ๆ แต่ไปอยู่พียงสวรรค์ชั้นต้น ๆ
เช่นกรณี คนเล่นไสยเวทย์ เชื่อเรื่องเข้าสิง เข้าทรงเจ้า
เพราะใจผูกพันกับอาจารย์ทางไสยเวทย์ ตายแล้วได้ไปอยู่กับวิทยาธร ในป่าหิมพานต์ แบบนี้ ก็คงมี
หรือ คนที่เลื่อมใสพญานาค ปรารถนาสมบัติทิพย์ในนาคพิภพ ซึ่งยังอยู่ใน จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ
ทั้งนี้เพราะมีอาจารย์มาพรรณนาเรื่องนาคพิภพ จึงเชื่อว่า สมบัติทิพย์ในนาคพิภพ ดีที่สุด
ใจจึงผูกพันกับนาคพิภพ
ทั้งที่ทำความดีไว้มากพอ ที่เหมาะกับสวรรค์ชั้นสูงกว่าจาตุมหาราชิกาเทวภูมิ
แต่ชีวิตในปรโลก บุญก็จัดสรรให้ไปนาคพิภพ ตามที่ตนเองปรารถนา แบบนี้ ก็คงมี
๓ แม้ความดี หรือดวงบุญในตัว มีมากพอ
แต่ ก่อนตาย ใจผ่องใส ไม่เต็มที่ คติในปรโลก จึงไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น
เช่น ทำความดีไว้มากมาย ดวงบุญสามารถจัดสรรให้ไปสู่สุคติ ดุสิตเทวภูมิ
แต่ก่อนตาย มีเรื่องกังวลใจบ้าง หรือนึกถึงบุญทบทวนบุญได้น้อย ใจผ่องใสไม่เต็มที่
จึงถูกอายตนะของ ดาวดึงส์เทวภูมิ ดึงดูด ไป แบบนี้ก็คงมี
หรือภาพชีวิต จิตสุดท้าย มาหยุด ที่ ฆ่าไก่ ทำแกง เลี้ยงพระ ใจผ่องใสไม่เต็มที่
จึงถูกอายตนะของ จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ ดึงดูด ไปเกิดเป็น กินนร กินนรี ในป่าหิมพานต์ แบบนี้ก็คงมี
ดังนั้นไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาใด มีความเชื่อแบบไหน
มีความผูกพันกับศาสดา กับอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ มากแค่ไหน
ผมเชื่อว่า ถ้า คุณ ทำความดี คุณย่อมได้ดี อย่างแน่นอน
แต่ตายแล้ว จะไปไหน ภพภูมิใด ตายแล้วก็รู้กันเองแหละครับ
![biggrin.gif](style_emoticons/default/biggrin.gif)
กลับมาที่คำถาม
ตอบเหมือนเพื่อนกัลยาณมิตรตอบไว้ดีแล้วครับ
คือ
๑ กำลังวิบากแห่งบุญ ไปได้แค่นั้น ทำความดีมากพอที่เหมาะกับ จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ เขตป่าหิมพานต์
๒ ใจผูกพัน คือ ตายแล้วขอให้ ปรารถนาไปอยู่ กับหมู่คณะ ที่มีความเชื่อเดียวกัน
เมื่อหมู่คณะนั้น ๆ อยู่ในภพภูมิใด และกำลังบุญมากพอ จึงจัดสรรให้ไปอยู่ร่วมกับหมู่คณะนั้น ๆ ดังกล่าว
(ในกรณีที่ไม่ได้ทำบุญกับทางพุทธศาสนาเลย)
ใช่ เพราะ ตามกำลังแห่งความดีและใจผูกพัน ปรารถนาในภพภูมินั้น ๆ
ใช่ เพราะ แม้กำลังแห่งความดีจะมากมาย แต่ใจผูกพัน ปรารถนาในภพภูมินั้น ๆ หรืออยู่กับหมู่คณะนั้น ๆ
อุปมาเหมือน เศรษฐี ที่พอใจใฃ้สอยปัจจัย สี่ แบบประหยัด มัธยัส
คือ เลือกที่อยู่ในชนบท ในบ้าน ไม่ใช่คฤหาสน์กับคนที่คุ้นเคย กิน อยู่ รักษาไข้อย่างเรียบง่าย ไม่หรูหรา
ใช่ เพราะ ฯลฯ
ไม่ใช่ เพราะ กำลังบุญมากมาย กว่า จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ เขตป่าหิมพานต์ ตายแล้วสามารถอยู่ในสวรรค์ชั้น สูงกว่า
อายตนะของภพภูมิสวรรค์ชั้น สูงกว่า ชิงช่วงดึงดูดไปก่อน
ไม่ใช่ เพราะ ฯลฯ
มุมมองเรื่อง ป่าหิมพานต์
จากที่มีบันทึกในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เช่นเรื่อง ไตรภูมิ ชาดก
หรือคำบอกเล่าของผู้ทรงศีล ทรงธรรรม ที่มีญาณทัสสนะได้สัมผัส จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ และป่าหิมพานต์
พอจะกล่าวได้ว่า จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ นั้นหลากหลาย Variety
ด้วยผู้เสวยผลบุญ ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน เยอะมาก
ซึ่งมนุษย์มีกิเลสทั่วไปก็เป็นแบบนี้ คือ
คนเดียวกัน ในแต่ละวันก็มีทั้งทำกุศลกรรมบถ และอกุศลกรรมบถ
มีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต เวลาดี ก็ดีใจหาย เวลาร้าย ก็อย่างกับไฟบรรลัยกัลป์
![mad.gif](style_emoticons/default/mad.gif)
อย่างไหน มาก น้อย กว่ากันเท่านั้น
ผมคิดว่า
มนุษย์ที่เกิดนอกยุคพุทธกาล ไม่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนา ตายแล้วไปอบายภูมิมากกว่า สุคติภูมิ
มนุษย์ที่เกิดในยุคพุทธกาล ที่พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ (เฉพาะแดนที่พุทธศาสนาไปถึง)
ตายแล้วไปสุคติภูมิ ใกล้เคียง อบายภูมิ มากขึ้น
มนุษย์ที่เกิดในยุคหลังพุทธกาล ยังมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ผ่านทางพระพุทธศาสนา ตายแล้วไปอบายภูมิมากกว่า สุคติภูมิ
และที่สุคติภูมิ ก็ในระดับ จาตุมหาราชิกา เทวภูมิ น่าจะมีมากกว่า เทวโลกชั้นอื่น
เพราะกุศลกกรมบท อกุศลกรรมบถ กุศลจิต อกุศลจิต ในชีวิตประจำวัน สลับไปมา ดังกล่าว
สรุป ว่า
ไม่ว่าพุทศาสนิกชน หรือ ศาสนิกชนอื่น ตายแล้วก็สามารถไปจาตุมหาราชิกาเทวภูมิและป่าหิมพานต์ ได้ครับ
ถ้า กำลังแห่งความดีและใจผูกพัน
เช่นเดียวกัน
ไม่ว่าพุทศาสนิกชน หรือ ศาสนิกชนอื่น ตายแล้วก็สามารถไปสู่สุคติภพ ที่สุงกว่าจาตุมหาราชิกาเทวภูมิ ได้
ถ้า กำลังแห่งความดีและใจผูกพัน อธิฐาน ตั้งความปรารถนาไว้
สุคติ ที่ดีที่สุด คือ พระนิพพาน
ซึ่งพ้นจากกามภพ รูปภพ อรูปภพ พ้นการเวียนว่าย ตายเกิด พ้นสรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพภัยตลอดกาล
ศึกษารายละเอียดเบื้องต้น จาตุมหาราชิกาเทวภูมิและป่าหิมพานต์ได้ที่
ทำบุญอะไรจึงได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น ?
http://www.dmc.tv/pa...ide/page09.html
เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
มีจากหลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญไม่ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสมบุญ
นานๆทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือทำบุญเอาคุณ
บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า
เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ
สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ
และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ
ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์
ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ
ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค
ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์
ซึ่งคนธรรพ์ ยักษ์ ครุฑ นาค ก็มีวิธีเกิดต่างกันและมีทั้งชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง ที่เสวยทิพยสุข มีอธิปไตย มากน้อยต่างกัน
เช่น คนธรรพ์ชั้นกลาง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ มีวิมานอยู่ในต้นไม้ และเป็นบริวารของคนธรรพ์ชั้นสูง
http://www.dmc.tv/pa...ide/page11.html
ครุฑมีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์ ป่าหิมพานต์ ป่าไม้งิ้ว จนถึงชั้นจาตุมหาราชิกา
http://www.dmc.tv/pa...ide/page14.html
หนังสือ จดหมายจากแม่ถึงลูก โดย คุณ เพียงนิล ศิริเกษม
ฉบับที่ ๑/ หน้าที่ ๑๑๑ – ๑๒๒ ตอน เที่ยวป่าหิมพานต์
http://www.kalyanami...oM_to_child.pdf
ป่าหิมพานต์ ในชาดกอยู่ส่วนไหนของโลก
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=8230
เช่น ไตรภูมิกถา มหาชาติเวสสันดร
เวสสันดรชาดก กากีคำกลอน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่า
“ชื่อป่าหนาวแถบเหนือ อินเดีย”
ซึ่งคงจะหมายถึงป่าแถบภูเขาหิมาลัย
ซึ่งเป็นภูเขาที่มียอดสูงสุดในโลก
เป็นภูเขาอยู่ในดินแดนอินเดียและเนปาลติดต่อกัน
ผู้ไปเยือนประเทศเนปาลมักจะถือโอกาสไปเยือนภูเขาหิมาลัย
ซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดปีงดงามมาก
ไตรภูมิกถา อธิบายลักษณะ ป่าหิมพานต์ ชมพูทวีปเก็บความได้ว่า
“แผ่นดินชมพูทวีปนั้น มีปริมาณได้ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ทั้งด้านยาวและด้านกว้าง
แยกออกเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่มนุษย์ ๓,๐๐๐ โยชน์
เป็นป่าเขาพระหิมพานต์ ๓,๐๐๐ โยชน์ เป็นทะเล ๔,๐๐๐โยชน์
ภูเขาหิมพานต์นั้นสูงประมาณ ๕๐๐ โยชน์ กว้างใหญ่ ๓,๐๐๐ โยชน์ มียอดเขา ๘๔,๐๐๐ ยอด
ที่เชิงเขาหิมพานต์นั้น มีต้นหว้าใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำชื่อว่า สีทานที
ต้นหว้านั้นมีขนาดใหญ่โอบรอบได้ ๑๔ โยชน์ ตั้งแต่พื้นดินขึ้นไปถึงค่าคบสูงได้ ๕๐ โยชน์
ตั้งแต่ค่าคบขึ้นไปถึงยอดได้ ๕๐ โยชน์ และตั้งแต่ปลายค่าคบด้านทิศตะวันออกมาถึงทิศตะวันตก
มีระยะไกลถึง๑,๐๐๐ โยชน์
ตั้งแต่ปลายค่าคบด้านทิศเหนือจดทิศใต้ไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา ปริมาณปลายค่าคบโดยรอบปริมณฑลได้
๒,๔๐๐,๐๐๐ วา ดอกของต้นหว้านั้น มีลักษณะงาม
มีกลิ่นหอมยิ่งนักและมีผลใหญ่...มีรสหวานอร่อยเหมือนน้ำผึ้ง...ยางของผลหว้านั้น
เมื่อร่วงหล่นลงกลายเป็นทองคำสุกชื่อว่า ชมพูนุท...
ถัดจากป่าไม้หว้า มีป่าไม้มะขามป้อม มีรสอร่อยถัดไปมีป่าสมอ ซึ่งมีรสหวานปานน้ำผึ้ง
ถัดป่าสมอไปมีแม่น้ำ ๗ สาย ถัดไปมีป่าไม้นารีผล
ซึ่งมีลักษณะทรวดทรงงดงามยิ่งนัก
เปรียบปานสาวรุ่นอายุได้ ๑๖ ปี
เมื่อชายหนุ่มทั้งหลายได้มาพบเห็นก็มีใจเสน่หา ลุ่มหลงรักใคร่
ถัดออกไปมีแม่น้ำสมุทร และมีป่าไม้ ๖ ป่า คือ
ป่ากุรภะ ป่าโกรภะ ป่ามหาพิเทหะ ป่าตะปันทละ ป่าโสโมโลและป่าไชยเยศ
ป่าไม้เหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยบำเพ็ญบุญของผู้ทรงธรรมทั้งหลาย...
ป่าไม้นั้นมีเนื้อทรายจามรีอยู่มากมาย
พวกเขาเอาหางจามรีมามุงเรือนกันอยู่อาศัย
พวกเขาอยู่ในที่นั้นโดยไม่ต้องทำไร่ไถนาหาเลี้ยงชีพ
ข้าวสาลีและถั่วก็งอกขึ้นเอง และมีรสหวานอร่อยปานน้ำผึ้ง
ที่มา : http://www.212cafe.c...p...iend&id=357
หมวดหมู่สัตว์หิมพานต์
http://www.himmapan...._creatures.html
#10
โพสต์เมื่อ 21 May 2010 - 11:19 PM
เอาเคสมาเสริมอีกนิด เป็นอีกความเชื่อนึง
เมาะนั่งสมาธิได้ดวงแก้ว ตายไปก็ได้ไปดุสิตบุรี เพราะใจเกาะเกี่ยวกับดวงใสสว่างที่ศูนย์กลางกาย
- ตายแบบหลับแล้วตื่นขึ้นที่กลางวิมานทองชั้นดุสิตบุรี เฟส 4 เขตทั่วไป ด้วยบุญที่เกาะจับดวงใสเป็นอารมณ์ เป็นเทพธิดาที่มีรัศมีสว่างไสว มีความสุขมาก
- แม้เมาะจะไม่ใช่ชาวพุทธเมื่อเริ่มต้นชีวิตก็ตาม แต่เมาะไปอยู่ดุสิตบุรีได้ เพราะใจใสเป็นดวงสว่าง ไม่เกี่ยวกับความเชื่อเมื่อเป็นมนุษย์ อีกทั้งเมาะไม่ได้นึกถึงใครนอกจากดวงสว่างอย่างเดียว
- ตอนนี้เมาะซึ่งเป็นเทพธิดาที่สวยงามมาก กำลังปลื้มผลบุญที่เกิดจากการเจริญภาวนา ทำให้ได้มาอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต กำลังรับแขกชาวสวรรค์ที่ได้มาเยี่ยมเยียนด้วยความสุขใจ
- ในชาตินั้นเมาะเป็นคนมักโกรธ ขี้หงุดหงิด ได้เกิดการกระทบกระทั่งกันในหมู่คณะ ตัวจึงโกรธ ได้ปฏิญาณว่าจะไม่มาวัดอีกแล้ว
- เมื่อเวลาทำบุญก็ทำด้วยตัวเองนิดหน่อย จึงเกิดมาฐานะไม่ค่อยดีนัก และไม่ได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตร จึงไปเกิดนอกบุญเขต และเพราะความมักโกรธจึงมีผิวคล้ำ
- ที่เห็นดวงใสในตัว เพราะบุญเก่าที่เคยฝึกสมาธิมา แม้ตอนที่ไม่ได้เจอหมู่คณะก็ฝึกแบบฤๅษี เมื่อได้ทำตามคำแนะนำของลูกในปัจจุบันจึงทำตามได้อย่างง่ายๆ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#11
โพสต์เมื่อ 23 May 2010 - 07:43 PM
สาเหตุหลักที่ สวรรค์แต่ละชั้น เวลาไม่เท่ากัน เป็นเพราะความเร็วแสงนั้นเอง ดังที่ไอสไตน์ร่างทฏษฏีสัมพันธ์ภาพ ไว้ว่า หากคนเราไปอยู่ในยานอวกาศที่เร็วเท่าแสง ขนาดจะเล็กลง และมวลจะเพิ่มขึ้น และ เวลาเมื่อเทียบกับคนที่เดินอยู่ พบว่าเวลาในยานนั้นยาวนานมาก และ เพียงเวลาไม่กี่นาทีอาจจะทำให้เทียบเวลาบนโลกเป็นหลายๆปีครับ เหมือนกับที่เราใช้กล้องมองดาวในแกแล๊คซี่อื่นที่ห่างไปล้านปีแสง รู้ไหมว่าสิ่งที่เราเห็นในจอตอนนั้น เป็นอดีตของดาวดวงนั้น 1ล้านปีแสงครับ ไม่แน่นะครับว่าดาวดวงนั้นจะยังคงอยู่ในตอนที่เราเห็น เพราะ แสงจะต้องสะท้อนวัตถุแล้วเดินทางผ่านห้วงอวกาศมายังกล้องแล้วผ่านเข้าดวงตาเรา จริงๆ แล้วสิ่งที่มองเห็นอาจจะไม่ใช่ของจริงหรือรูปร่างจริงก็ได้เช่น
เรามองเห็นมนุษย์ต่างดาวจากกล้อง เห็นหน้าชัดเจน แต่จริงๆ หน้าเขาจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการหักเห และการดูดกลืนของอากาศตัวกลางและคลื่นต่างๆ
ดังนั้นหาก มีความเร็วใกล้แสงก็จะทำให้มองเห็นเสปกตัมของแสงที่ต่างจากเดิม ดังนั้นในสวรรค์แต่ละชั้นยิ่งสูงยิ่งใกล้ความเร็วแสง สีสรรไม่เหมือนกัน เนื่องจากเวลาไม่เท่ากันนั้นเอง และเป็นอีกเหตุผลที่นางฟ้าสวยโครตๆ
อยากจะไปเห็น ทำได้สอง อย่าง
1. มียานที่เร็วมากๆ เกือบเท่าแสง
2. ไปดูด้วยจิต
ภาพที่ได้จาก2 อย่างจะใกล้เคียงกัน
พูดถึงป่าหิมพานก็นึกถึงพระในอาคาร 60 ปี ที่เข้าไปฝึกใหม่ๆ แล้วออกมาคุยสนุกสนานกันใหญ่ เรื่องช้าง...
#12
โพสต์เมื่อ 23 May 2010 - 07:57 PM
มีจริงครับ แต่ไม่ได้เป็นผู้สร้างโลกและคนที่เจอคิดว่าใช่ ดังเช่น มีท่านคนนึงที่เลี้ยงแกะเป็นอาชีพ วันนึงไปนั่งสมาธิบนภูเขา ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่าต้องเป็นผู้นำศาสนา ผมว่าเสียงที่ได้ยินนั้้นเป็นเสียงภุมเทวาแถวๆนั้นครับ เพราะหากเป็นผู้สร้างโลกจริงๆ ออกมาให้เห็นแล้ว
อย่างบ้านเรามีหลายหนที่ พระปรากฏในท้องฟ้า เช่น หลวงปู่แหวน คุณยาย หลวงปู่ และพระองค์อืนๆ มีแยอะมาก ส่วนมาก นักบินจะเห็นกัน
ถ้าเป็นผู้สร้างโลกจริงๆ ทำไมสาวกที่ศรัทธาท่าน ต้องเจอฆ่า ต้องเป็นโรค ต้องตายด้วยล่ะครับ แม้แต่ขนณะสวดสรรเสริญท่านก็ยังตายเลย
ก็ขนาดท่านสร้างโลกได้ใน 7 วัน ทำไมคนดีๆที่ศรัทธาท่าน ทำไมท่านลองใจเขามากมายขนาดนั้น ผู้คนมากมายที่ศรัทธาท่าน แต่ก็ต้องตายอย่างทรมาณอย่างสุดแสนในสงครามโลก ทั้งๆแค่ท่านปรากฏออกมาให้เห็นเท่านั้นบนท้องฟ้า สงครามย่อมยุติในทันทีแน่นอน
โทษนะครับ ที่อาจจะเสนอความคิดของผม ผมอยู่ รร คริสมา 9 ปีเต็มครับเข้าโบสด้วย ตอนนั้นนับถือทั้ง 2 ศาสนาครับ
ความเชื่อกับความใช่ ต้องแยกให้ออก
เรื่องศาสนาเป็นเรื่องลึกซึ้ง ชนเผ่า หรือ คนป่า เชื่อในผีสางเทวดา นางไม้
บางคนเชื่อใน ศาสดาของตน แต่ยังหาทางพิสูจย์ไม่ได้ บางเรื่องยากต่อการพิสูจย์มาก
ในตอนนี้ผมขอยก เรื่องๆ หนึ่งขึ้นมา
เป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรม ฤาษี และ พราหม
นัก บวชของแต่ละศาสนา มีการฝึกตนแตกต่างกันออกไป บางท่านได้ญาณ บางท่านได้ชาน บางท่านยังไม่ได้อะไรเลย มีแต่นิมิตรที่ฟุ้งเข้ามา
บางท่านปฏิบัติตน จนสามารถไปเห็นได้ว่า สวรรค์เขาอยู่กันอย่างไร
แต่เนื่องจาก การบำเพ็ญเพียรทางสมาธิไม่เท่ากัน ดังนั้น ก็เลยเห็นไม่เท่าก้น
บางท่าน เห็นแค่ภพของ พญานาค (อยู่ใกล้โลก เห็นได้ง่าย พระเณรหลายท่านในปัจจุบันนี้แหละ เห็นกันเป็นร้อย)
บางท่านเห็นแค่ภพของ ยักษ์(อยู่ใกล้โลก เห็นได้ง่าย )
บางท่านเห็นแค่ภพของ วิทยาธร(อยู่ใกล้โลก เห็นได้ง่าย )
บางท่านเห็นแค่ภพของ ภุมเทวา (อยู่ใกล้โลก เห็นได้ง่าย)
บางท่านบำเพ็ญเพียรมามาก เห็นภพของ พระอินทร์
บาง ท่านบำเพ็ญเพียรมามาก เห็นภพของ พรหม
อย่างที่บอกไป ว่าการบำเพ็ญเพียรทางสมาธิไม่เท่ากัน บางท่านทึกทักเอาว่า เทวดาหรือ ภุมเทวานั้นเป็นพระเจ้า เพราะการแต่งกาย และรัศมีท่านส่งประกาย และยิ่งเทวดาบางประเภท ยังมีนิสัยที่ไม่ดี ย้ำนะครับ ว่าเทวดานิสัยไม่ดีมีแยอะ แต่ที่ขึ้นสวรรค์ได้เพราะ ประกอบความดีมากกว่าความชั่ว พวกนี้้ยังมีกิเลสหนาอยู่ (ขนาดอยู่ในสวรรค์ยังมีภรรยา เป็นร้อย) มาบอกมนุษย์ ว่าต้องทำแบบนี้แบบนั้น จะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ไปรับใช้พระเจ้า แล้วบอกว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเช่น อุบัติเหตุ และ ภัยต่างๆ เป็นการลองใจจากพระเจ้า ขนาดที่ว่า แม่ชีเทเรซ่า ก่อนตาย ได้บอกในหนังสือว่า โอ พระเจ้าท่านลองใจมนุษย์หนักเหลือเกิน สงคราว และ โรคระบาดคนตายเป็นเบือ
นั่นเป็น ความเชือซึ่งมักจะไม่มีทางพิสูจย์ได้ ส่วนความใช่ต้องพิสูจย์ได้ โดยทางวิทยาศาสตร์ หรือ ทุกคนที่พิสูจย์เห็นพ้องต้องกันหมด
อย่างเช่น ปลูกต้นข้าว ย่อมได้ ข้าว ไม่ใช่ปลูกถั่ว แล้วจะได้เม็ดงา
ฆ่า สัตว์ไม่บาป มีด้วยเหรอ ในชีวิตผม เจอคนขายปลาในตลาด แกขายตั้งแต่แกยังสาวๆ หน้าตาแกก็ปกติธรรมด ตอนนั้นผมเด็กๆ จนกระทั่งตอนนี้ผมได้ไปตลาด ตกใจมาก ที่เห็นหน้าแก แกแก่แล้ว ประมาณ 50 ได้ แต่หน้าแกเปลี่ยนไปเหมือนปลาช่อนที่แกทุบหัว ตอนนี้ได้ข่าวว่าแกตายไปแล้่ว ตายแบบปลาที่โดนทุบหัวเลยคือมี อาการดิ้นพลาดๆๆๆๆ
และอีกหลายๆเรื่อง เช่น นักชนไก่ เห็นหลายๆคน ตายแบบ เอาหัวแม่มือชนกัน เหมือนไก่ชน ก็พระบรรเจิดที่บวชรุ่นเดียวกับผม ที่ล้มเลิกบ่อนไก่ของตัวเองหันมาเข้าวัด
และ ที่เร็วๆนี้ ได้ไปฟังจากลูกจ้าง บ้านเขาอยู่สกลนคร มีญาติเป็นโรงฆ่าหมาที่สกล
ญาติโดนรถชน ร้องอย่างหมาโดนเชือดเลย กว่าจะตายร้องหลายวัน
มีบาปล้างบาปด้วยน้ำแล้ว หายบาปเหรอ ชีวิตฆ่าไปแล้ว ชีวิตที่ถูกฆ่าย่อมจองเวร ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาง่ายๆ เพื่อนคุณตบหัวคุณ คุณโกรธแล้วคิดจะเอาคืนไหม เพื่อนคุณรีบล้างบาปด้วย น้ำ แล้วคุณจะยกโทษให้เพื่อนไหม ยังเจ็บใจหรือ คิดจะเอาคืนไหม
ชีวิต ฆ่าไปแล้ว ต้องล้างบาปด้วยการ ปล่อยชีวิตถึงจะถูก
ยกตัวอย่างเรื่อง หนึงให้ฟัง
มีเณรอยู่รูปหนึ่ง ท่านโดนพระสารีบุตร ทำนายไว้ว่า วันนี้จะตาย เพราะคู่กรรมคู่เวรจะมาเอาชีวิต ที่เคยไปฆ่าเขาไว้
บังเอิญ วันนั้นเณรได้เดินทาง ไปเจอ คลองที่แห้งขอด และได้ไปช่วยปลาไว้ก่อนที่มันจะแห้งตาย และ บังเอิญอีกที่ ปลาตัวนี้เป็นคู่กรรมคู่เวร ที่ในอดีตเณรเคยไปฆ่าเขาไว้ ทำให้เณรนี้ หักล้างกรรมที่ได้ทำไว้ในอดีตชาติ ไม่ตาย
#13
โพสต์เมื่อ 24 May 2010 - 09:02 AM
1. พิสูจน์ด้วยฌาณ (เป็นเรื่องจริงพิสูจน์ได้ คนทั่วไปทำได้ เด็ก ผู้ใหญ่ คนชราทำได้) ปฏิบัติสมาธิ จนได้สมาธิขั้นสูง ไปรู้ไปเห็นได้
2. พิสูจน์ด้วยความตาย ตายแล้วก็จะได้รู้กันล่ะว่าอะไรจริงไม่จริง อะไรมีไม่มี
#14
โพสต์เมื่อ 29 May 2010 - 09:33 PM
* ด้วย กำลังบุญสร้างพระ และมีจิตเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมที่ดูจากจานดาวธรรม (เป็นสัมมาทิฐิ) ทำให้จิตมีกำลังแห่งกุศลส่งไป จิตจะนุ่มนวลควรแก่การงาน จิตจะเบา กายจึงลอยขึ้นสูง
* แต่ถ้าสร้างพระอย่างเดียว โดยยังไม่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม แม่จะไปได้แค่อากาสเทวา หรือไม่เกินป่าหิมพานต์
* แม่มีอาหารทิพย์ เพราะสร้างบุญดังกล่าว
* เพราะบุญเป็น ธาตุสำเร็จที่จะบันดาลทิพยสมบัติและอาหารทิพย์ ให้เกิดขึ้นพอเหมาะกับกายทิพย์และกำลังบุญของกายทิพย์ ไม่เกี่ยวกับการนับถือศาสนา จะเป็นพุทธหรือคริสต์หรือจะเป็นอะไรก็ตาม
* แม่ มีความสุขมากและรู้ว่า เพราะบุญที่แม่ทำในพระพุทธศาสนา จึงทำให้แม่มาอยู่ที่สูงขนาดนี้ ตอนนี้แม่เข้าใจเรื่องบุญบาปมากขึ้น และได้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว และดีใจที่แม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ซึ่งสูงกว่าผู้ที่นับถือศาสนาเทวนิยม
* และฝากขอบใจที่ลูกแนะนำให้แม่ทำบุญในพระพุทธศาสนา เพราะไม่อย่างนั้นแม่มาไม่ถึงตรงนี้
อยากให้ลองได้ศึกษาเรื่องนี้ค่ะ
http://www.dmc.tv/pr...iles/510614.wmv
http://www.dmc.tv/pr...iles/510621.wmv
http://www.dmc.tv/pa...2548-01-21.html
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#15
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 04:02 AM
สาธุ ครับผม